รถบรรทุก ขับด้วยตัวเอง จะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ไปตลอดกาล /โดย ลงทุนแมน
นอกจากรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าแล้ว
พัฒนาการของรถไร้คนขับ ก็เป็นอีกนวัตกรรมที่คนทั่วโลกต่างจับตามอง
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ขับขี่ได้โดยไม่ต้องจับพวงมาลัยของ Tesla และ Audi
หรือแม้แต่รถมินิแวนไร้คนขับของ Waymo บริษัทในเครือ Alphabet
แต่รู้หรือไม่ว่านอกเหนือจากการเดินทางในชีวิตประจำวันแล้ว ผู้พัฒนานวัตกรรมไร้คนขับก็กำลังขับเคี่ยวกันในอุตสาหกรรมการขนส่งเพื่อพัฒนา “รถบรรทุก” ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
แล้วนวัตกรรมรถบรรทุกไร้คนขับนี้ ส่งผลต่อระบบการขนส่งสินค้าอย่างไร
และกำลังพัฒนาไปถึงระดับไหนแล้ว ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สินค้าแทบทุกชิ้นที่อยู่รอบตัว ต่างต้องเคยผ่านการขนส่งด้วยรถบรรทุกก่อนมาถึงมือเรา
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วนจากรถบรรทุกกว่า 2 ใน 3 นั่นจึงทำให้อุตสาหกรรมรถบรรทุกในประเทศแห่งนี้ มีมูลค่ากว่า 25 ล้านล้านบาท
และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ
ที่ปัจจุบัน ต่างหันมาแข่งขันกันในเรื่องความเร็วในการจัดส่ง
โดยเฉพาะบริการ “Same Day Delivery” หรือบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียว
เหล่าคนขับรถขนส่งสินค้ารวมไปถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ จึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
เพราะต้องเพิ่มความเร็วในการขนส่งตามนโยบายของบริษัท รวมถึงต้องทำงานเกินเวลา
นั่นจึงทำให้อาชีพคนขับรถบรรทุก มีจำนวนชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 10 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน เลยทีเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนขับรถส่งสินค้าของ Amazon.com ออกมาประท้วงเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หรือแม้แต่การนัดกันหยุดงานและออกมาชุมนุมในประเทศเกาหลีใต้ของคนขับรถรับส่งและรถบรรทุกสินค้าหลายบริษัท หนึ่งในนั้นก็คือ Coupang บริษัทอีคอมเมิร์ซเกาหลีใต้ เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แล้วทำไม บริษัทเหล่านี้ไม่จ้างพนักงานขับรถบรรทุกเพิ่ม ?
เหตุผลสำคัญที่บริษัทไม่นิยมจ้างพนักงานขับรถมาเพิ่ม ไม่ใช่เพียงเพราะต้นทุนค่าจ้างที่จะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย
อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกามีการประเมินไว้ว่า คนขับรถบรรทุกขาดแคลนมากกว่า 60,000 ตำแหน่ง และจะขาดแคลนมากขึ้นกว่านี้อีกเป็นเท่าตัว ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นั่นก็เพราะว่าผู้ประกอบอาชีพขับรถบรรทุก มีอายุเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงและกำลังทยอยเกษียณอายุกันแต่กลับไม่มีคนวัยหนุ่มสาวเข้ามาทดแทน เพราะความนิยมในอาชีพเหล่านี้น้อยลงไปทุกที
นวัตกรรมขับเคลื่อนอัตโนมัติ จึงจะมีบทบาทสำคัญ ในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมรถบรรทุก
เพราะระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง จึงสามารถขนส่งได้
แม้ในช่วงนอกเวลางานของคนขับรถซึ่งจะเข้ามาช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าทั้งระบบให้รวดเร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สตาร์ตอัปรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติสัญชาติอเมริกันที่ชื่อ TuSimple ได้ทดลองขนส่งแตงโมโดยเดินทางผ่าน 3 เมือง เป็นระยะทาง 1,530 กิโลเมตร ผลปรากฏว่าใช้เวลาน้อยกว่ารถบรรทุกแบบดั้งเดิมที่มีคนขับถึง 42% หรือจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 14 ชั่วโมง
นอกจากเวลาที่ใช้น้อยลงแล้ว พลังงานและแรงงานก็ถูกใช้น้อยลงด้วยเช่นกัน
ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลงในระยะยาว ซึ่งถ้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ ก็จะลดต้นทุนได้ถึง 50% แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาที่สูงในช่วงแรกก็ตาม
และเมื่อรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบใช้ไฟฟ้า
นวัตกรรมดังกล่าวจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุกจะมีความท้าทายที่มากกว่ารถยนต์
ทั้งในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าและตัวรถที่มีขนาดใหญ่กว่า รวมถึงการพัฒนาระบบเซนเซอร์และระบบคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ ก็ต้องทำให้ตอบสนองได้เร็วกว่า และประมวลผลไปได้ล่วงหน้ากว่ารถยนต์เป็นเท่าตัว
เมื่อดูความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีไร้คนขับของรถบรรทุก
จากระบบการแบ่งระดับของเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่กำหนดโดย SAE International
ที่เริ่มจากระดับ 0 คือเป็นยานยนต์คนขับ 100%
ไปจนถึงระดับ 5 ที่เป็นยานยนต์ไร้คนขับ 100%
ในปัจจุบันรถบรรทุกไร้คนขับส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
โดยระดับ 3 ที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “Conditional Automation” ซึ่งรถจะขับเคลื่อนได้เองเลย
แต่ยังมีคนขับนั่งไปด้วยเผื่อต้องควบคุมพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉิน
ในกรณีของรถบรรทุก จะใช้ระบบเพิ่มเติมที่เรียกว่า “Platoon” ซึ่งคือการที่ให้รถบรรทุกวิ่งตามกันเป็นขบวน โดยแต่ละคันจะเชื่อมต่อด้วยระบบแบบไร้สายเพื่อให้รถคันหลังตอบสนองตามคันที่นำขบวน
สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 ของรถบรรทุกในช่วงแรกจะเป็น Platoon แบบมีคนขับ
คือรถบรรทุกทุกคันในขบวนยังมีคนขับนั่งไปด้วย และจะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ Platoon นี้บนทางหลวงเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนโล่งและเป็นระยะทางยาว พอเข้าสู่ถนนปกติที่พลุกพล่าน ก็จะสลับมาให้คนขับรถแทน
ในระยะต่อมา ก็จะถูกพัฒนาไปเป็นระบบ Platoon แบบไร้คนขับ
โดยจะมีคนนั่งหลังพวงมาลัยเฉพาะในรถที่นำขบวนเท่านั้น
ส่วนรถคันอื่นจะขับเคลื่อนเองแบบไร้คนขับ
แต่ยังคงใช้ระบบนี้เฉพาะบนทางหลวงเหมือนเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้เฉลี่ย 10%
ระบบ Platoon แบบมีคนขับ เริ่มทดลองสำเร็จเมื่อปี 2016
จากโครงการ European Truck Platooning Challenge
โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Daimler, Volvo และ Scania ที่เป็นบริษัทในเครือ Volkswagen ซึ่งสามารถทำสถิติขบวนรถบรรทุกที่วิ่งได้ระยะทางไกลสุดในโครงการนี้ ด้วยระยะทาง 2,000 กิโลเมตร จากประเทศสวีเดน ผ่านเดนมาร์ก เยอรมนี ไปถึงปลายทางที่เนเธอร์แลนด์
ก่อนที่ปีต่อมา Scania และ Toyota เริ่มทดลองระบบ Platoon แบบไร้คนขับได้สำเร็จในประเทศสิงคโปร์
และปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่กำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถบรรทุก
ให้เข้าสู่ระดับ 4 ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีระบบเชื่อมต่อกันเป็นขบวนแล้ว
และไม่ต้องมีคนขับรถเลยในช่วงที่เป็นทางหลวง รวมถึงในบางเส้นทางที่มีการบันทึกข้อมูลไปแล้ว
แต่คนขับรถจะมีบทบาทในช่วงเส้นทางที่ซับซ้อนมาก และยังต้องมีคนขนของขึ้นลงรถตามจุดต้นทางและปลายทางอยู่
McKinsey คาดการณ์ว่ารถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 4 หรือ “High Automation” จะสามารถพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์อย่างน้อยภายในปี 2025 ถึง 2027
หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเข้าสู่ระดับสูงสุดที่ระดับ 5 หรือ “Full Automation”
ที่ยานยนต์จะขับเคลื่อนได้เองแบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์
และบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติในปัจจุบัน
อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ Bloomberg ก็คือ TuSimple, Aurora และ Waymo
TuSimple เป็นสตาร์ตอัปนวัตกรรมไร้คนขับที่โฟกัสรถบรรทุกอย่างเดียวมาตั้งแต่แรก และมีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในรถบรรทุกที่ก้าวหน้าที่สุดในขณะนี้ โดย TuSimple ตั้งเป้าว่าจะวางระบบขนส่งด้วยรถบรรทุกไร้คนขับได้ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในอีก 3 ปีข้างหน้า
ส่วน Aurora และ Waymo เริ่มต้นมาจากการพัฒนารถยนต์และรถให้บริการรับส่งคน ก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดรถบรรทุก ซึ่งผู้ก่อตั้ง Aurora ก็คืออดีตทีมบริหารจาก Waymo และ Tesla นั่นเอง
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่หลายบริษัทตัดสินใจเลือกพัฒนารถบรรทุกควบคู่ไปด้วย
ก็เป็นเพราะว่า ด้วยความที่รถบรรทุกใช้ขนส่งสิ่งของที่ไม่มีชีวิต
และการมุ่งเน้นในการพัฒนารถบรรทุก ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์ อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถบรรทุก ก่อนยานยนต์อื่น ๆ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.mckinsey.com/industries/travel-logistics-and-infrastructure/our-insights/distraction-or-disruption-autonomous-trucks-gain-ground-in-us-logistics
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-05-01/waymo-tusimple-aurora-inside-the-race-to-build-self-driving-trucks
-https://www.vox.com/recode/2020/7/1/21308539/self-driving-autonomous-trucks-ups-freight-network
-https://www.weforum.org/agenda/2020/03/self-driving-trucks-will-change-the-world-more-than-you-might-think/
-https://techsauce.co/tech-and-biz/6-level-autonomous-car
-https://www.theverge.com/2016/4/7/11383392/self-driving-truck-platooning-europe
-https://www.engadget.com/2017-01-25-singapore-full-scale-autonomous-truck-platooning-trial.html
-https://www.cnbc.com/2021/05/19/tusimple-self-driving-trucks-saved-10-hours-on-24-hour-run.html
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過5,570的網紅sae channel,也在其Youtube影片中提到,国内外ダンス・シーンで今話題になっているプロデューサー集団YuTA P(@YuTAP_Electro )の ?「Puzzle(feat.sae)」に参加させて頂きました! 今まで歌ったことないジャンルで、かなり難しかったけど楽しかったです✨ でも実はわたしEDM好きなので、ノリノリで歌え...
「sae international」的推薦目錄:
sae international 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 八卦
"ปิดหน้าต่าง ขับรถนานๆ อาจเกิดอันตรายจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรถได้"
มีหลังไมค์มาถามถึงเรื่องที่แชร์กันว่า "เวลาขับรถไปต่างจังหวัดให้ระบายอากาศในรถทุก 15 นาที เพราะความเข้มข้นของ CO2 จะสูงมาก ทำให้ง่วงนอนได้" ว่าจริงหรือเปล่า ... อันนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ แต่ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างด้วย ลองอ่านรายละเอียดด้านล่าง
จากข้อมูลของหน่วยงาน SAE International (Society of Automotive Engineers สมาคมวิศวกรยานยนต์นานาชาติ) ได้ระบุว่า นอกจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ที่เกิดจากการสันดาปของเครื่องยนต์รถแล้ว CO2 หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ร่างกายคนเราหายใจออกมา (หลังจากร่างกายเอาออกซิเจนจากอากาศไปใช้) และสะสมอยู่ในรถยนต์ ก็สามารถจะทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้เช่นกัน
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ความเข้มข้นสูง และอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างในห้องผู้โดยสารรถยนต์นั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ในสภาพอากาศตามปรกตินั้น ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ที่ประมาณ 400 ppm ... แต่ถ้าคนเราได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป (เกิน 1100 ppm) จะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น การควบคุมกล้ามเนื้อและการตัดสินจะแย่ลง เกิดอาการง่วงซึม เหนื่อยล้า และเป็นอันตรายต่อการขับขี่รถได้
มีรายงานถึงอุบัติเหตุรถชนกันในรัฐอริโซน่าของสหรัฐอเมริกาว่า มีหลายครั้งที่ระบุชัดเจนว่า เกิดจากการที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมมากเกินไป จนส่งผลต่อคนขับ โดยดูจากผลตรวจเลือด
เมื่อก่อนนั้น ระบบปรับอากาศของรถยนต์ส่วนใหญ่ จะมีประตูลมด้านนอกที่มีช่องหรือรอยหยัก เปิดให้อากาศบริสุทธิ์บางส่วน สามารถเข้ามาในห้องผู้โดยสารได้อยู่ดี (แม้ว่าจะอยู่ในสถานะที่คนขับตั้งให้ "อากาศไหลเวียนแค่ผ่านในรถ" ก็ตาม) หรือถึงแม้จะไม่มี ตัวถังของรถเองนั้นก็มันจะมีรอยรั่วซึมให้อากาศเข้ามาได้
แต่รถยนต์สมัยใหม่นั้น มีหลายรุ่นที่ปิดช่องประตูลมจนสนิท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ และเพื่อการประหยัดน้ำมัน รวมไปถึงเพื่อให้ผู้โดยสารรถยนต์ไม่ได้กลิ่นหรือควันจากภายนอกเข้ามาในรถ
ปัญหาคือ นั่นย่อมทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากผู้โดยสารในรถได้ด้วย โดย SAE ระบุว่า ระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์จะยังหายใจได้สบายดีอยู่นั้น สูงสุดคือที่ 0.1% หรือ 1000 ppm
ขณะที่ EPA (Environmental Protection Agency สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา) ได้กำหนดระดับของการรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะสั้น อยู่ที่ 3% (3000 ppm) เป็นเวลา 15 นาที เกินกว่านั้นจะเป็นพิษรุนแรงได้
เมื่อกลับมาพิจารณาถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในตัวรถนั้น จะเห็นว่าขึ้นกับปัจจัยหลายประการ ทั้งสภาพของรถเองว่ามีรอยรั่วซึมมากน้อยเพียงใด (รถใหม่ จะยิ่งมีการซีลประตูและกระจก แน่นหนากว่ารถเก่า) จำนวนของผู้โดยสาร และระยะเวลาที่อยู่ในตัวรถ รวมถึงพฤติกรรมของผู้โดยสาร (ถ้านั่งนิ่งๆ เงียบๆ ก็จะสร้างก๊าซน้อยกว่าคนที่กำลังปาร์ตี้ร้องเพลงกันในรถ)
ถ้าพิจารณาจากแบบจำลองในรูปประกอบ จะเห็นว่ารถยนต์ที่นั่ง 4 คน จะมีปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลยระดับ 1000 ppm ได้อย่างรวดเร็วมาก เพียงแค่ภายในเวลา 4-5 นาทีเท่านั้น
ดังนั้น คำเตือนที่แชร์กันเรื่องที่ให้เปิดหน้าต่างระบายลมบริสุทธิ์เข้ามาบ้างนั้น จึงไม่ผิดอะไร เพียงแต่จะต้องขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น ถ้าขับรถเพียงคนเดียว ก็อาจจะขับได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ต้องกังวลมากนักกับเรื่องของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมในรถ ... แต่ถ้าเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร เช่น เป็น 4 คน ก็ควรจะที่เปิดช่องระบายลมบ้าง ทุกประมาณ 15-20 นาที
ข้อมูลจาก https://www.sae.org/…/co2-buildup-in-vehicle-cabins-becomin…
sae international 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 八卦
"ปิดหน้าต่าง ขับรถนานๆ อาจเกิดอันตรายจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรถได้"
มีหลังไมค์มาถามถึงเรื่องที่แชร์กันว่า "เวลาขับรถไปต่างจังหวัดให้ระบายอากาศในรถทุก 15 นาที เพราะความเข้มข้นของ CO2 จะสูงมาก ทำให้ง่วงนอนได้" ว่าจริงหรือเปล่า ... อันนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ แต่ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างด้วย ลองอ่านรายละเอียดด้านล่าง
จากข้อมูลของหน่วยงาน SAE International (Society of Automotive Engineers สมาคมวิศวกรยานยนต์นานาชาติ) ได้ระบุว่า นอกจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ที่เกิดจากการสันดาปของเครื่องยนต์รถแล้ว CO2 หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ร่างกายคนเราหายใจออกมา (หลังจากร่างกายเอาออกซิเจนจากอากาศไปใช้) และสะสมอยู่ในรถยนต์ ก็สามารถจะทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้เช่นกัน
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ความเข้มข้นสูง และอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างในห้องผู้โดยสารรถยนต์นั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ในสภาพอากาศตามปรกตินั้น ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ที่ประมาณ 400 ppm ... แต่ถ้าคนเราได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป (เกิน 1100 ppm) จะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น การควบคุมกล้ามเนื้อและการตัดสินจะแย่ลง เกิดอาการง่วงซึม เหนื่อยล้า และเป็นอันตรายต่อการขับขี่รถได้
มีรายงานถึงอุบัติเหตุรถชนกันในรัฐอริโซน่าของสหรัฐอเมริกาว่า มีหลายครั้งที่ระบุชัดเจนว่า เกิดจากการที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมมากเกินไป จนส่งผลต่อคนขับ โดยดูจากผลตรวจเลือด
เมื่อก่อนนั้น ระบบปรับอากาศของรถยนต์ส่วนใหญ่ จะมีประตูลมด้านนอกที่มีช่องหรือรอยหยัก เปิดให้อากาศบริสุทธิ์บางส่วน สามารถเข้ามาในห้องผู้โดยสารได้อยู่ดี (แม้ว่าจะอยู่ในสถานะที่คนขับตั้งให้ "อากาศไหลเวียนแค่ผ่านในรถ" ก็ตาม) หรือถึงแม้จะไม่มี ตัวถังของรถเองนั้นก็มันจะมีรอยรั่วซึมให้อากาศเข้ามาได้
แต่รถยนต์สมัยใหม่นั้น มีหลายรุ่นที่ปิดช่องประตูลมจนสนิท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ และเพื่อการประหยัดน้ำมัน รวมไปถึงเพื่อให้ผู้โดยสารรถยนต์ไม่ได้กลิ่นหรือควันจากภายนอกเข้ามาในรถ
ปัญหาคือ นั่นย่อมทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากผู้โดยสารในรถได้ด้วย โดย SAE ระบุว่า ระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์จะยังหายใจได้สบายดีอยู่นั้น สูงสุดคือที่ 0.1% หรือ 1000 ppm
ขณะที่ EPA (Environmental Protection Agency สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา) ได้กำหนดระดับของการรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะสั้น อยู่ที่ 3% (3000 ppm) เป็นเวลา 15 นาที เกินกว่านั้นจะเป็นพิษรุนแรงได้
เมื่อกลับมาพิจารณาถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในตัวรถนั้น จะเห็นว่าขึ้นกับปัจจัยหลายประการ ทั้งสภาพของรถเองว่ามีรอยรั่วซึมมากน้อยเพียงใด (รถใหม่ จะยิ่งมีการซีลประตูและกระจก แน่นหนากว่ารถเก่า) จำนวนของผู้โดยสาร และระยะเวลาที่อยู่ในตัวรถ รวมถึงพฤติกรรมของผู้โดยสาร (ถ้านั่งนิ่งๆ เงียบๆ ก็จะสร้างก๊าซน้อยกว่าคนที่กำลังปาร์ตี้ร้องเพลงกันในรถ)
ถ้าพิจารณาจากแบบจำลองในรูปประกอบ จะเห็นว่ารถยนต์ที่นั่ง 4 คน จะมีปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลยระดับ 1000 ppm ได้อย่างรวดเร็วมาก เพียงแค่ภายในเวลา 4-5 นาทีเท่านั้น
ดังนั้น คำเตือนที่แชร์กันเรื่องที่ให้เปิดหน้าต่างระบายลมบริสุทธิ์เข้ามาบ้างนั้น จึงไม่ผิดอะไร เพียงแต่จะต้องขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น ถ้าขับรถเพียงคนเดียว ก็อาจจะขับได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ต้องกังวลมากนักกับเรื่องของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมในรถ ... แต่ถ้าเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร เช่น เป็น 4 คน ก็ควรจะที่เปิดช่องระบายลมบ้าง ทุกประมาณ 15-20 นาที
ข้อมูลจาก https://www.sae.org/news/2017/04/co2-buildup-in-vehicle-cabins-becoming-a-safety-issue
sae international 在 sae channel Youtube 的評價
国内外ダンス・シーンで今話題になっているプロデューサー集団YuTA P(@YuTAP_Electro )の
?「Puzzle(feat.sae)」に参加させて頂きました!
今まで歌ったことないジャンルで、かなり難しかったけど楽しかったです✨
でも実はわたしEDM好きなので、ノリノリで歌えました。笑
ぜひたくさん聴いて欲しいです? ??
┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈
◎各ダウンロード/ストリーミングサービスのリンクはこちら
▷▶︎▷▶︎https://linkco.re/nnyuBUn2?lang=ja
◎YuTAP YouTube
▷▶︎▷▶︎ https://youtu.be/zpM3J2yoD-8
国内外ダンス・シーンで今話題になっているプロデューサー集団YuTA P (ユタピー)が、sae(@saeee_0826)をフィーチャリングボーカルに迎え遂に本格始動!第一弾「Puzzle」が2/26(金)遂に全世界配信リリース。https://youtu.be/zpM3J2yoD-8
YuTA P, which has become a hot topic in the domestic and international dance scene, has finally started in earnest with sae(@saeee_0826) as a featuring vocal! The first "Puzzle" will finally be released worldwide on 2/26 (Fri.).
┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈
?Directer
【Yuka Ohki】
Instagram▷▷▷https://www.instagram.com/pyhu_okta.o
Twitter▷▷▷https://www.twitter.com/yu_kacAm
┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈
♡毎週木,日の20:00に更新中!チャンネル登録よろしくお願いします!♡
http://www.youtube.com/user/fairieslovesae/featured?sub_confirmation=1
♡他の動画もよろしくお願いします!♡
【MV】sae 『Strawberry』Music Video https://youtu.be/_qtAq9v_e64
【MV】sae 『わがまま』Music Video https://youtu.be/2H9TBe9o9F4
♡SNSもチェックしてみてね♡
■ Twitter ⇒https://twitter.com/saeee_0826
■ Instagram ⇒https://www.instagram.com/sae0826/?hl=ja
■ TikTok⇒https://www.tiktok.com/@sae_0826?langCountry=ja
♡初の全国流通single「Strawberry」発売中♡
https://tower.jp/item/4952857/Strawberry%EF%BC%9C%E3%82%BF%E3%83%AF%E3%83%BC%E3%83%AC%E3%82%B3%E3%83%BC%E3%83%89%E9%99%90%E5%AE%9A%EF%BC%9E
♡HPはこちら!♡
https://saeofficial.wixsite.com/saeofficial
♡ご依頼・ご連絡はこちらまで♡
[email protected]
#リリース #EDM #サブスク
sae international 在 SAE International - YouTube 的八卦
SAE International is a global association committed to being the ultimate knowledge source for the engineering profession. By uniting over 138000 engineers ... ... <看更多>