ยาวครับ แต่ดีนะ
อ่านไม่ไหวก็แชร์ไปเก็บไว้ก่อนก็ได้ครับ :)
7 กฎเพื่อชีวิตที่งอกงาม
---
หนังสือเล่มเล็กของดีพัค โชปราที่มีชื่อว่า "The Seven Spiritual Laws of Success" นับเป็นบทสรุปที่เข้มข้นและเรียบง่ายในการดำเนินชีวิตสู่ "ความสำเร็จ"
เริ่มจากนิยามของ "ความสำเร็จ" โชปราให้คำจำกัดความว่า (1) มันคือสภาวะของการมีความสุขที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ (2) การตระหนักรู้ได้ถึงความเจริญก้าวหน้าของเป้าหมายอันมีค่าของตนเองอยู่ในทุกๆ ขณะ (3) คือความสามารถในการเติมเต็มความปรารถนาของคุณได้อย่างง่ายดาย (4) ความสามารถในการสรรค์สร้างความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ (5) มีสุขภาพดี (6) เต็มไปพลังและความกระตือรือร้นในชีวิต (7) มีความสัมพันธ์ที่ดี (8) มีอิสระในการสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ (9) มีความมั่นคงทางอารมณ์ (10) รู้สึกดีกับชีวิตและสงบสุขภายในใจ
คราวนี้ เราจะ "สำเร็จ" ตามนิยามนี้ได้อย่างไร
========================================
:: 1) กฎแห่งความเป็นหนึ่งเดียว ::
หันกลับเข้าหา "ภายใน" ไม่มุ่งยึดวัตถุ "ภายนอก"
การยึดถือวัตถุ ต้องการการยอมรับจากคนอื่น คาดหวังการตอบรับจากคนอื่น ต้องการควบคุมสิ่งต่างๆ สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากความกลัว
เราแสดงบทบาทหรือสวมหน้ากากเพื่อต้องการการยอมรับ แต่ถ้าเรามีความมั่นคงภายในย่อมไม่หวั่นไหวต่อคำวิจารณ์ ไม่กลัวต่อการท้าทายใดๆ ไม่รู้สึกว่าขึ้นอยู่กับความคาดหวังของใคร
วิธีฝึก: แบ่งเวลาเพื่ออยู่เฉยๆ อยู่กับความเงียบ เพื่อจะได้ยินเสียงของตัวเอง ความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเองที่ไม่ขึ้นอยู่กับสายตาและคำตัดสินของผู้อื่น
ความเงียบทำให้หายสับสน หายเร่าร้อน สงบ เข้าใจตัวเอง อาจเริ่มจากการให้เวลาตัวเอง "อยู่เฉยๆ" วันละครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้น
ฝึกไม่ตัดสินสิ่งใด--ทุกการตัดสินและวิเคราะห์วิจารณ์คือการก่อกวนความสงบในจิตใจ ลองหา "พื้นที่ว่าง" ให้กับการประเมินค่าต่างๆ จะพบกับความสงบนิ่งในใจมากขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง
ฝึกมีช่วงเวลาอยู่กับธรรมชาติ--นั่งเงียบๆ มองต้นไม้ สูดกลิ่นดอกไม้ จ้องมองคลื่นน้ำ จะได้รับความสุขของชั่วขณะนั้น เชื่อมโยงธรรมชาติเข้ากับโลกภายในของเรา
ทั้งสามกิจกรรมนี้เพื่อละวางจาก "มายา" ที่สายตาคนภายนอกสร้างขึ้น แล้วกลับไปสู่ "ความจริง" อันเงียบสงบภายในใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน
======================================
:: 2) กฎแห่งการให้ ::
ให้และรับเพื่อให้วงจรของธรรมชาติไหลต่อเนื่อง
กฎของธรรมชาติคือการไหลเวียน หากใครกักสิ่งใดไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียว ผู้นั้นย่อมมีสภาพเหมือนตายแล้ว ชีวิตคือการให้และรับต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ยิ่งมอบความสุขยิ่งได้รับความสุขกลับคืนมา
วิธีฝึก: ตกลงกับตัวเองว่า เมื่อจะไปพบกับใครก็ตาม คุณจะมอบบางอย่างให้กับเขา สิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวของราคาแพง แต่อาจเป็นดอกไม้สักดอก คำอวยพร คำชื่นชม กำลังใจ หรืออ้อมกอดก็ได้
อ้าแขนออกรับของขวัญจากชีวิต ทั้งจากธรรมชาติและผู้คนรอบตัว แสงแดด เสียงนกร้อง ใบไม้ผลิใหม่ คำชื่นชม รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กำลังใจ และรู้สึกขอบคุณที่ได้รับสิ่งเหล่านี้
======================================
:: 3) กฎแห่งกรรม ::
สิ่งที่ทำจะก่อพลังงานที่ย้อนกลับมาหาเรา
ลองถามตัวเองก่อนทำอะไรก็ตามด้วยคำถามง่ายๆ สองคำถาม หนึ่ง-"อะไรคือผลที่จะตามมาของการเลือกกระทำสิ่งนี้" สอง-"ทางเลือกที่ฉันจะตัดสินใจนี้จะนำความสุขมาให้ตัวฉันเองและคนรอบข้างหรือไม่"
ตัดสินใจอย่างมีสติ พุ่งความสนใจไปที่ร่างกายตัวเอง หากร่างกายบ่งบอกถึงความอุ่นใจก็แปลว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่สบายกายไม่สบายใจก็ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
หากทำกรรมซึ่งนำมาซึ่งผลร้ายไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือเปลี่ยนผลของกรรมให้เป็นประสบการณ์ที่น่าพึงปรารถนามากขึ้น โดยถามตัวเองว่า "ฉันสามารถเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้ได้บ้าง ทำไมจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น อะไรคือสิ่งที่ชีวิตกำลังสอนเราอยู่ และฉันสามารถทำให้ประสบการณ์นี้มีประโยชน์ต่อคนอื่นได้ยังไงบ้าง"
"กรรม" เกิดขึ้นและดำเนินไปเพื่อให้เราเติบโต รวมถึงทำให้คนที่อยู่รอบข้างเราเติบโตทางจิตวิญญาณขึ้นด้วยเช่นกัน เช่นนี้แล้ว ผลของกรรม-หากมองเห็นประโยชน์-ย่อมนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จ
=======================================
:: 4) กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด ::
กลมกลืน ไม่ฝืนธรรมชาติ แค่เป็นไป
ต้นหญ้าไม่ได้พยายามเติบโต มันเพียงงอกงาม ดอกไม้ไม่พยายามจะบาน มันเพียงเป็นไป
พลังส่วนใหญ่ของเราถูกใช้ไปกับการให้ความสำคัญกับตัวเอง ปกป้องตัวเอง บังคับควบคุมให้ทุกสิ่งไปในแนวทางของฉัน
สามสิ่งที่ทำได้คือ หนึ่ง-ยอมรับ ฝึกได้ด้วยการบอกตัวเองว่า "วันนี้ฉันจะยอมรับผู้คน สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และเหตุการณ์ต่างๆ อย่างที่มันปรากฏขึ้น ฉันตระหนักรู้ว่าช่วงเวลาขณะนี้มันเป็นอย่างที่มันต้องเป็น หากมีสิ่งไม่ถูกใจก็เพราะมันเป็นผลจากการเลือกของฉันในอดีต"
การยอมรับไม่ได้หมายความว่าจะไม่แก้ไข แต่การยอมรับคือการไม่เสียพลังไปกับการบ่น ฝืน พยายามโบยตีตัวเอง หากคือการทำความเข้าใจ ขณะเดียวกันก็ปรารถนาที่จะให้สิ่งที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้ และลงมือทำให้ดีขึ้นได้
สอง-รับผิดชอบ ไม่กล่าวโทษสิ่งอื่น คนอื่น รวมถึงตัวเอง แต่ยื่นมือเข้าไปรับผิดชอบ มีปฏิกิริยาที่สร้างสรรค์ในเหตุการณ์นั้นๆ หาหนทางสร้างสิ่งใหม่ เป็น "ผู้กระทำ" มิใช่ "ผู้ถูกกระทำ"
สาม-พยายามให้น้อยที่สุด คือไม่ปกป้องความคิดใดๆ ของตนเอง คนส่วนใหญ่ใช้เวลาถึง 99 เปอร์เซ็นต์ไปกับการปกป้องตนเอง ถ้าเราละทิ้งเสียได้ ก็จะได้พลังมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่มากขึ้นมหาศาล การปกป้องย่อมพบแรงต้าน แต่การเปิดกว้างยอมรับทุกคำพูดและความคิดเห็นย่อมทำให้พบโอกาสและไอเดียใหม่ๆ แค่ยึดตัวตนให้น้อยลง ไม่ฝืน ทำให้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น วันหนึ่งดอกไม้ก็จะงอกงามไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องเร่งเร้าหรือพยายามปกป้องตัวเองขนาดนั้น
========================================
:: 5) กฎแห่งความมุ่งมั่นและความปรารถนา ::
สองสิ่งนี้คือพลังที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
อะไรก็ตามที่เราให้ความสนใจ มันจะเติบโตแข็งแรงขึ้นในชีวิตของคุณ อะไรที่คุณไม่ให้ความสนใจ มันจะอ่อนกำลัง สลายตัว และหายไปจากชีวิต
ความมุ่งมั่นที่เกิดจากความสนใจด้วยตัวเองมีพลังมหาศาล มันจะจัดการสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจนได้ ไม่ว่ายากหรือซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม
"ความปรารถนา" นั้นอ่อนแอ เพราะมันมองไปที่ผล แต่ "ความมุ่งมั่น" ไม่สนใจผลลัพธ์ ขอแค่ได้ทำอย่างเต็มที่ ไม่สนอนาคตมากเท่าปัจจุบัน เมื่อไม่ยึดติด ไม่กังวล ไม่หิวกระหาย ก็จะสงบเย็น มั่นคง และมุ่งหน้าสู่เป้าหมายได้แบบไม่พะรุงพะรัง
ทำในส่วนที่ทำได้ให้ดีที่สุด ที่เหลือก็ไม่ยึดติด ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างจัดสรรไปตามแต่ที่มันจะเป็น
=======================================
:: 6) กฎแห่งการปล่อยวาง ::
ปราศจากการปล่อยวาง เราจะเป็นนักโทษ
หากไม่ปล่อยวางเลย เราจะติดอยู่กับถ้อยคำของผู้คำ วิตกกังวลกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เคร่งเครียด
การไขว่คว้าหาความมั่นคงแน่นอนเป็นภาวะยึดติดกับสิ่งที่ "รู้อยู่แล้ว" หากวางนิสัยนี้ได้ เราจะเปิดตัวเองออกสู่สิ่งที่ "ยังไม่เคยรู้" ซึ่งกว้างขวางและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ใหม่ๆ
วิธีฝึก: ไม่ฝืน เฝ้ามองความไม่แน่นอนนั้น ดูว่ามันจะคลี่คลายไปสู่อะไร เมื่อไม่คาดหวังว่ามันจะ "ต้องเป็น" แบบใด ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ยอมรับได้ทั้งสิ้น
ฝึกใจเช่นนี้บ่อยๆ เราจะเป็นผู้ที่สงบนิ่งในทุกสถานการณ์ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และก้าวเดินสู่ความอัศจรรย์ของชีวิตที่เปิดกว้างและไม่มีทางรู้ล่วงหน้า
========================================
:: 7) กฎแห่งเป้าหมายในชีวิต
หาสิ่งที่เราทำได้ดี ทำให้สิ่งนั้นเต็มที่
มีบางอย่างที่คุณทำได้ดีกว่าคนอื่น ค้นหา ใช้เวลา และเชื่อมั่นในสิ่งนั้น ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถามตัวเองว่าจะใช้ศักยภาพนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร สิ่งนี้จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งทั้งในแง่จิตวิญญาณและรายได้
ใช้ความสามารถของเราเพื่อประโยชน์ของคนอื่น เราก็มีความสุข เขาก็มีความสุข สู่ภาวะของการผลัดกันให้และรับ
ทำเต็มที่อย่างมุ่งมั่น ทำด้วยใจที่ปล่อยวาง พยายามให้น้อย ไม่ฝืน เลือกทำแต่กรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่น มีจิตใจที่อยากให้อยู่เสมอ ไม่เผลอไปยึดติดกับสิ่งภายนอก แต่หมั่นสื่อสารกับตัวเอง เข้าใจตัวเอง ให้เวลาเงียบสงบกับตัวเอง
เหล่านี้คือหลักปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ ที่จะนำพาเราไปสู่ชีวิตที่งอกงามและงดงามทั้งต่อตัวเองและคนอื่นได้
=======================================
ขอบคุณพี่องุ่น-นันท์ วิทยดำรง ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ที่มอบหนังสือที่มีคุณค่าให้อ่านและนำมาปรับใช้ในชีวิตครับ (สนพ.nant book)
ภาพดอกไม้ฝีมือ Vincent van Gogh
***กด like กดติดตาม หรือ กด see first เพจนี้กันไว้ได้นะครับ จะนำสาระความรู้ดีๆ มาฝากอย่างสม่ำเสมอครับ***
7 rules for life that flourish
---
A small book of cuddle Kchopra titled "The Seven Spiritual Laws of Success It is an intense and simple conclusion to live to" success
Start with the definition of "success" to define (1) it is the condition of happiness that increases and (2) realization of the thrive of your own precious goals. In every moment (3) is the ability to fulfill your desires with ease (4) the ability to create wealth, (5) healthy (6) full power. And enthusiasm in life (7) have good relationships (8) have freedom to create things (9) emotional stability (10) feel good about life and peaceful. In my heart.
How can we "succeed" this definition?
========================================
:: 1) The law of oneness ::
Turn around to " inside " not focus on " outside " objects.
Holding on to objects requires acceptance from others. Expect response from others, want to control things. These are based on fear.
We act a role or wear masks to want acceptance. But if we have internal stability, we will not be shaken by criticism, not afraid of any challenge. Don't feel like it depends on anyone's
How to practice: to stay still in silence, to hear your own voice, true desires that does not depend on the eyes and judgments of others.
Silence makes me feel confused. I understand yourself. It may start by giving yourself a half an hour of time " a day. Slowly increasing time.
Practice not judging -- Every judgement and criticism is harassing peace in the mind. Try to find "space" to find more and more calm in mind.
Practice having a moment with nature -- Sit quietly, look at the trees, smell the flowers, stare at the waves, the happiness of the moment. It will be connected
These three activities are to drop from " Maya " that the eyes of the outside created and return to the " truth " within the heart which is connected to nature.
======================================
:: 2) The law of giving ::
Give and receive so that the cycle of nature flow continuously.
The law of nature is to flow. If anyone keeps anything with himself, he is dead. Life is to give and receive continuously. The more you give, the more you give, the more happiness, the more you receive.
How to practice: agree with yourself that when you meet with someone, you will give him something. It doesn't have to be expensive, but it may be a flower, blessing, appreciation, encouragement or a hug.
Open arms, receive gifts from life, both nature and people around the sunlight, birds, new leaves, appreciation, laughter, encouragement, and grateful to receive these.
======================================
:: 3) The law of karma ::
What I do will come back to us.
Ask yourself before doing anything with two simple questions -" What are the consequences of choosing to do this " two -" will I decide to bring happiness to myself and those around you -"
Make a conscious decision. Interesting to your body. If the body indicates reassuring, it means it's the right choice. But if you are not comfortable, it shouldn't be a good
If you do karma, all we can do is change the result of karma into a more desirable experience by asking yourself, " what can I learn from this experience? Why is this? What is life? Teaching us and how can I make this experience useful to others "
"Karma" happens and goes on for us to grow, including people around us to grow spiritually as well. Then the result of karma - if you see the benefits - will bring happiness and success.
=======================================
:: 4) The law of trying to the least ::
Blend in, not against nature. Just going.
Grass doesn't try to grow. It just flourish. Flowers don't try to bloom. It's
Most of our power is used to focus on self-defending ourselves, forcing everything to go in my way.
Three things that I can do is one - accept practice by telling myself, " Today I will accept people, situations, and events as it appears. I realize that the moment is what it has to be if there is unliked because It's a result of my picks in the past "
Accepting doesn't mean not fix it, but accepting is not to lose power to complain. Try to hit yourself. If it is to understand, you wish to make things to be better and do better.
Two - take responsibility, don't blame others, including yourself, but take responsibility. There is a creative reaction in that event. Find a way to create new thing as " the " doer " not "
Three - try the least is not to protect their own thoughts. Most people spend up to 99 percent to protect themselves. If we can abandon, we will get more power to create more new things. Protection will find resistance. Accept every word and comment will make you find new ideas. Just hold of yourself less. Do your best in that situation. One day the flowers will flourish naturally. No need to rush or try to protect yourself like that much.
========================================
:: 5) Law of Determination and Desire ::
These two are the power to lead to success.
Whatever our attention will grow stronger in your life. Anything you don't pay attention to will be weak and disappears from life.
Determination caused by self-interest is powerful. It will manage things. No matter how difficult or complicated it is.
" Desire " is weak because it looks at the result, but " determination " doesn't care about the result. Just do your best as much as the future as the present. When you don't worry, don't worry, you will be calm, you will be calm and head towards I'm confused.
Do what you can do your best. The rest is not attached. Let everything be allocated as it will be.
=======================================
:: 6) The law of letting go ::
Without letting go, we will be prisoners.
If you don't let go, we will be stuck with the words of those who are worried about small details.
Finding stability is definitely attached to what " already know " if you can put this habit, we will open ourselves to " unknown " which is full of new possibilities.
How to practice: Don't keep an eye on uncertainty. See what it unfold. When you don't expect it "must be" any kind of results come out. It's up to accept it.
Practice like this often. We will be calm in every situation. Accept what happens and walk into the wonders of an open life and never know in advance.
========================================
:: 7) The law of goals in life.
Find out what we do well. Do it to the fullest.
There is something you can do better than others. Take time and believe in it. Keep doing better. Ask yourself how to use this potential to benefit human friends. This will bring wealth both spiritual and income.
Use our talents for the benefit of others. We are happy. They are happy to the condition of taking turns and receiving.
Do your best. Do it with your heart that you let go. Try less, don't choose to do karma that benefits yourself and others. Always have a heart that you want to stay. Don't accidentally stick to the outside, but communicate with yourself. Understand yourself. Give time to be quiet. With myself
These are little practices that will lead us to a beautiful and beautiful life for ourselves and others.
=======================================
Thank you brother Grape - Nonthawittai, the translator of this book for giving me a valuable book to read and apply it in life. (Sor. nant book)
Vincent van Gogh flower photo
*** Press like, press follow or see first this page. I will bring you good knowledge regularly. ***Translated
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過283萬的網紅bubzbeauty,也在其Youtube影片中提到,[READ ME] Hey everybody, This video is going to demonstrate how you can use a bit of makeup to create an illusion of a slimmer & taller nose by the t...
mean power definition 在 Facebook 八卦
哈佛知識分享:《做生意的三個 S》 - 七集介紹、第一及第二集。
做生意有三個 S: Survive (生存), Sustain (持續), and Succeed (成功).
全文內容:
https://docs.google.com/document/d/1grPxQjlN7OUFarSI3KYLgbQL1-7Bw3-X3uPTqV9_mZA/edit?usp=drivesdk
。。。。。。。
My hobby 《星期六早餐會》!
七/八/九月份早餐會 Topic: Applying "Michael Porter" to your business: How to compete and win!
哈佛分享: 如何應用「米高波特」於你盤生意? 點競爭? 點贏?
講起哈佛策略教授, 無人出名過 Michael Porter. 有幸我2017年在哈佛親身上過他教的課程, 今次早餐會同你分享,希望對你做生意亦有所啟發。
有興趣參加啦 😃 每次限四位 (包括我)。 人多傾唔到計。
7月/8/9月份,逢星期六早上9時開始,約三小時半。地點中環。
對象: 中小企老闆/創業者/公司管理層,連我限4位。
有興趣參加的話,請 whatsapp 你的名片給 Suki (我助手) (+852) 5566 1335。
我唔係靠呢行搵食,免費,我請食早餐 😉 Be friends ..... 有機會到時見你。李根興 Edwin
www.edwinlee.com.hk
www.bwfund.com
聯絡李根興 whatsapp (+852) 90361143
。。。。。。。
1. 先講生存 survive - 即係收入多過支出。連錢都賺唔到,日日蝕做乞衣,唔好講嘢。 絕大部分生意,五年內都係生存唔到!
2. 再講持續性 sustain - 持續地賺到錢,持續地收入多過支出,Sustaining 養活咗99%中小企, 但佢哋永遠都係中小企 ,因為可能幾十年業績都浮浮沉沉!
3. 要成功就講 Succeed, I mean become really really Super Successful - How to win? 就要講策略 Strategy.
Do you have a strategy? 你做生意有無策略?
根據哈佛最出名嘅策略教授 Michael Porter "The first test of a strategy is whether your value proposition is different from your rivals. If you are trying to serve the same customers and meet the same needs and sell at the same relative price, then you don't have a strategy. "
如果你嘅價值主張係同你嘅競爭對手一樣, 即係話你服務緊同一班客, 解決緊同一問題, 收緊差唔多價錢的話, 哈佛教授米高波特就講你係「人做你做」,你「無策略」 。 長遠,你唔會賺大錢! You can only sustain, but cannot be super successful! 咁應該點?
Understanding Michael Porter! 何謂競爭? 何謂策略? 如何勝出? What is competition? What is strategy? How to win?
Michael Porter 相信係仲在生最出名嘅大學策略教授, 佢1979年首次提出嘅 Porter's Five Competitive Forces (行業競爭五大動力), 1980提出嘅 Four Generic Strategies (四個一般策略), 1985年再提出嘅 Value-Chain Analysis (價值鏈分析), 讀過任何 business school 嘅同學都應該學過。 佢今年已經七十四歲, 唔知仲可以教多幾耐書,有幸我2017年去哈佛大學親身上過佢課程,畢生受用。
今次我就一連七集,同你分享呢本書 Understnding Michael Porter。
(1) Competition, what's the right mindset? 你應該點諗「競爭」?
(2) What are the Industry Competitive 5 Forces? 什麼是行業的五大動力? 對你利潤有什麼影響?
(3) Competitive advantage through your value chain 你的企業價值鏈如何令你有競爭優勢?
(4) What is strategy? How do you create value? 什麼是策略 ? 你如何創造價值?
(5) The trade-offs. 要「取」得更多,就要「捨」得更多。 做生意如何「取捨」?
(6) Fit. 成間公司要言行一致! 全部力要向同一個方向走。
(7) Continuity. 持續性,無得急! 路遙知馬力!
有興趣聽多啲,就來我七/八月份星期六嘅早餐會啦! 下一集同你先講 (1) What is competition? what's the right mindset? 乜嘢係「競爭」? 你應該點諗「競爭」?
第一集:
哈佛知識分享:《何謂競爭? 你應點諗競爭?》What is competition? What's the right mindset?
一連七集: 今集同你先講《何謂競爭? 你應點諗競爭?》What is competition? What's the right mindset?
做生意你可以 Me Too, Me Better 或者 .... Me What? 乜嘢? 等陣再講。
Me too, 就係「人做你做」, 你要贏,只能夠鬥平! 同一碟乾炒牛河, 如果一樣味道,你就係要賣平啲,人哋先幫襯你。
Me better,就係你做得叻啲,你做得好啲、快啲、靚啲、新啲, 咁你就可以收貴啲! 你碟乾炒牛河,真材實料的,好味啲,就可以賣貴啲。
可惜前兩者,都係一個零和遊戲。 你贏,就人哋輸。 人哋贏,就你輸。個餅係得咁大,你日日講 market share (市場佔有率),但無新行業價值製造過, 個餅冇大到。
根據哈佛策略教授 Michael Porter, 做生意除咗 Me Too, Me Better, 你要盡量做到 NOT Me Best ... but ME ONLY. Be unique! 你做生意必需具獨特性。
佢話做生意 there is simply NO BEST! 冇話「最好」,因為唔同人客有唔同需要,你嘅產品啱,他們自然有需求。你要「創造需要」!
包括我在內, 之前香港都無「商舖基金」,買賣舖只有鬥平鬥靚。 但如果間鋪又要靚,又賣得平,硬係無錢賺。唯有靠大市升。但萬一唔升? 一個社運/肺炎,馬上個個炒家/投資者停晒。 依家個市好啲, 馬上「短炒」出返曬嚟。 但我覺得做生意係唔可以靠個市升去賺錢。 要個市跌,甚至乎大跌,都搵到食,咁先至係一盤生意。 容許我好自豪地講,社運/肺炎後,我哋買入咗31間香港街舖,沽出咗11間,合共約港幣7.9億嘅街舖,沽得嘅,間間賺錢,論宗數及論回報,都係同期全港 by far,I mean really really by far 最多! 我哋點做? 就係因為我哋行咗 Michael Porter 所講嘅,Be Unique ... be ME ONLY.
根據呢本書,Understanding Michael Porter, 佢講 what's the right mind-set for competition? 你應該點諗競爭?
盡量得,你應該諗 Not be the the best, but be unique。 唔係要做到最好,而係做到最獨特。
Not be number 1, but earn higher returns. 唔係要做到第一,而係要多啲回報,賺多啲錢!
Not focus on market share, but focus on profits. 唔係要市佔率,係要利潤。
Not serve the "best" customer with "best" product, but meet the diverse needs of target customers. 唔係要「最好」嘅產品,畀「最好」嘅客。而係 用唔同嘅產品,滿足唔同顧客嘅需求。
Not compete by imitation, but compete by innovation. 唔係人做你做,而係要創新!
Not ZERO SUM game, but POSITIVE SUM. 唔係「零和遊戲」、互相廝殺, 而係大家從不同層面創造價值, 可以有好多個贏家。
記住競爭,唔代表你一定要贏人。 打到兩敗俱傷,又有乜意思呢? 如果即使你打唔打低人,自己能夠賺多啲錢,咁又 why not? 點解要去打低人呢?
"Strategy explains how an organization, faced with competition, will achieve superior performance. The definition is deceptively simple." by Michael Porter.
好的策略,就係能夠解釋到點解有競爭對手環境下,你公司依然能夠達致較高回報。
Operation effectiveness is different from having a good strategy. 有高嘅營運效率,唔代表有好嘅策略。
Michael Porter 話 Operation effectivness 就好似隻老鼠喺個圈入面係咁跑咁, 無論你點跑得快,你都只係繼續喺個圈入面。 你可以勤力啲、做得快啲、做得好啲,但始終你繼續都係喺個圈入面。
但有好嘅策略,a good strategy , 就能幫你跳出呢個圈,帶去你想去嘅地方。
"If rivals all pursue the "one best way" to compete, they will find themselves on collision course." by Michael Porter
「如果所有競爭對手,都朝著一個「做到最好」的方向競爭, 大家只會撞到頭破血流。」
"Strategic competition means choosing a path different from that of others." by Michael Porter
「策略性競爭是指揀一條同競爭對手唔同的路。」
好似間茶餐廳咁, 你可以炒餸快啲,上菜快啲,服務好啲,埋單走多兩轉, 但係始終都係一間茶餐廳,只係做緊 Me Too 或者 Me Better. 人哋唔去你嗰間,就去另一間,係一個「零和遊戲」。 無論你點做得快啲、好啲,競爭對手一樣都會嘗試追上。 無策略,你會跑得好辛苦。 喺個圈入面繼續跑來跑去。
另一種諗法,或者你可以把間茶餐廳, 變成專做外賣, 加埋其他餐廳上你平台, 加下加下,變下變下,變成間 Deliveroo。同前者一樣,大家都係做食,但你專做外賣,咁你會唔會係 more unique? 更獨特! Earn higher returns, compete by innovation AND 做大啲個餅 positive sum game 呢? 會唔會有原本唔想食茶餐廳嘅人,都叫咗外賣返屋企食呢? Deliveroo 依家倫敦上市嘅市值係超過500億港幣, 試問有幾多間茶餐廳或飲食集團能做到呢?
唔想咁大改變? 試想想賣漢堡包。 麥當勞係全球最大快餐店,唔駛講。 佢嘅漢堡包係賣得最快,最多! 但你識唔識呢個女人? Lynsi Snyder. In-N-Out Burger 第三代接班人。
Michael Porter 話相比起麥當勞,佢唔係要最快最大最多,In-N-Out Burger 係要最新鮮嘅食材,never frozen, never microwaved,最有傳統風味,最具 family tradition 家族色彩, 餐牌/秘方基本上70年都不變過。McDonald / Burger King 餐牌有超過80樣嘢揀,佢只得少過15。
佢要嘅係家庭傳統 family tradition! 佢係要做少啲,做好啲,每人分多啲。雖然每間分店都賺到錢, 以舖比舖,平均每間In-N-Out Burger 舖嘅營業額係每年450萬美金,高過麥當勞的舖平均每年260萬美金,高出七成。每間 In-N-Out 舖嘅 Profit margin 估計高達20%,比同行競爭對手亦高出一倍, 佢就係要特登開少啲,開慢啲。用咗70年時間, 只係開咗三百幾間,全部自己直接經營兼自置物業, 為咗容易管理,絕大部分分店都係喺美國西岸。 佢每開一間分店往往啲人都要大排長龍, 有人揸幾個鐘頭車,甚至乎搭飛機/酒店過夜專登去食。
......
因為每間舖賺到錢,個個員工人工都特別高。例如,根據網上薪酬統計網站 Glassdoor.com,In-N-Out Burger 嘅 Store Manager 店長平均人工加花紅,係年薪美金16萬3千元。 麥當勞? 係美國只係4萬4千美金。In-N-Out Burger 高出近3倍。 最基層員工,人工都比市場高出5成。人工高,自然員工做耐啲,平均Store Manager 店長都做17年,員工上下一家人感覺強啲,對人客笑容自然多啲,服務好啲。
比起麥當勞,佢哋唔係鬥快鬥多。In-N-Out Burger 每個客往往都要等成起碼十分鐘先有漢堡包食。提起 Mobile ordering 手機落單, 咁啲人客唔使等咁耐? 聽下佢 CEO Lynsi Snyder 點講?
......
Be definition of Michael Porter, In-N-Out Burger is pursuing a different path from that of others. 行緊條自己嘅路。Be unique! Not to be number 1, but to earn higher returns. Not to focus on market share, but on profit. 唔同嘅客有唔同需求,既然自己回報可以高啲,點解需要打低競爭對手呢? Positive Sum Game, 個餅係做大咗! 雖然佢聲稱永遠都唔搞 franchise,永遠唔搞上市,全部自己親自經營,根據2021年福布斯富豪榜,In-N-Out 第三代老闆 Lynsi Snyder 身家現有36億美金,係榜內最年輕女士。 麥當勞嘅創辦人呢? 都唔知去咗邊度!
你呢? 你又打算點樣同人競爭? 記住,Michael Porter 話:
"In the vast majority of businesses, there is simply no such thing as "the best.""
絕大部分嘅生意, 冇嘢叫做絕對嘅「最好」!
BE UNIQUE. 做到 ME ONLY!
"Winning without beating others!" 「唔使打低競爭對手都勝出!」咁先至係「贏」嘅最高境界。
有興趣聽多啲 Michael Porter,就來我七/八月份星期六嘅早餐會啦! 下集我再同你講 (2) What are the Industry Competitive 5 Forces? 什麼是行業的五大動力? 對你利潤有什麼影響?
有時間就睇埋幾年前 CBS 對In-N-Out Burger 嘅報導,家族經歷過幾次嘅悲劇,依家留到第三代,佢哋嘅堅持可能亦對你做生意有所啟發。
第二集:
哈佛知識分享: What are the Industry Competitive 5 Forces? 什麼是行業的五大動力? 對你利潤有什麼影響?
The real point of competition is not to beat rivals. It's to earn profits.
競爭,最重要唔係要打低競爭 對手,而係要賺錢! - My favorite quote from Michael Porter.
今次一連七集同你講 Michael Porter. 上集同你講咗《何謂競爭? 你應點諗競爭?》What is competition? What's the right mindset? 今集同你講 (2) What are the Industry Competitive 5 Forces? 什麼是行業的五大動力? 對你利潤有什麼影響?
巴菲特 Warren Buffett 曾經講過: “When a management with a reputation for brilliance tackles a business with a reputation for poor fundamental economics, it is the reputation of the business that remains intact.”
當好聲譽嘅經理, 遇上差回報聲譽嘅行業,通常係行業嘅聲譽會繼續留低。
因此我經常話「先揀行業,後諗點做!」 做生意就好似賽馬比賽咁,要勝出,行業就係隻馬,老闆就係個騎師。 隻馬識飛嘅,騎師煲兩口煙都能勝出, 如果佢再加把勁, 鞭多兩下,咁就不得了, 可能賺到盤滿缽滿! 但如果隻馬係跛嘅,唔通騎師跑埋一份咩?! 咁就騎師唯有先要醫番好隻馬,再去比賽, 咁勝出機會率才更大。
但如何分析隻馬 (即係個行業) fit 唔 fit? 根據哈佛大學最出名嘅策略教授 Michael Porter,佢1979年首次提出嘅 Porter's Five Competitive Forces (行業競爭五大動力), 從五個層面分析個行業得唔得, 亦都係可以就住呢五個層面加強隻馬嘅競爭力。
分別係:
(1) Bargaining Power of Buyers 買家的議價能力。
(2) Bargaining Power of Suppliers 供應商的議價能力。
(3) Barriers to Entry 入行門檻。
(4) Threat of Substitutes 代替品的威脅。
(5) Internal Rivalry 內部競爭的激烈程度。
近年好多人提出,應再加多第6個:
(6) Availability of Complements 互補商品的存在。
要賺錢就係希望價錢 (Price) 高過成本 (Cost), 相差越大,你就賺錢越多。 但你要賺錢,你要知道你唔單止係同你競爭對手爭緊, 你同一時間係同緊你嘅買家、供應商、代替品、及潛在入行競爭者爭! 逐個逐個同你講,因為:
(1) 越大買家的議價能力 Bargaining Power of Buyers,就會把你價錢越撳低, 因為買家佢哋會講價,所以唔可以太依賴某個買家。
一般嚟講,如果最大嘅客戶佔你超過10%營業額,或者最大五個客戶佔你25%或以上營業額, 你就有customer concentration risk, 過份客戶集中的風險。 因為你好怕佢哋走, 佢哋議價能力就自然提升。 好多廠,某個歐美大客訂單都分分鐘佔咗超過一半生意額, 因此經常畀人牽住鼻子走,好多嘢做,但賺唔到錢。
"Powerful buyers will force prices down or demand more value in the product, thus capturing more of the value for themselves." by Michael Porter
「議價能力強嘅買家,會把價格推低或者對產品要求提升, 從而買家自己得到更大價值。」
包括我自己在內, 前排某大美資基金,管理美金資產幾百億,話同俾我幾十億同我合作投資商舖,但條件多多, 又呢樣又嗰樣 ... 唔只一間,仲有好多其他,我全部 say No。 就係因為我唔想過份依靠某大客,當我無本事。 我想細細間,慢慢增長,玩耐啲。遠遠好過霎時間爆發得太快,遲早市況一逆轉就爆鑊。
我成日話,我每季只係希望集資港幣6000萬,加我自己 top up 25%, 冇咁大個頭,唔好戴咁大頂帽 。我自己個 fund 每季集資,每年淨資產增長四五億港幣,每個月拉勻買入港幣5000萬街舖,沽2000萬,I'm happy! 買下買下,好快就買足1000間街舖。要依賴就依賴我自己,信得過多好多。
為咗增長,你又有冇過份依賴某個或幾個大客呢? 如果佢哋鏈你或者執咗,你又會點呢?
仲有, 唔單止客人大,佢哋嘅議價能力先至強。如果你嘅產品係市場係冇乜差異化, no differentiation, 人做你做, me too strategy, 個個都係度格價的話,佢哋買家議價能力都係好強。因為人哋平一蚊,佢哋就走咗,buyers are very "price sensitive", 你為咗留客,唯有減價。因此,you have to be different, 同其他競爭對手有所唔同, 咁即是你加價,買家都留低幫襯你。 但問心,你盤生意同人哋又有幾唔同呢?
(2) 越大供應商的議價能力 Bargaining Power of Suppliers,就會把你成本提升,因為供應商佢哋會加價。員工、舖嘅業主都係間茶餐廳嘅供應商。 銀行就係財務公司嘅供應商, 我最大嘅供應商就係嗰班沽舖嘅業主, 因為每個月我洗緊五千萬入貨。
"Powerful suppliers will charge higher prices or insist on more favorable terms, lowering industry profitability." by Michael Porter
「議價力強嘅供應商,會收貴啲價錢,或者要求更有利嘅條款 ,導致降低成個行業嘅利潤率。」
香港好多生意都係代理某品牌/產品或 franchise (特許經營)開始,佢哋都係供應商。但如果咁多年不斷都只係靠做代理/franchise,好就好,萬一外國某品牌易手或同第二代唔啱,咁就大鑊。
Michael Porter 話,如果 switching cost (轉換成本)係高嘅, 例如果佢哋要重新當地請人 、重新開舖、重新鋪設個網絡,供應商都可能焗住留低,佢哋嘅 bargaining power (議價能力)會下降。 但如果, 一下子終止代理或 franchise 協議,就所有嘢歸佢,咁你就大鑊! 供應商嘅議價能力極強, 就好似香港嘅7-11咁。
7-11而家在香港開到一千間分店,當中大約400間係特許經營。話就話係特許經營比創業者創業,實質上所有嘢都係歸牛奶公司 (7-11母公司), 加盟者其實只係攞住嚿錢打份工, 話走就走,人客都唔知發生乜事。 問心,你同我都唔知邊間7-11是嗰400間特許經營。咁樣供應商的議價能力 bargaining power of supplier 就極強。 因此, 我認識好多711的加盟者, 勤力守規矩一定搵到食,但發達,住山頂洋樓養番狗?! 我 so far 仲未聽過。
做生意目標,根據 Michael Porter, 就係要把你嘅供應商議價能力降低。 從多啲唔同渠道入貨,流程盡量標準化,好似大家樂/McDonald's 咁,咁對員工既依賴程度亦都會降低。 做代理嘅,就 make sure 即使唔做,啲人物、網絡係歸你。 我識好多朋友,都係一面做代理,另一邊就建立自己品牌, 打長短棍做生意。 代理係短棍(賺錢),自己品牌係長棍(投資),睇長線。
你又打算點降低你對供應商嘅依賴程度, 增強你自己嘅議價能力呢?
(3) 越低入行門檻 Barrier of Entry 就會把你價錢下降及成本提升, 因為多人入嚟爭,自然大家都減價促銷及加價搶人搶貨。
"Entry barriers protect an industry from newcomers who would add new capacity." by Michael Porter
入行門檻會減低新加入者增加產量。 產量多,自然價格下跌。 向供應放入貨都會多咗,亦都會搶高來貨價。 因此做生意嘅你,就要盡將個入行門檻提升。主要有三方法:
(1) 做到好大,有規模經濟(economies of scale), 咁你每件貨生產嘅平均成本就會下降,即是規模報酬遞增(increasing returns to scale), 咁競爭對手就好難入嚟同你爭。
(2) 做到好專, 只要你有某專業知識,人客就會好依賴獨有技能。 例如我自己唔單止淨係投資地產,我係專買街舖。 我唔單止係領展/黑石等大地產基金,大我唔夠他們大,但我係專買香港五六千萬以下街舖嘅商舖基金。 當你做得專,人客自然好難搵替代品。
(3) 當多一個人客使用,對原本個人客價值就提升,this is what we call "Network Effect" (網絡效應)。例如whatsapp/wechat/facebook/youtube,全世界只得你一個人用就冇用,越人用對你嘅價值就提升。
如果你有齊以上三樣嘢,恭喜你,新競爭對手好難入嚟同你爭! 你有排賺錢。 但如果你三樣都冇,你只係 Me too Me Better 嘅策略的話, 我估你只會繼續浮浮沉沉, survive (生存) and sustain (持續)唔難, 但好難 become super successful (好成功).
第四動力 : (4) 越大代替品的威脅 Threat of Substitites 就會把你價格下降, 因為人客可以選擇其他商品,唔駛用你。
"Substitutes - products or services that meet the same basic need as the industry's product in a different way - put a cap on industry profitability. " by Michael Porter
「產品或者服務嘅代替品, 會把整個行業嘅利潤封頂。」
例如 DVD rental 租碟, 令到好多人唔駛買碟. 有 Netflix 嘅 streaming 就唔駛再去租碟。 有高鐵就搭少啲飛機, 有whatsapp就打少啲電話, 有數碼相機就少人用菲林相機。It's all true!
因此你經常都要諗下你嘅行頭會唔會突然間有代替品 substitutes 去衝擊你成個行業。 咁你點應對呢?
包括我自己在內,有網購,就自然落少間舖買嘢。 因此長遠舖價必定受網購影響。 但我只買街舖, 香港有大約有十萬間街舖, 我只想好似7-11咁,當中揸住一千間,我係業主。即1%。 我相信網購點發達,都唔會快過你行過條街口喝入去7-11買包嘢飲。 因此我揀舖都要好小心。 我只買街埔,係因為街舖冇新供應。 網站可以有好多個,商場可以再起一千個,但街鋪無。 啟德、東涌、將軍澳、明日大嶼都好,都係無街舖賣。 物以罕為貴。而我盡量都只買可以做飲食及服務業嘅街舖, 難被網購取代。如果純粹做零售、乾貨,投資就要好小心。
你行頭嘅產品或者服務,又輕唔輕易被替代品取代呢?
最後 (5) 越大內部競爭的激烈程度 Internal Rivalry 價格就越低及成本也越高,因為大家同行都鬥平鬥靚, 可能導致割喉式競爭。
"If rivalry is intense, companies compete away the value they create, passing it on to buyers in lower prices or dissipating it in higher costs of competing." by Michael Porter
如果行頭有割喉式競爭,任何價值製造嘅利潤, 都會因為減價或者成本上升而消失。
咁你又點知道你個行頭易唔易會有割喉式競爭? 睇6樣嘢:
(1) 大家競爭對手係唔係差唔多大細,好多好散。好似街市咁,咁就好容易減價競爭。 但如突然有一兩個大嘅龍頭冒起, 好似百佳/惠康咁,反而會穩定價格。
(2) 大家賣嘅產品差唔多, 好容易格價。 例如手機品牌、電子產品。
(3) 好多人入嚟爭,唔係為錢而爭, 而係為社會貢獻或者國家任務而爭。
(4) 整體行業增長好慢, 甚至乎收縮,變成「困獸鬥」
(5) 產品係 "perishable" 即係 時間係敵人! 呢一刻唔要,之後想要返都唔得。 例如: 酒店房,今晚唔住,聽日就有其他人。 機位今日唔答,聽日就已經飛走咗。 因此今日就大家都要劈價求售。
(6) High Exit Barrier 高離開行業嘅門檻, 好多生意,唔係話走就走,好多面子面俾、好多員工要炒、好多數要找、 老豆、阿爺留落嚟, 阿孫阿仔焗住要做, 有生意但唔識變通嘅,唯有減價。
"Price competition is the most dangerous form of rivalry." by Michael Porter
價格競爭係最危險嘅競爭。
好彩我選擇買舖。因為間間街舖都唔同,有獨特,無炒家會入嚟做蝕本生意,即時今日唔減價賣,一百年後間舖都仲喺度,時間係朋友,舖價仲分分鐘升咗。
自問,平時你又有幾大劈價求售嘅壓力呢? 你點樣可以做得獨特性,唔同人哋割喉式競爭呢? 把時間變成朋友呢?
以上就係 Michael Porter 1979年首次提出嘅 Porter's Five Competitive Forces (行業競爭五大動力), 近年好多人都提倡應該有第六個。
(6) Availability of Complements 互補商品的存在 (仲於有個好嘢!) 。越多就越把價錢提升及成本下降,因為多咗馬路 (車嘅 complements) 就自然更多人想買車, 更多人想買車,就自然車價格上升,每架車生產及銷售成本也下降。
做餐廳嘅,Deliveroo 可能係 complements 互補品, 馬上送外賣成本下降。 做電動車嘅,多啲充電站就係互補品,令到多啲人買電動車。4G/5G 上網快咗,係手機遊戲嘅 completment. 唔同嘅 Apps 都係買手機嘅 completment. 越多人創業,都係我買舖嘅 complement.
Michael Porter 話做生意,就要明白以上五加一項的行業推動力,點樣影響整個行業嘅利潤。 頭五樣,is not Add-Up effect,唔係睇總和,而係只要一個差至極點, 成個行頭及你盤生意好易玩完。
例如有咗手機網上新聞之後, threat of substitute 代替品嘅威脅,舊式嘅報紙檔/雜誌社就執一間少一間。 如果你做餐廳只得一間舖,咁多年來太依賴某業主單一位置, 唔知係咪因為風水好定心頭好,萬一業主一沽舖,下手買家大幅加租,盤生意也馬上玩完。記住 Bargain power of supplier 業主就係你供應商, 如果你冇得搬,佢議價能力就好強。
因此,做生意你就係要盡量想辦法, 把握以上五加一動力,加強你自己嘅生意穩定性及賺錢能力。記住,一開場我話:
The real point of competition is not to beat rivals. It's to earn profits.
競爭,最重要唔係要贏對手,而係要賺錢! 要賺錢,長遠賺得穩定,就要好好把握頭5大動力,把他們盡量推下降,及第6動力盡量拉上升。
有興趣一齊研究下點做? 聽多啲 Michael Porter,就來我七/八月份星期六嘅早餐會啦! 下集我再同你講 (3) Competitive advantage through your value chain 你的企業價值鏈如何令你更具競爭優勢?
。。。。。
My hobby 《星期六早餐會》!
七/八/九月份早餐會 Topic: Applying "Michael Porter" to your business: How to compete and win!
哈佛分享: 如何應用「米高波特」於你盤生意? 點競爭? 點贏?
講起哈佛策略教授, 無人出名過 Michael Porter. 有幸我2017年在哈佛親身上過他教的課程, 今次早餐會同你分享,希望對你做生意亦有所啟發。
有興趣參加啦 😃 每次限四位 (包括我)。 人多傾唔到計。
7月/8月份,逢星期六早上9時開始,約三小時半。地點中環。
對象: 中小企老闆/創業者/公司管理層,連我限4位。
有興趣參加的話,請 whatsapp 你的名片給 Suki (我助手) (+852) 5566 1335。
我唔係靠呢行搵食,免費,我請食早餐 😉 Be friends ..... 有機會到時見你。李根興 Edwin
www.edwinlee.com.hk
www.bwfund.com
聯絡李根興 whatsapp (+852) 90361143
#michael_porter #競爭策略
mean power definition 在 Aof BigAss Facebook 八卦
“ฉันต้องเสียใจเท่าไหร่ เพื่อให้หัวใจฉันได้รักใครสักคน”
เป็นมิวสิควิดีโอที่ได้ฟัง และดูครั้งแรกก็รักเลย ส่วนตัวชอบเพลง Lomosonic อยู่แล้ว และก็ตามงานของ พวงสร้อย อักษรสว่าง มาตลอด ซึ่งออกมางดงามมากๆ ทั้งสองส่วน เป็นการรวมพลังที่ทำงานกับเรามาก เชื่อว่าเรื่องราวในเพลงนี้น่าจะเขียนจากชีวิตจริงของใครหลายคนแน่นอน เรื่องราวของความรักที่ต้องจบลงซ้ำไปซ้ำมา ทรมานกับการเริ่มต้นใหม่ จริงจังกับความสัมพันธ์ที่ปลายทางคือความเจ็บปวด มันคือความรู้สึกที่เหนื่อย เอือมระอา อ่อนล้า เพราะไม่รู้ว่า “รักครั้งสุดท้าย” จะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่ หรือมันมีอยู่จริงๆ หรือเปล่า
.
เพลงพูดถึงความรู้สึกของคนๆหนึ่ง ที่กำลังตั้งคำถามกับความรักผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดของตัวเอง ความรักที่ตนเชื่อว่าจะทำให้มีความสุข สุดท้ายจะงดงาม แต่แล้วนิยามมันก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อทุกความสัมพันธ์จบลงด้วยความเสียใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเริ่มไม่แน่ใจว่าเราจะมีความรักไปทำไมถ้าสุดท้ายต้องเจ็บปวด พบกันไปทำไมถ้าสุดท้ายต้องจากกัน เชื่อว่าใครหลายคนคงเคยคิดแบบนี้ เราเองก็เคยตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว อาจจะเพราะบางครั้งเราก็เหนื่อยที่จะเยียวยา ผ่านกระบวนการฟื้นฟูความรู้สึกซ้ำๆ เพื่อกลับมาเจ็บแบบเดิมๆ หลายๆ คนอาจจะยังเชื่อในความรัก ยังให้ความหวังกับมันต่อไป แต่ก็คงมีหลายๆ คนเช่นกันที่เลือกจะหันหลังให้กับมัน เพราะไม่อยากต้องผ่านพ้นช่วงเวลาที่ทรมานอีกต่อไป
.
นอกจากเนื้อเพลงจะหนักหน่วงแล้ว เอ็มวีก็ช่วยเล่าเรืื่องได้ดีเช่นกัน ถ้าไม่นับงานภาพที่สวยมากๆ เรายังรักคอนเซ็ปต์การนำเสนอความสัมพันธ์ผ่าน 3 ตัวละครที่ตอนเห็นครั้งแรกดูแตกต่าง แต่เมื่อเล่าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นความคล้ายคลึงของพวกเธออย่างน่าสนใจ (จนคาดเดาได้ไม่ยากว่านี่คือความรักของหญิงหนึ่งคนในแต่ละช่วงเวลา ที่จบลงด้วยความเจ็บปวดเหมือนกัน) เราชอบที่ตัวละครทั้ง 3 ต่างปลอบประโลมความรู้สึกของกันและกัน เป็นประวัติศาสตร์ความเจ็บปวด ที่ทำให้เราตั้งคำถามกับตอนนี้ว่ารักครั้งสุดท้ายนั้นมีอยู่จริงใช่ไหม
“มันเอือมระอากับการที่ต้องเริ่มใหม่กับใครสักคน”
ชอบท่อนนี้ในเพลงมากๆ จนเอามาขึ้นในภาพ รู้สึกว่าพอใช้คำว่าเอือมระอาแล้วมันดูเจ็บปวดกว่าแค่คำว่าเหนื่อยหรือเบื่อ เพราะทุกความรักที่เกิดขึ้น ย่อมมีผลลัพธ์กับชีวิตเราเสมอไม่ว่าจะในทางที่ดี หรือแย่ มันหล่อหลอมตัวตนของเราอยู่เสมอ เช่นเดียวกับคำว่าเอือมระอานี่แหละ แต่กระนั้น ความรักที่พังทลายก็ไม่ได้ทำร้ายเราทั้งหมดเสมอไป เราชอบที่เอ็มวีนำเสนอว่าบางที “รักครั้งสุดท้าย” อาจหมายถึงการที่เรา “รักตัวเอง” เยียวยาความรู้สึกด้วยตัวเอง เริ่มต้นทุกอย่างใหม่ด้วยตัวเอง เราเลยชอบช็อตที่หญิง 3 คนอยู่ด้วยกันมากๆ เพราะนั่นอาจเป็นทางหนึ่งที่เราจะรักโดยไม่ได้รับความเสียใจกลับมา ที่เราจะรักโดยไม่สูญเสียคุณค่าของตัวเอง
.
สำหรับเรานี่คือเพลงอกหักที่บียอนด์กว่าการอกหักทั่วๆไป เพราะมันตั้งคำถามกับชีวิตของเราหลังจากนั้นได้อย่างน่าสนใจ ใครที่ฟังและดูเอ็มวีเพลงแล้ว มาพูดคุย วิเคราะห์ หรือบรรยายความรู้สึกกัน และเหนือสิ่งอื่นใด “เพื่อนๆคิดว่ารักครั้งสุดท้ายมันมีอยู่จริงไหม? และมันคืออะไร?”
ดู MV รักครั้งสุดท้าย : https://bit.ly/32cV5Dc
#รักครั้งสุดท้าย #LOMOSONIC #SWEETBROS
#Kaninthemovie
′′ How much do I have to regret for my heart to love someone
This is a music video that I have listened to and watched it. I love it personally. I like Lomosonic music and follow the event of a bright letter bracelet which turned out very beautiful. Both of them are a compilation of power that works with us. I believe that the story of this song should be written from real life. Many people are sure. The story of love that has to end over and over again. Suffering with new beginnings. Serious relationship with the destination is pain. It's a tired feeling. I don't know when ′′ last love ′′ will arrive or whether it really exists.
.
The song speaks of a person's feeling, questioning love through their own painful experience, a love that they believe will make happy. The last definition starts to shake when every relationship ends with regret, once and again, I'm not sure. Why are we in love? If we have to hurt each other in the end, why do we have to be apart? We believe that many people have thought this way. We have questioned a failed relationship. Maybe because sometimes we are tired to heal through the process of reviving the feeling repeatedly to return. The same old hurt. Many people may still believe in love. Hope for it. But there are many people who choose to turn away from it because they don't want to go through the suffering anymore.
.
In addition to the lyrics, MV helps to tell the story well. If it doesn't count the beautiful photos, we also love the concept of relationship presentation through 3 characters, we look different when we see it. Interestingly see your similarities (unpredictable, this is one woman's love in each moment that ends in pain). We love that the 3 characters soothe each other's feelings. It's a history of pain that makes us question now whether last love exists.
′′ It's fed up with having to start over with someone ′′
I like this verse in the song so much that I put it in the picture. I feel that when I am fed up, it seems more painful than just tired or bored. Because every love that happens will always have a result in our life. Whether it's a good way or not. Bad, it's always molding ourselves as well as being fed up. But yet, a broken love doesn't always hurt us all. We like MV presents that ′′ last love ′′ may mean we ′′ love ourselves ′′ to heal our feelings. Start everything new. By ourselves, we love the shot of 3 women being together so much, because that's one way we love without regretting back, that we love without losing our own value.
.
To us, this is a heartbreaking song Beyon, more than a typical heartbreak, because it questions our lives, then interestingly. Who listens and watches MV music, then comes to talk, analyse, or describe feelings, and above all, ′′ friends think. Last love does it exist? And what is it?"
Watch the last love MV: https://bit.ly/32cV5Dc
#รักครั้งสุดท้าย #LOMOSONIC #SWEETBROS
#KaninthemovieTranslated
mean power definition 在 bubzbeauty Youtube 的評價
[READ ME]
Hey everybody,
This video is going to demonstrate how you can use a bit of makeup to create an illusion of a slimmer & taller nose by the techniques of contouring.
What sucks is with eyes and lips- everybody has different preferences but with the nose there is a so called set standard. "Slim & high". What is this 'set standard' anyway? I don't believe in it but doesn't the media like to brain wash us all?
I know I'm going to get a lot of slack about making a nose contouring video but I don't care =). I'm here to do my thing and if it's requested- I'll do it. I rather my viewers not go through the pain from nose surgery and nose contour instead. It's cheap, safe and you got nothing to lose.
If you can apply eyeliner to make eyes bigger, wear black to give illusion of a slimmer body, wear heels to make yourself taller, wear extensions to fake having long hair; why can't you use makeup to give illusion of a slimmer nose?
Genetically- asians not only scar more than any other race but a lot of us have flatter profile & a bulbous tip. This means the nose can appear wider with less definition. It's ok- I appreciate the oriential face. I think each race is uniquely beautiful in their own way. But I do understand that many people ARE self conscious about the nose. So unhappy that it's all they can think about.
The way I contour my nose is a bit different from how most makeup artists contour the nose. This is because everybody has different noses and one form of makeup will not cater everybody. Just like how I can't do a lot of makeup looks on my eyes because I have small eyelids.
That's fine =) We work with other methods that work well for us. I find that this technique works best for me. Makeup should have no rules. The techniques I used for nose contouring are mostly catered for my type of nose because there aren't a lot of nose contouring videos for asian noses on Youtube. However- if you feel you have a wide alar base or that your nose is flat; you can try out these methods if you wish =)
Remember, nobody is perfect. I would hate to think any of you guys let your nose affect you from living your life fully. Everybody has flaws and sometimes what you think is a flaw could be something your family & friends love about you. You know what? I like my nose now. I used to hate my nose. I would look at the mirror and I cry because I thought it didn't blend well with the rest of my face. This made me insecure and I would try to photoshop my photos or even rip up perfectly fine normal photos of myself. I've even considered getting a nose job before. Would you believe that? Crazy eh? Not really because we all have been there too where we've once hated our own reflection. When are we going to stop being so harsh on ourselves and focus on our good features instead?
My nose is actually one of my boyfriend's favourite feature about me. My nose is also inherited from my father and it makes me happy that I have a feature that represents somebody I love & care about. It's part of me. I should love it and feel lucky that I can breathe out of it and that it keeps me alive.
I'm working hard on my new cosmetic brushes but I will keep you guys informed with the progress. Loving the dual end pencil/fluffy brush though ^_^. We shall see.
If you are considering surgery on your face or body, I won't judge you at all because I understand you have reasons. But remember to think it through because there are a lot of factors to think about. Think about who are you doing this for and remember, surgery doesn't necessarily mean you will be happy. Definitely think about all sorts of alternatives before going under the knife =) It can be dangerous and no surgery is 100% guaranteed safe or successful. Why not try contouring? Talk to somebody you trust.
"The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched. They must be felt within the heart". Helen Keller.
I may be 4ft 11 with a round face, wide nose and thick legs- I'm beautiful because I feel beautiful. It took me years to be comfortable in my own skin. No amount of makeup has ever made me feel as beautiful as I do now ^_^. You are beautiful too. Tell yourself this and believe it!
Ps. I have been watching everybody's contest entries and it's lovely to see my viewers faces. You guys are so cute ^_^. Keep them coming. I like to watch you guys before and after I sleep ^_^
Pps. As always, thank you to youtube channel 'Karaokekpop' for awesome instrumentals!
Bubbi x
Follow me on Twitter:
http://www.twitter.com/bubzbeauty
Subscribe to my Vlog channel:
http://www.youtube.com/bubzvlogz
Bubzbeauty Official Website:
http://www.bubzbeauty.com
Shop the Bubbi Clothing Line:
http://bubbi.bubzbeauty.com
Connect with me at the Bubzbeauty Fanpage where I chill n catch up with you guys ^^
http://www.facebook.com/pages/Bubzbeauty-Official/181811348879