สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง “กางกลยุทธ์ พิชิตหุ้นสหรัฐฯ”
BBLAM x ลงทุนแมน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีตลาดหุ้นไหนสามารถทำผลงานได้โดดเด่น อย่างตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ที่ทำให้นักลงทุนสัมผัสได้ถึงความร้อนแรง จนเกิดคำถามว่า หลังจากนี้ โอกาสของหุ้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ลงทุนแมน ร่วมพูดคุยกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบัวหลวง
คือ คุณพูนสิน เพ่งสมบูรณ์ AVP, Portfolio Solutions
และ คุณนวรัตน์ เจียมกิจรุ่ง SVP, Product Development
ถึงประเด็นสำคัญในการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานี้
เรื่องราวสำคัญที่นักลงทุนควรรู้ จะมีอะไรบ้างนั้น ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟังเป็นข้อ ๆ แบบเข้าใจง่าย
1. ภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ?
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
- นโยบายการเงินการคลัง ที่สามารถส่งต่อไปยังภาคธุรกิจ และภาคการบริโภคได้จริง
- การกลับมาของภาคธุรกิจ ทั้งจากกลุ่มธุรกิจที่เติบโต และกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวจากปีก่อน
ประเด็นที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle ซึ่งแปลว่า เราอาจจะไม่ได้เห็นการปรับตัวขึ้นแรง ๆ ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจากนี้ไป จึงต้องมีการคัดเลือกหุ้นรายตัว รายกลุ่มอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
2. ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ตรงไหน ?
ย้อนกลับไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาพบปัญหาระหว่างทางมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็น สงครามการค้ากับจีน หรือผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 ประกอบกับการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่เริ่มตั้งแต่ปี 2009 ก็ดูเหมือนจะจบรอบไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ถ้าดูตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 2020 ออกมา -30% แต่ที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐอเมริกาฟื้นตัวกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว โดยเห็นได้จาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2020 ปรับตัวขึ้นกลายเป็น +33%
และถ้าหากสังเกตดัชนี S&P 500 ก็ยิ่งฟื้นตัวแรงไม่แพ้กัน
โดยใช้เวลาฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด 19 แค่ 1 เดือนเท่านั้น และก็ยังทำ New High ต่อเนื่อง อย่างในปี 2021 นี้ก็ +20% จากต้นปีอีกด้วย
ซึ่งต่างไปจากวิกฤติซับไพรม์ปี 2007 ที่ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวกว่า 18 เดือน แต่เมื่อฟื้นตัวกลับมาได้ ก็ไปต่อได้ดีเช่นกัน
ดังนั้น จุดที่น่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เมื่อสังเกตจาก 2 วิกฤติที่ผ่านมาก็คือ เมื่อสหรัฐอเมริกาประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจแล้ว มักจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว และก็ดีกว่าเดิมเสมอ
3. แล้วจุดขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวได้เร็ว คืออะไร ?
ปัจจัยที่ 1 คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ผ่าน 2 เครื่องมือสำคัญ นั่นคือ
- นโยบายทางการเงิน ที่จะช่วยให้ตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไปได้ โดยการซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด เพื่อพยุงราคาไม่ให้ถูกเทขาย
เช่น พันธบัตรรัฐบาล, Mortgage-Backed Securities (ตราสารทางการเงินที่มัดรวมสินเชื่อบ้านเข้าด้วยกัน โดยมีสถาบันการเงินเป็นคนกลางจับคู่ระหว่างผู้กู้ยืมและนักลงทุน), หุ้นกู้ในกลุ่ม Fallen Angels ที่ถูกปรับลดระดับเครดิตต่ำกว่า BBB (Non-Investment Grade)
- นโยบายการคลัง ที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เช่น การอัดฉีดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปให้ชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน
เนื่องจากโครงสร้าง GDP สหรัฐอเมริกามาจากภาคการบริโภค 70%
ดังนั้น หากชาวอเมริกันกลับมาบริโภคได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะกลับคืนมาด้วย
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 นโยบายที่ว่านี้ คงจะมีแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่สามารถทำได้
หากเป็นประเทศอื่น ๆ เราคงเห็นปัญหาตามมาอีกมากมาย เช่น ประเทศไทยที่มีสัดส่วนการบริโภคแค่ 1 ใน 4 ถ้าหากเราอัดฉีดเม็ดเงินเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาค่าเงินบาทอ่อนหรือปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรง เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่มากเกินไป
โดยเหตุผลที่สหรัฐอเมริกาสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกครองสัดส่วน 1 ใน 4 ของมูลค่า GDP โลก และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังเป็นเงินสกุลหลักของการค้าระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่ 2 คือ โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ส่งผลให้ภาพรวมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
หากสังเกตดัชนี S&P 500 จะพบว่า Market Cap. ของกลุ่มเทคโนโลยี 27% สูงเป็นอันดับที่ 1 ถัดมาจะเป็นกลุ่ม Health Care 13% และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 12% ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต
ที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราขึ้นเรื่อย ๆ เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตคนเรา และหลากหลายกลุ่มเทคโนโลยีอนาคตอย่าง Innovation, FinTech, Digital Advertising ยังมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการแข่งขันในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ วิกฤติโควิด 19 ยังเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของสินค้าเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การช็อปปิงออนไลน์, การดูวิดีโอสตรีมมิงแทนการเข้าโรงภาพยนตร์
ขณะที่ภาคธุรกิจเอง ก็หันมาให้ความสนใจ Digital Advertising มากกว่าป้ายบิลบอร์ดเดิม ๆ ส่งผลให้ลดต้นทุน, ลดขั้นตอน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เชื่อว่า หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาจะยังเติบโตตามผลประกอบการต่อไปได้
4. หลังจากการฟื้นตัว ก้าวต่อไปคือการเข้าสู่ Mid Cycle ?
เมื่ออัตราการว่างงานลดลง ซึ่งคาดว่า 8-10 เดือนข้างหน้า ก็จะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด 19 ได้ ขณะเดียวกัน Fed ก็เริ่มส่งสัญญาณถอนคันเร่งมาตรการกระตุ้น ด้านสวัสดิการว่างงานก็เริ่มลดลง สะท้อนได้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle
ดังนั้น เราน่าจะไม่ได้เห็นสภาพคล่องท่วมตลาดเหมือนอย่างเคยอีกต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนในช่วง Mid Cycle จึงต้องเลือกลงทุนหุ้น Growth เช่น หุ้นเทคโนโลยี
หรือลงทุนหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ เช่น
- American Rescue Plan วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นสวัสดิการชดเชยการว่างงาน
- Infrastructure Bill วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
- American Families Plan วงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมนุษย์
- American Jobs Plan วงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน, Health Care, อุตสาหกรรม EV, พลังงานสะอาด
- U.S. Innovation and Competition Act วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับจีน
หากโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติทั้งหมด จะกลายเป็นเม็ดเงินพัฒนาเศรษฐกิจที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่จะช่วยพัฒนาประเทศระยะยาว 5-10 ปี เลยทีเดียว
5. ตอนนี้ Master Fund ระดับโลก มองการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่างไร ?
หลังจากที่กองทุนบัวหลวงได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุน J.P. Morgan หนึ่งใน Master Fund ระดับโลก
พบว่า หากเป็นการลงทุนระยะกลาง J.P. Morgan กำลังพุ่งเป้าไปที่กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจหลังจากผ่านวิกฤติโควิด 19 เช่น
- กลุ่มธุรกิจ Reopening ที่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัว และได้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อที่อัดอั้นมาจากวิกฤติโควิด 19 เช่น การจองโรงแรม, การเช่ารถ, ร้านอาหาร
- กลุ่ม Health Care ทั้งในแง่ของการรับมือกับโควิด 19, การพัฒนาวัคซีน, การวิจัยเชื้อกลายพันธุ์ และพฤติกรรมพร้อมจ่ายของคนเราเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงมองว่ากลุ่มยา และกลุ่ม Biotech ยังเติบโตได้ดี
- กลุ่มพลังงานสะอาด จากการผลักดันนโยบาย EU Green Deal ขณะที่ต้นทุนของพลังงานลม และพลังงานโซลาร์เซลล์ ที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับพลังงานดั้งเดิม รวมทั้งกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์กักเก็บพลังงานก็น่าสนใจ
ขณะเดียวกัน หากเป็นการลงทุนระยะยาว J.P. Morgan กำลังจับตากลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า
ซึ่งนอกจาก 3 กลุ่มข้างต้นแล้ว ก็ยังมีกลุ่มเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือกลุ่ม Smart ต่าง ๆ เช่น Smart Home, Smart TV ที่กำลังเติบโตตามโลกอนาคต อีกด้วย
6. กลยุทธ์การลงทุนหุ้น Growth ในช่วงเวลานี้ ?
กลยุทธ์การวิเคราะห์ลงทุนหุ้น Growth ของ J.P. Morgan จะออกเป็น 2 รูปแบบ นั่นคือ
- รูปแบบ Bottom Up คือการวิเคราะห์หุ้นรายตัวเป็นหลัก
- รูปแบบ Micro Focus คือการวิเคราะห์ลงรายละเอียดเล็ก ๆ เพราะเชื่อว่าจุดเล็ก ๆ จะนำไปสู่ความแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างมีนัยสำคัญได้ เช่น Facebook ที่กำลังได้รับประโยชน์จากโฆษณาออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายคือ การค้นหาหุ้นสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ภายใต้ 3 ลักษณะสำคัญคือ
- ธุรกิจที่มีผลต่อการบริโภค หรือการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
- ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว มีกำไรที่แข็งแกร่ง
- ธุรกิจที่มีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น (Momentum) ทิศทางเชิงบวก ดังนั้นต้องรู้จักทำใจให้นิ่งเพื่อรอจังหวะ Momentum ที่ดีได้
อีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญก็คือ การปรับพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ โดยจะลดน้ำหนักหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นมานานหลายปี และตลาดรับรู้ข่าวทั้งหมดแล้ว
เช่น กลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft, Apple ถูกลดสัดส่วนตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อนำเงินไปลงทุนหุ้นที่จะเป็น “Big Winner” ตัวต่อไป แต่ก็ไม่ได้ขายหมดทั้งพอร์ต เพราะยังมองว่าเป็นธุรกิจที่ดีระยะยาว
นอกจากนี้ ด้วยความเป็นกองทุนแบบ Active ของ J.P. Morgan ยังมองเห็น 2 กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจคือ
- กลุ่มการเงิน โดยจะลงทุนทั้งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และกลุ่ม Online Payment
- กลุ่มเทคโนโลยี 5G และ EV โดยที่มองลงลึกไปถึง “ทองแดง” ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของกลุ่มเทคโนโลยี จึงเข้าไปลงทุนบริษัท Freeport-McMoRan หนึ่งในธุรกิจเหมืองแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
7. ตัวอย่างธุรกิจที่เข้าข่ายหุ้น Growth ที่น่าสนใจ ?
ธุรกิจในกลุ่ม Digital Advertising เช่น Snap Inc. เจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat ที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีการขยายฐานผู้ใช้งานไปยังประเทศอินเดีย ทำให้มีโอกาสเติบโตในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณาได้อีกมาก ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ Snapchat ก็เติบโตเฉลี่ยปีละ 46%
ธุรกิจในกลุ่มต่อมาก็คือ Online Payment เช่น PayPal ที่ได้ประโยชน์จากการใช้ชีวิตในยุค New Normal และตอบโจทย์ในการชำระเงินยุคใหม่
ซึ่งจากผลการดำเนินงานในไตรมาสล่าสุด PayPal มีจำนวนบัญชี Active User เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่จำนวนธุรกรรมเติบโต 40% จากปีก่อนหน้า
ธุรกิจในกลุ่มสุดท้ายก็คือ ธุรกิจนอกกลุ่มเทคโนโลยี เช่น John Deere ผู้ผลิตและจำหน่ายรถแทรกเตอร์ อุปกรณ์การเกษตรที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร ตอบโจทย์การเกษตรสมัยใหม่และเทรนด์ความยั่งยืน
หากสหรัฐอเมริกามีการเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะเป็นประโยชน์โดยตรงกับ John Deere
ซึ่งหุ้น 3 ตัวนี้ ก็เป็นหุ้นที่ J.P. Morgan ลงทุนเป็น Top Holding อีกด้วย
8. ตอนนี้หุ้น Growth แพงไปหรือยัง ?
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวง คิดว่าหุ้น Growth ยังไม่แพงเกินไป ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงสูงสุดไปแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่
โดยหากมาดูในส่วนของค่ากลางของ P/E Ratio S&P 500 พบว่า อยู่ที่ 20 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีโอกาสที่เรายังสามารถหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในราคาที่สมเหตุสมผลได้อยู่
และที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ P/E ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากกำไรของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยในปี 2021 มีการคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทใน S&P 500 จะโต 60% ในขณะที่ในปี 2022 S&P มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะโตต่ออีก 15% จากปี 2021
จากตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อยู่
9. ผลตอบแทนการลงทุน ด้วยกลยุทธ์แบบ J.P. Morgan เป็นอย่างไร ?
จากกลยุทธ์ Active Management ที่เน้น Micro Focus ทำให้กองทุน JPM US Growth ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา มีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดีมาอย่างต่อเนื่อง
หากเรามาดูผลการดำเนินงานของกองทุน JPM US Growth จะพบว่า ถ้าดูย้อนหลังไป 3 ปี เฉลี่ยต่อปีแล้ว ผลตอบแทนจะเท่ากับ 27% สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Benchmark ที่เป็น Russell 1000 ที่เน้นเฉพาะหุ้นเติบโต ซึ่งถ้าย้อนหลัง 5 ปี ผลการดำเนินงานก็ดีกว่าเช่นกัน
เมื่อมาดูการจัดอันดับของ Morningstar พบว่ากองทุน JPM US Growth อยู่ใน First Quartile คือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ทำผลการดำเนินงานได้ดีอยู่ในเกณฑ์ดีที่สุดในกลุ่มอีกด้วย
หากมาดูด้าน Valuation ของกองทุน JPM US Growth จะเห็นว่า กองทุนนี้มี P/E Ratio ที่ต่ำกว่า Benchmark แต่มีอัตราการเติบโตของกำไร (%EPS Growth) สูงกว่า Benchmark และ S&P 500
10. เราจะลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในรูปแบบกองทุน ได้อย่างไร ?
กองทุน B-USALPHA เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ JP Morgan US Growth Fund ไม่ต่ำกว่า 80%
ซึ่ง JP Morgan US Growth Fund เป็นกองทุนแนว Active Management เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตสูงกว่าที่ตลาดมองไว้
และในส่วนที่เหลือผู้จัดการกองทุนของบัวหลวง ก็อาจลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจเป็นรายตัว
ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีระยะยาวได้ เหมือนที่ทำกับ B-FUTURE และ B-CHINE-EQ
กองทุนนี้ ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เพราะปัจจุบันอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จึงหันมาหาสินทรัพย์เสี่ยง หรือหุ้น กันมากขึ้น การจ่ายเงินปันผลจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีเงินระหว่างทาง ไม่ต้องคอยดูจังหวะการขายทำกำไร และสามารถลงทุนได้นานขึ้น
11. สุดท้ายแล้ว แนวทางของกองทุน B-USALPHA จะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนภาพรวมของคุณได้อย่างไร ?
ในมุมมองการจัดพอร์ตลงทุน การกระจายสินทรัพย์เสี่ยงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวงคือ การจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ทั้งในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง
ในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่เป็นหุ้นทั่วโลก ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การเอามาเป็นแกนหลักของพอร์ต (Core Port) กับเอาเป็นตัวเร่งในแต่ละธีม (Thematic) โดยส่วนที่เป็นแกนหลัก ควรที่จะให้มีการกระจายหลายประเทศ และหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
แล้วควรลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาเท่าไร ? หากอ้างอิงจาก MSCI Index มีสัดส่วนบริษัทในสหรัฐอเมริกา กว่า 58% อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ความเสี่ยงที่รับได้ และความเข้าใจของแต่ละคนด้วย
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่พัฒนาแล้ว มีผลการดำเนินงานดีที่สุดใน 10 ปีที่ผ่านมา คือปีละ 14% และมีความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
สรุปได้ว่า การลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นของต้องมีในพอร์ต และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ในหุ้นเติบโต ย่อมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย นั่นเอง..
online payment คืออะไร 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
SC Asset X ลงทุนแมน
กรณีศึกษา SC Asset ทำยอดขายบ้านให้โต ในช่วง COVID-19 ได้อย่างไร /โดย ลงทุนแมน
ต้องบอกว่าธุรกิจอสังหาฯ ในเมืองไทยกำลังเจอ ภาวะท้องอืดท้องเฟ้อ ซ้ำซ้อน
เมื่อปีที่แล้ว จากมาตรการ LTV ที่แบงก์ชาติบังคับเงินดาวน์แพงขึ้นจาก 10% เป็น 20% สำหรับการขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2
เป็นการสกัดกั้นนักลงทุนที่เก็งกำไร ที่ส่งผลโดยตรงให้ยอดขายที่อยู่อาศัยลดน้อยลง
มาในปีนี้ ก็ต้องเผชิญกับการระบาดของ COVID-19
ที่ทำให้คนที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยมีการระมัดระวังการใช้เงินก้อนใหญ่หรือกู้เงินธนาคาร
ผลที่ตามมาก็คือภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จากที่ชะลอการเติบโตอยู่แล้ว ก็ต้องเจอผลกระทบ
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ หลายบริษัทที่มีปัญหาในเรื่องยอดขายจึงปรับตัว บางรายประสบความสำเร็จ บางรายก็ล้มเหลว
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ สำหรับบริษัทอสังหาฯ ที่ปรับตัวได้ดีในช่วงนี้ก็คือ SC Asset
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ SC Asset มียอดขายที่โตสวนกระแสกับที่ทุกคนคิดว่ายอดขายต้องหดตัวลง
โดยยอดขายที่อยู่อาศัยแนวราบของ SC Asset เติบโต 16% ในรอบ 17 สัปดาห์จากต้นปี 2563
SC Asset ปรับตัวในช่วงวิกฤติ COVID-19 อย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 นอกจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลดลง
อีกหนึ่งสิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือคนไม่ออกจากบ้าน
จากนั้นก็พึ่งพาเกือบทุกอย่างในชีวิตผ่านโทรศัพท์มือถือ
ทั้ง สั่งอาหาร ดูหนัง ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทางออนไลน์
และพฤติกรรมเหล่านี้ก็ย่อมส่งกระทบโดยตรงต่อยอดขายที่อยู่อาศัย
เพราะเมื่อคนไม่ออกจากบ้านมาดูโครงการต่างๆ การจะตัดสินใจซื้อก็ไม่เกิดขึ้น
แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน
ถึงการระบาด COVID -19 จะทำให้คนไม่ค่อยออกจากบ้าน
ซึ่งก็ทำให้มีเวลากับครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม
บางคนทำอาหารในครัวทานเองบ่อยขึ้น บางคนปลูกต้นไม้ เลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมว
เรื่องเหล่านี้จึงทำให้ หลายคนเริ่มอาจรู้สึกว่าต้องการที่อยู่อาศัย ที่มีพื้นที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
และ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือโอกาสของการขายที่อยู่อาศัยแนวราบ นั่นเอง
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ SC Asset ที่นอกจากในเว็บไซต์จะโชว์ไฮไลต์ของบ้านที่นำเสนอขายทุกหลัง
ก็ยังมีการ Live สด ทุกโครงการผ่านทางเพจ Facebook ของตัวเอง
ในทุกๆ วันเสาร์เวลา 13.00 น. ซึ่งในคลิป จะมีพิธีกรมาบอกรายละเอียดทุกซอกทุกมุมของที่อยู่อาศัย
ไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลางอำนวยความสะดวกต่างๆ เสมือนเราเดินทางมาดูด้วยตัวเอง ทำให้คนที่ต้องการซื้อบ้านสามารถเห็นภาพจริงได้โดยที่ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องเสียเวลาไปดูที่โครงการ
และอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ COVID-19 นี่แหละเป็นตัวเร่งที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อบ้านได้เร็วกว่าเดิม
เพราะทุกคนรับรู้ว่า ในช่วงนี้ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯจะมี “โปรโมชัน” มอบข้อเสนอที่ดีกว่าช่วงเวลาปกติ แบบที่ไม่มีมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีค่าส่วนกลางนาน 5 ปี เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ยังไม่มั่นใจกับสภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
และผู้บริโภคที่มีความพร้อมก็ตัดสินใจซื้อทันที เพราะพวกเขาก็รู้ว่าเมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขาจะหาราคาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
แล้วรู้หรือไม่ว่าในช่วง COVID-19 เราสามารถซื้อที่อยู่อาศัยของ SC Asset ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เพราะแค่ทัก chat จองนัดผ่านทางออนไลน์ เมื่อข้อมูลมาถึงฝั่งพนักงานขาย
เขาก็จะติดต่อมาที่เราพร้อมโชว์บ้านที่เราสนใจแบบ Virtual
และถ้าเราสนใจก็สามารถจองได้ในทันที
ทีนี้เมื่อมาบวกกับหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ “แบรนด์” ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ถ้าถามว่าแบรนด์ไหนเด่นในโครงการแนวราบ หนึ่งในคำตอบก็จะมี SC Asset ซึ่งในปี 2562 ที่ผ่านมา SC Asset มียอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป
และเมื่อสามารถทำตลาดตอบโจทย์รอบด้าน จนถึงมีแบรนด์ ที่ได้รับการยอมรับ ก็เลยทำให้ SC Asset มียอดจองที่อยู่อาศัยแนวราบเติบโตสวนกระแสในช่วงตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และสามารถปิดการขายโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต จำนวน 121 หลัง มูลค่า 1,050 ล้านบาทได้ พร้อมกับเตรียมจ่อปิดโครงการแนวราบอีก 6 โครงการเร็วๆ นี้ และในเดือน พ.ค. นี้ยังเปิดโครงการใหม่เป็นบ้านเดี่ยวอีก 4 โครงการพร้อมกัน มูลค่ารวม 4,240 ล้านบาท
เรื่องนี้นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย
เพราะในช่วงที่ธุรกิจดูมืดมน จากผลกระทบที่คาดไม่ถึงอย่าง COVID-19
หลายบริษัทจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
แต่ก็มีบางบริษัทที่ทำได้ดี จนทำให้คนที่สบประมาทมาก่อนถึงกับต้องหันมาดูว่าทำได้อย่างไร
ถ้าจะถามว่า หัวใจของการปรับตัวในวิกฤติครั้งนี้ คืออะไร?
คำตอบก็น่าจะเป็น
ในทุกๆวิกฤติจะมีโอกาสอยู่เสมอ
ถ้าเราจับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ก็จะทำให้เห็นความสำเร็จได้เหมือนอย่าง SC Asset ในวิกฤติครั้งนี้
“คนที่จะอยู่รอด ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด
แต่เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุด”
-Charles Darwin
สำหรับคนที่สนใจ
สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ และดูรายละเอียดโครงการบ้าน ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมใกล้บ้านได้ที่ https://bit.ly/2Jz7siI
หรือโทร 1749 พร้อมให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษ
หรือจะทัก Chat สอบถามข้อมูลโครงการ ได้ตลอด 24 ชม.ได้ที่ Facebook Chat: http://m.me/scassetLine : @scasset http://line.me/R/ti/p/%40scasset
References
-https://www.reic.or.th/News/RealEstate/441783
-https://www.facebook.com/scasset/
SC Asset X Invest Man
How can a case study of SC Asset make home sales to grow up during COVID-19? / by Investing Man.
I have to say that the cuddle th business in Thailand is facing flatulence, stomach, redundant.
Last year, from LTV measures that the national bank forced down payment from 10 % to 20 % for the 2th mortgage.
It's an interception of profit investors that directly affect housing sales.
Coming this year, I have to face COVID-19 outbreak.
That makes people thinking about buying housing be careful using big money or bank loan.
The consequences are an overview of the real estate market from slowing down growth. It has to be affected.
When things are like this, many companies have problem with sales are adapting. Some of them are successful. Some of them fail.
One of the interesting case studies for the cuddle Major company that has adapted well during this period is SC Asset.
What happens is SC Asset has a big sales in trendy park with which everyone thinks sales are shrinking.
SC Asset housing sales grow 16 % in 17 weeks from the beginning of 2563
How SC Asset adapts to Covid-19 crisis?
Investing man will tell you about it.
Covid-19 outbreak in addition to slowing down
Another thing we apparently don't leave the house
Then relying on almost everything in life through cell phones.
Order food, watch movies, buy consumer products online.
And these behaviors will directly affect housing sales.
Because when people don't leave the house to see projects, buying decision doesn't happen.
But coins have two sides.
Even the COVID-19 outbreak will make people rarely leave the house.
Which makes family time to do more activities.
Some people cook in the kitchen more often. Some people plant trees and dogs and cats.
These things make a lot of people start to feel that they need more housing with wider spaces.
And what happens is the opportunity of selling a plateau housing.
When things go like this, SC Asset, in addition to the website shows highlights of all homes offered for sale.
There is still live in every project via my own Facebook page.
Every Saturday at 13.00 pm In the clip, there will be a host to tell details about every corner of the residence.
Going to central areas, facilitating virtual facilities. We come to see for ourselves. People who want to buy a house can see the real picture without worrying and don't waste time. Visit the project.
And another interesting point is COVID-19 is the catalyst that makes people decide to buy a house faster.
Because everyone is aware that in this period, the developer of the cuddle rd project will have a ′′ promo ′′ to offer better than normal time without before. For example, free 5 year central fee to encourage consumers to decide to buy housing during the period. That's not sure about the economic situation that will happen from now on.
And the ready consumer decided to buy right away because they knew that when they passed this incident, they couldn't find this price anymore.
Did you know that during COVID-19 we can buy SC Asset housing 24 hours?
Because I just chat. Book an appointment via online when information comes to the sales staff.
He will contact us to show the house we are interested in virtual.
And if we're interested, you can book right away.
Now, when it comes to positive heart, the most important is the ′′ brand ′′ of a real estate developer.
If you ask me which brand is featured in the Plains project, one of the answers will have SC Asset. In the past 2562, SC Asset has the number 1 sales in the single house group. Price is 8 million baht or more.
And when it can be marketed to have a recognized brand, it makes SC Asset reservations grow, trendy parks during the real estate market, and can close the sales of Bangkok Bulervard Rang. The number of 121 seats worth 1,050 million baht. Prepare to close 6 more projects soon and in the month of November. July This is still opening a new project to be a single house. 4 more projects at once. Total value of 4,240 million baht.
This is an interesting case study.
Because during the time business looks dark from unexpected effects like COVID-19
Many companies need to adapt to survive.
But there are some companies that are doing so well that they have insulted before. They have to see how they do it.
If you ask, what is the heart of adaptation in this crisis?
The answer would be.
In every crisis, there will always be a chance.
If we catch changing consumer behavior
It will make you see success like SC Asset in this crisis.
′′ Those who will survive are not the wisest.
But I'm the best person who can adapt ′′
-Charles Darwin
For those who are interested
Special privileges and details of townhome home office and condominium nearby at https://bit.ly/2Jz7siI
Or call 1749 with staff to contact you back to offer special promotion.
Or you can talk to Chat for project information 24 hours. At Facebook Chat: http://m.me/scassetLine: @scasset http://line.me/R/ti/p/%40scasset
References
-https://www.reic.or.th/News/RealEstate/441783
-https://www.facebook.com/scasset/Translated
online payment คืออะไร 在 บทที่ 4 ระบบชำระเงินออนไลน์ e-payment - YouTube 的八卦
วิชา ธุรกิจดิจิทัลบนสื่อสังคมออนไลน์ (ปวส.)สอนโดย อาจารย์กฤติเมธ โอพั่งบทที่ 4 ระบบชำระเงินออนไลน์ ... ... <看更多>