ทุกอย่างมี 2 ด้านให้เราคิดเสมอ ..ลองอ่านดูนะ เค้าเขียนดี
การช่วยเหลือที่ถ้ำหลวงในครั้งนี้ จริงอยู่เราสูญเสียทรัพยากรมากมาย เพื่อกอบกู้ 13 ชีวิต
แต่ทำไมนะ ผมคิดว่าทุกอย่างที่เราเสียไป มันไม่ใช่เสียเปล่า แต่เราได้อะไรกลับคืนมา มากมายเหลือเกินจากเหตุการณ์นี้
1) ท่ามกลางปัญหา เราได้เห็นว่า ประเทศไทยมีคนที่ความสามารถในการจัดการได้ดี และมีความเป็นผู้นำสูงมาก อย่างท่านผู้ว่าฯเชียงราย เมื่อเกิดเหตุ ท่านวางแผน และจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นว่า คนที่จะมาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
2) เราได้เห็น ความเด็ดขาดของผู้ว่า โดยเฉพาะที่บอกว่า คนที่อยากมาช่วย ใครอยากมาก็มาได้ แต่ต้องมาถกหลักการกันก่อน ว่าสิ่งที่นำเสนอมันทำได้หรือไม่ หรือว่าเป็นไอเดียที่จะถ่วงทีมให้ช้าลง ไม่ใช่ว่าคนที่อยากช่วยจะมีประโยชน์ทั้งหมด ซึ่งผู้มีอำนาจเด็ดขาด ต้องเลือกใช้คนให้ถูก ไม่ใช่รับความช่วยเหลือไปเสียทุกอย่าง
3) แน่นอน ใครๆก็รู้ว่าการค้นหาเด็กให้พบคือสิ่งสำคัญ แต่ ผู้ว่าฉลาดมาก ที่ให้ความสำคัญก่อนกับ "คนที่เข้าไปช่วย" อะไรที่เสี่ยงภัย เช่น ดำน้ำในสภาวะเสี่ยงเกินไป หรือ การเสี่ยงว่ายน้ำโดยมีโอกาสเสี่ยงไฟดูดไฟช็อต ผู้ว่าจะไม่ยอมให้หน่วยซีลลงน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว การช่วยหนึ่งคน ไม่ได้แปลว่าต้องเอาชีวิตของอีกคนเข้าไปแลก
4) เราได้เห็นว่า กลยุทธ์อะไรก็ตาม ต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ ในตอนแรกแผนดั้งเดิม คือให้หน่วยซีล เข้าถ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อไปหาทั้ง 13 คนที่ติดถ้ำ แต่สุดท้าย เราก็มีแผนสอง คือตรวจเช็กปล่องด้านบนภูเขา ว่าจะสามารถหย่อนตัว ทะลุถึงถ้ำได้เลยหรือไม่ และแผนสามคือไอเดียการเจาะภูเขา การไปถึงจุดหมาย ไม่จำเป็นต้องมีแผนเดียว แต่การเปิดรับทุกหนทางที่เป็นไปได้ ก็ยิ่งมีโอกาสไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น
5) เราได้รู้จักหน่วยซีล ว่าคืออะไร บางคนไม่รู้เลยว่าที่ไทยก็มีด้วย ได้รู้ว่า SEAL ย่อจาก (SEa - Air - Land) คือหน่วยรบที่ปฏิบัติงานได้ทั้งในทะเล บนอากาศ และภาคพื้นดิน เป็นหน่วยทหารที่มีสภาพร่างกายแข็งแกร่ง ผ่านการฝึกหฤโหด และในยามคับขัน ความยอดเยี่ยมของหน่วยซีล ก็สามารถเป็นประโยชน์กับภารกิจได้
6) เราได้รู้จักภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมากขึ้น หลายคนรู้จักถ้ำหลวงเป็นครั้งแรก ได้รู้ว่าขุนน้ำนางนอนอยู่ตรงไหน ได้รู้ว่าเชียงรายก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแบบนี้ด้วย ได้รู้จักคำว่า "ถ้ำ" ในความหมายใหม่ บางถ้ำมันยาวเป็นกิโล และคดเคี้ยวเหมือนเขาวงกต
7) เราได้ความรู้เรื่องการเอาชีวิตรอดมากขึ้น ได้รู้จัก "กฎ 333" ว่าในภาวะใดบ้างที่คุณจะมีชีวิตรอดได้ คือ ขาดอากาศหายใจได้ 3 นาที , ขาดน้ำดื่มได้ 3 วัน , ขาดอาหารได้ 3 สัปดาห์ ถ้ามากกว่านี้ก็จะตาย (แต่แน่นอนนี่เป็นแค่กฎคร่าวๆไม่ได้ใช้ได้กับทุกคน) ได้ความรู้ว่า แม้จะไม่มีอาหาร แต่ร่างกายมนุษย์ สามารถดึงพลังงานสำรองที่สะสมในรูปไขมันมาใช้ได้
8) เราได้เห็นความเสียสละของคนในพื้นที่ ยอมให้สูบน้ำเข้าเทือกสวนไร่นา ทั้งๆที่พวกเขาเริ่มทำกสิกรรมกันแล้ว ไม่มีใครอยากทำให้ตัวเองวุ่นวาย และเสียผลประโยชน์ แต่สุดท้าย เมื่อมันเป็นเรื่องความเป็นความตาย ทุกคนเข้าใจดี ซึ่งนี่คือการเสียสละอย่างแท้จริง
9) เราได้เห็นความสามารถของสื่อมวลชน ในเงื่อนไขที่จำกัด ไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง คุณสามารถนำเสนอให้ สื่อของตัวเองมีความน่าสนใจได้ หรือไม่ คุณมีมุมมองที่เฉียบขาดมากกว่าที่อื่นหรือเปล่า และที่สำคัญ คุณจะเคารพกติกาที่เจ้าหน้าที่ตั้งไว้ หรือจะกล้าแหกกฎเพื่อได้ข่าวที่เหนือกว่าช่องอื่น
10) เราได้เห็น ทักษะการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีประสิทธิภาพ อย่างทวิตเตอร์ของ Mthai การนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา รวดเร็วฉับไว ไม่ต้องสร้างดราม่า ก็สร้างความนิยมได้เช่นเดียวกัน
11) เราได้รู้ว่า สิ่งที่เราหวัง สิ่งที่เราคิด กับสิ่งที่เกิดขึ้นหน้างาน มันไม่เหมือนกันเลย หลายๆอย่างเราคิดได้ แต่ในสถานการณ์จริงมันทำไม่ได้ มีคนบอกว่า ทำไมเราไม่ห้อยอาหารลอยน้ำไปให้ถึงมือเด็ก มีคนอธิบายว่า เพราะในถ้ำน้ำมันไม่ได้ไหลตรงๆเหมือนแม่น้ำ เอาของลอยน้ำ ก็ไปติดโขดหิน เด็กไม่ได้รับแน่นอน หรือ มีบางคนถามว่าทำไมไม่ระเบิดถ้ำ ก็มีคนอธิบายว่า ระเบิดแล้วถ้าหินถล่มลงมาจนปิดทางเข้าออกทั้งหมดล่ะ แบบนี้เด็กตายเลยไหม เราได้เข้าใจว่า สิ่งที่จินตนาการ มันอาจทำไม่ได้ในชีวิตจริง
12) เราได้รู้ว่า ในสังคมนี้ มีคนอยากเอาหน้ามากมาย บางคน รู้ว่าตัวเองไม่มีทักษะอะไรที่จะช่วยได้ (คือจะบอกว่า มาเป็นกำลังใจ อยู่ตรงไหนก็ส่งใจไปได้จริงไหม) แต่ก็อยากเอาตัวไปให้สื่อได้เห็นว่ามาลงพื้นที่แล้ว ในทางตรงกันข้าม มีคนจำนวนมากยอมทำงานหนักเป็นมดงาน เพื่อให้ภารกิจได้เดินหน้าต่อ แต่คนเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการป่าวประกาศใดๆ เขาต้องการผลสำเร็จ ไม่ใช่ชื่อเสียงของตัวเอง
13) เราได้เห็นว่าในประเทศไทย ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์มันสามารถไปด้วยกันได้อย่างประหลาด ในขณะที่ทีมงานกำลังจะเจาะถ้ำ ก็ยังต้องขออนุญาตจากเจ้าป่าเจ้าเขา หรือขณะที่ เราใช้เทคโนโลยีโดรนที่ล้ำยุคในการช่วยค้นหา แต่อีกด้านเราก็เห็นภาพชาวบ้านกราบไหว้ ครูบาบุญชุ่ม ที่เข้าไปทำพิธีเปิดตา มันเป็นส่วนผสมที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นกับประเทศไทยจริงๆ
14) เราได้เห็นว่า ในยามที่ทุกคนกำลังสับสน ย่อมมีคนหาโอกาสฉวยผลประโยชน์เสมอ คนที่อ้างให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างขอเงินไปช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำ แบบนี้มีเยอะ คนเสพข่าวสารต้องระวังให้ดี อย่าใจดี จนขาดสติ ต้องเช็กให้รอบคอบ เพราะคนชั่วโลกนี้มันมีเยอะ คนแบบนี้ต้องไม่ตายดีแน่
15) เราได้เห็นว่า ทุกความสามารถมีประโยชน์ ช่างไฟฟ้า นักขุดเจาะน้ำบาดาล ช่างต่อท่อ แพทย์ นักปีนเขา ทหาร นักข่าว พ่อครัว ช่างภาพ ล่าม นักวิทยาศาสตร์ ทีมกู้ภัย นักดำน้ำ นักดนตรี นักธรณีวิทยา ฯลฯ ในยามจำเป็น ทุกคนสามารถใช้ทักษะของตัวเอง เพื่อเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน มันแสดงให้เห็นว่า ไม่มีอาชีพไหน เหนือกว่าอาชีพไหน ทุกคนสามารถสร้างสรรค์สังคมได้ในทางของตัวเอง
16) เราได้เห็นคนจินตนาการเยอะเหลือเกิน บางคนบอกว่าเด็กไปพัวพันกับคดียาเสพติด บางคนคิดไปขนาดว่า จริงๆเจอตัวเด็กตั้งนานแล้ว แต่ปล่อยออกมาไม่ได้ เพราะกำลังเคลียร์เรื่องยาเสพติดอยู่ มีทฤษฎีสมคบคิดมากมาย แต่สุดท้ายก็เหมือนอย่างที่ผู้ว่าบอกนั่นแหละ "ขอให้งดใช้จินตนาการ" และอย่างที่ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 บอก "ถ้ำหลวงไม่ใช่พื้นที่สีแดง" คือ การคิดเรื่อยเปื่อย มีโทษมากกว่าประโยชน์นะ
17) เราได้เห็นว่า ในช่วง 3-4 วันแรกของเหตุการณ์ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างชุลมุนไปหมด แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เริ่มมีระบบระเบียบมากขึ้น รถราที่ใครจะขึ้นไปบนเขาก็ได้ โดนกันไว้ด้านล่าง เจ้าหน้าที่จัดรถโดยสาร รับส่งคนขึ้นลง ทำให้การจราจรไม่ติดขัด ขณะที่ ทีมงานก็มีการซักซ้อมอย่างดี ถ้าหากพบเด็กแล้วจะทำอย่างไร ทุกอย่างมีแบบแผนเป็นระบบ ไม่มั่วซั่ว อย่าดูถูกความสามารถของเจ้าหน้าที่เลย เขาก็พยายามทำทุกอย่างให้ง่ายที่สุดต่อการจัดการล่ะ
18) เราได้เห็น น้ำใจของชาวต่างชาติ บางคนมาช่วยผ่านทางรัฐบาลส่งมา บางคนเดินทางมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน การที่ท่านแสดงถึงน้ำใจที่มี เราขอคารวะทุกท่าน มา ณ ที่นี้ มันทำให้เห็นอีกด้วยว่า ในยามวิกฤติ ไม่มีกำแพงของเชื้อชาติ
19) เราได้รู้ว่าข่าวสารสมัยนี้ไปเร็วมาก เรื่องเกิดแค่ 1 วัน ทั้งโลกรู้แล้วว่ามีเหตุคนติดถ้ำที่ไทย ซึ่งทำให้คนทั้งโลกจับตาดูอยู่ ทุกๆการกระทำ ทุกๆการตัดสินใจ จะเป็นบทพิสูจน์ให้โลกเห็นเลยว่า ประเทศไทย มีฝีมือแค่ไหน ในการรับมือกับปัญหา
20) หลายคนไปด่าเด็ก ว่าเด็กพวกนี้ไม่ควรได้รับการสรรเสริญอะไรทั้งนั้น เป็นเด็กซน แล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน คือทำไมใจร้อนรีบด่าจัง ยังไม่รู้ที่มาที่ไปอะไรเลยไม่ใช่หรอ ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเอาตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์นั้น น้ำขึ้นอย่างไร ต้องเอาตัวรอดแบบไหน ไม่มีใครรู้เหตุการณ์จริงๆเลย ได้แต่คาดเดาไปเรื่อย แล้วการที่ไปต่อว่าเด็กๆแบบนั้น มันยุติธรรมหรือ
21) และสมมติว่า เด็กๆผิดจริง ผมอยากให้คิดแบบนี้ครับ ว่าใน 13 คน (แม้จะมีโค้ชอยู่ก็เถอะ) แต่เด็กๆโดยรวม ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 13-16 ปี พวกเขาก็ยังเด็ก ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิต ยังทำอะไรไม่ทันคิด ตอนเราเป็นเด็ก เราไม่เคยทำผิดพลาดกันหรอ? เราก็เคยกันทั้งนั้น ผมเชื่อว่าเด็กพวกนี้ เขาเองไม่อยากให้คนอื่นลำบากหรอก เขาแค่ประเมินสถานการณ์ผิดไป ไม่รู้ว่าน้ำมันจะท่วมถ้ำได้ขนาดนั้น ชนิดที่ร้อยวันพันปี ไม่เคยท่วมแบบนี้ ไปมาหลายครั้งก็ไม่เคยเจอท่วม มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้น มันเป็นแจ๊กพ็อตพอดี คือไม่ต้องชมน่ะใช่ ตักเตือนได้ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปด่าเขาเหมือนกัน
22) สิ่งที่แต่ละองค์กรพยายามมอบให้เด็ก อย่างสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ อยากให้ทีมหมูป่า มาดูบอลที่สโมสร และได้โอกาสฝึกกับทีมเยาวชน หรือ สโมสรเชียงราย เตรียมให้ตั๋วดูบอลฟรีตลอดชีวิต มันไม่ใช่การมอบรางวัลให้คนทำผิด แต่มันเป็นการส่งกำลังใจให้ครอบครัวของเด็กต่างหาก ให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนมีแรงใจสู้ต่อว่า เจ้าจงรอดกลับมาเถอะนะ มีสิ่งดีๆรออยู่มากมาย อย่าเพิ่งมาจบชีวิตตอนนี้เลย
23) ใครอยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตาย คุณเอาตั๋วดูบอล มาแลกกับชีวิตทั้งชีวิต เป็นคุณ คุณเอาหรอ มีคนบอกว่า จากนี้ถ้าเด็กคนไหนอยากได้อะไร ก็คงวิ่งไปติดถ้ำ เพื่อให้คนช่วยออกมา แล้วจะได้มีผู้ใหญ่มาให้ของรางวัลมากมาย คือ ก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าใครจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับของตอบแทนแบบนี้
24) อีกอย่าง ถ้าเด็ก "รอดชีวิต" จริงๆ การที่พวกเขาติดอยู่ในสถานการณ์ลำบากขนาดนี้ แล้วยังประคับประคองสติ จนรอดชีวิตได้ไม่คลุ้มคลั่งไปก่อน มันก็เป็นเรื่องน่าทึ่งนะ น่านั่งพูดคุยกับเขา ว่าในสถานการณ์บีบคั้น เขาคิดอะไร ถึงรอดตายมาได้ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆคนได้เลย
25) รวมถึงเรื่องสภาพร่างกายด้วย ว่าในสภาพที่มีอาหารน้อย น้ำน้อย ทุกอย่างจำกัดหมด พวกเขามีอาการอย่างไรบ้าง และทำอย่างไรถึงรอดชีวิตมาได้ เป็นประสบการณ์ใหม่ ที่อนาคตถ้ามีคนโชคร้ายเจอเรื่องแบบนี้อีก จะได้พอมีแนวทางว่าต้องทำอย่างไร
26) ในครั้งนี้ ประเทศไทยแลกอะไรไปหลายอย่าง เงินทอง กำลังกาย ทรัพยากร แม้แต่ธรรมชาติ ป่าเขาอยู่ของมันดีๆ ก็จำเป็นต้องถูกตัดไม้ ระเบิดหิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือทุกคนให้รอดปลอดภัย เราเสียอะไรไปเยอะมากจริงๆ
27) แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ก็มากมายเช่นกัน กับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งแรก ได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ ได้อุทาหรณ์ ได้เห็นมุมมองจากคนทุกสาขาอาชีพ และได้เห็นคนทั้งประเทศรวมใจกันเป็นหนึ่ง
28) และเด็กๆ ถ้ารอดมาได้ พวกเขาจะได้รับรู้แน่นอนว่า คนทั้งชาติต้องแลกกับอะไรมาบ้าง เพื่อให้เขามีชีวิตต่อไป เขาจะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทอีกเลยต่อจากนี้ และทั้ง 13 คน ก็จะกลายเป็นอนาคตของประเทศชาติเราต่อไปในทางใดทางหนึ่ง
29) ที่สำคัญที่สุดอีกข้อคือ เรื่องนี้จะเป็นข้อเตือนใจให้วัยรุ่น และเยาวชนของชาติคนอื่นๆ ให้คิดอ่านอะไรให้รอบคอบมากขึ้น และต้องตระหนักเลยว่า ต้องมีสติให้มาก เพราะเวลาเกิดเรื่องขึ้นมา ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ลำบาก พ่อแม่ก็เป็นห่วง แถมคนอีกมากมาย ต้องมาลำบากเพื่อตัวเอง
30) แน่นอน ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะหัวเสีย ไปโมโหว่า "มันไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรก" หรือ "ทำไมเด็กไม่อ่านป้ายคำเตือน" ก็ยอมรับความจริงตรงๆไหมว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และ ย้อนคิดดีกว่า ว่าเราจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างจากเหตุการณ์นี้
จริงไหม?
ขอให้ผู้ช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ และผู้ประสบภัยทุกคนปลอดภัย
#ถ้ำหลวง #ทีมหมูป่า #HOPE
The help at tham luang is true. We lost a lot of resources to save 13 lives.
But why? I think everything we lost is not a waste, but we get so much back from this incident.
1) in the midst of problems, we have seen that Thailand has a very high leadership ability to manage and leadership like governor of Chiang Rai. When he quickly planned and manage the problem quickly, it shows that the person who will arrive at this position did not come because Lucky help
2) we have seen the truth of the governor, especially saying that those who want to help. Whoever wants to come, but we have to discuss the principle whether the presentation can do or is the idea to slow down the team, not that the one. If you want to help, it will be useful. All the authority must choose to use the right person, not receive all help.
3) of course, everyone knows that finding children is important, but the governor is very smart to focus on "people who help" something that is dangerous, such as diving in too risky or swimming with a chance to risk of sucking fire. Lot Gov won't let navy seal get into the water, which is right. Helping one doesn't mean taking another person's life in exchange.
4) we have seen that whatever strategy must always have a backup plan. The Original plan is to let navy seals keep going to go to the cave to the cave. But in the end, we have a second plan is to check the crater on top. Whether it can be able to go through the cave. And plan three is the idea of drilling mountains. Reaching the destination doesn't have to have one plan, but opening every possible way, the faster the chance to reach the goal.
5) we have known navy seal what it is. Some people don't know that Thailand also know that seal squat from (Sea-Air-land) is a force that works both in the sea, on air and ground as a military unit. Strong body condition through brutal training and in trouble, the superb of navy seal can benefit the mission.
6) we have known the geography of Thailand more. Many people know tham luang for the first time. We know where the nobleman is sleeping. Know that Chiang Rai also has interesting attractions like this. Know the word "Cave" in some new meaning. The Cave is a kilo long and crooked like a labyrinth.
7) we know more about survival. Know "Rule 333" what condition you can survive is lack of air for 3 minutes, lack of drinking water for 3 days, lack of food. 3 weeks. If more, I will die (but of course, this is just a sketchy rule. It doesn't work for everyone). I have knowledge that even without food, the human body can pull back up energy accumulated in fat.
8) We have seen the sacrifice of local people who allow to smoke water into the field. Even when they start doing karma, no one wants to mess themselves and lose benefit. But in the end, when it's death, everyone understands. Is truly a sacrifice.
9) we have seen the ability of the press in limited terms. Nothing is ready. Can you present to your media interesting? Do you have more sharp views than other places and most importantly, will you respect the rules that the authorities set? I will dare to break the rules to hear above other channels.
10) we have seen effective social networks skills like mthai twitter. Presenting facts, fast, fast, no need to create drama, it can create popularity as well.
11) we know that what we hope, what we think about what happens in front of the event is different. Many things we can think of. But in real situations, we can't do it. Someone says why we don't hang food to float water. A child's hand, someone explained that because in the cave, the oil doesn't flow straight like a river, put the floating stuff, then the water is stuck in the rock. The kid didn't get it for sure. Someone asked why they didn't explode the cave, someone explained that it exploded if All like this. Do kids die? We understand that what I imagine may not be done in real life.
12) we know that there are many people who want to face in this society. Some people know that they don't have any skills to help. (well, I want to say that I'm rooting for you can send my heart. is it true) but I want to give myself to I see that I have come to the area. On the contrary, there are many people who are willing to work hard as an ant to keep the mission to move on. But these people don't want any announcement. They want success,
13) we have seen that in Thailand, faith and science can go together freak together. While the team is about to penetrate the cave, we still need to ask permission from the forest or while we use great drone technology to help find our other side. I saw a picture of villagers paying respect to teacher ba bunchum who went to do an eye opening ceremony. It was an unbelievable combination, but it really happened
14) we have seen that when everyone is confused, there are always a chance to take advantage of those who claim to transfer money to their account claim to help 13 lives in the cave like this. There are many people who use news. Be careful. Don't be kind. I have to check it carefully because there are many people in this world. There are many people like this will not die.
15) we have seen that every ability is useful, electrician, groundwater driller, pipeline, doctor, hiker, soldier, journalist, photographer, photographer, rescue team, rescue team, musician, musician, geologists, etc. Everyone can use their own skills. For a common goal, it shows that no career surpasses any career. Everyone can create society in their own way.
16) we have seen a lot of imaginary people. Some people say that kids are involved in drug cases. Some people think that they have found the kid for a long time, but they can't let it out because they are clearing drugs. There are many conspiracy theories, but What the governor said, " Let's stop using imagination " and as the deputy commander of Phu Thon Police, part 5 says, " Tham Luang is not red area " is to think random. There is more punishable than
17) we saw that during the first 3-4 days of the incident, everyone still couldn't catch the beginning. Everything was commotion. But after that everything started to have more organized system. The car that anyone could go up on the hill got hit below the staff. Bus shuttle people up and down makes traffic from getting stuck while the team has a good practice. If they meet the kid, what to do? Everything has a pattern. Don't underestimate the ability of the officer. He tries to do everything as easy to manage.
18) we have seen the kindness of some foreigners to help through the government. Some people come by themselves. No matter what you show the kindness that we salute everyone here, it makes you see that in crisis, there is no wall of race.
19) we have known that news nowadays is going fast. It's happened for only 1 days. The whole world knows that there is a reason for people in the cave in Thailand which makes the whole world to watch every action, every decision will prove to the world. How skillful is Thailand to deal with problems
20) many people say that these kids should not be praised. They are naughty kids and hurt others. Why are they are you so impatient? Don't know what dobt. Don't they don't know why they have to put himself down. In that situation, how to survive. No one knows the real incident. But keep guessing. is it fair to blame kids like that?
21) and assuming that kids are wrong, I want you to think that in 13 people (even with coaches) but most kids are between 13-16 years old. They are young and have no life experience yet. I couldn't do anything when we were kids. Didn't we ever make mistakes? We used to each other. I believe these kids don't want other people to be difficult. They just underestimate the wrong situation. I didn't know that the oil could flood that much. The kind of a hundred days and a thousand years. I have never been flooded like this many times The mistake that no one knew would happen is jackpot. It's not to watch. Yes, I can warn, but there is no need to scold him either.
22) what each organization is trying to give to kids like scg muangthong club. Want the wild boar team to watch football at the club and get a chance to train with youth team or Chiang Rai Club. Prepare for free football tickets for the rest of their life. It's not to reward the wrong person, but it is sending encouragement to the family of children. Let all parents have energy. Keep fighting. Come back. There are many good things waiting. Don't end your life now.
23) who wants to risk your life? You take tickets to watch football for your whole life. Do you want it? Someone said that if any kid wants anything, they will run into the cave so that people can help out so that there will be adults. Come to give many rewards. I want to see who will risk their lives with this kind of return.
24) by the way, if kids really "survive" they are stuck in this difficult situation and still hold their mind until they survive. It's amazing. It's amazing to sit and talk to him that in the situation. Squeezed him. What did he think to survive? It should be an inspiration to many others.
25) including physical condition, in a condition with less food, everything is limited. How do they have symptoms and how to survive. It's a new experience in the future. If someone is unlucky, there will be a way to have a way to be a way. How to do it?
26) in this time, Thailand exchanged many things, money, body, resources, resources, even nature, the forest is good things need to be cut, stone exploded to increase the chances of helping everyone safe. We have lost a lot.
27) but there are many things we have learned from this. with the first disaster, experience, knowledge, see the perspective from every career field and see the whole country together as one.
28) and children, if they survive, they will surely know what the whole nation has to exchange for him to live. He will live careless. from now on, and all 13 of them will become the future of our nation. Next in some way
29) the most important thing is that this will be a reminder for teenagers and youth of other nations to think. Read more carefully and you need to realize that you need to be very conscious because when things happen, not just yourself that are difficult, parents are worried. Plus many people have to be tough for themselves.
30) of course no one wants this incident. But when it happens, instead of being angry that " it shouldn't happen in the beginning " or " why don't kids read the warning signs " accept the truth that it happened and Better think about what we can reap from this event
Is it true?
May all helpers, staff and victims be safe.
#ถ้ำหลวง #ทีมหมูป่า #HOPETranslated
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過27萬的網紅internationally ME,也在其Youtube影片中提到,Azabujuban in Tokyo has many local street shops that sell Japanese sweets, Japanese bread and Japanese snacks :) A lot of these local shops that sell...
local area meaning 在 ABOVE THE MARS Facebook 八卦
The Documentary Project
Coming Soon
;
01
หลังจากที่เราเรียน Short Course ที่ London เสร็จ
เราได้ทดลองทำสารคดีที่เกี่ยวกับคนที่ใช้ชีวิตบนเรือ (Boater)ในลอนดอนไว้ เพราะอยากลองบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับพื้นที่ที่ใช้ชีวิตอยู่ตอนนั้น ความเป็นจริงคิดไว้ว่าจะทำให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมาที่ไทยซึ่งตอนนั้นมีเวลาอยู่อาทิตย์กว่าๆ แต่พอเริ่มสัมผัสและสัมภาษณ์เข้าครอบครัวที่สาม ก็รู้ตัวได้ว่าสารคดีเรื่องนี้ทำยาวแน่นอน เพราะเกือบทุกครั้งที่ได้กลับไปอังกฤษ ก็จะแอบกลับไปทำเรื่องนี้เพิ่มประปราย เก็บได้บ้างไม่ได้บ้างแต่เป็นความรู้สึกที่ดีมากเหมือนมี Long-Term Project รอไว้ว่ากลับไปเมื่อไหร่ก็มีอะไรให้ทำ
วันนี้เข้าเดือนที่ 10 หลังจากเริ่มถ่ายวันแรก
ในตอนนั้นเราเปิดประเด็นด้วยคำถามว่า ’What does home means to you?’ แต่สุดท้ายมันถูกบิดด้วยคำตอบที่หลากหลายออกไป และสิ่งที่เราได้กลับมามันมากกว่านั้นเยอะเลย ทั้งความผูกพันธ์, ความจริง และเรื่องที่ยากสำหรับคนที่เป็น Boater และ Londoner ในยุคที่เศรษฐีเอเชียกว้านซื้อที่ดินจนคนในพื้นที่ไม่สามารถจะจ่ายไหวอีกต่อไป
ถ้าไม่ติดอะไรปีหน้าเราคงจะตัดวีดีโอให้เสร็จ
เพราะครั้งนี้นอกจากภาพนิ่งเราได้ถ่ายทำสัมภาษณ์ด้วย (ได้เพื่อนๆที่อยู่ที่อังกฤษมาช่วย สนุกและขอบคุณมากเลย) เราอยากให้ทุกคนได้รู้ถึงมุมนึงของความยากในการเป็น Londoner และความหมายของคำว่าบ้าน ที่มันไม่เกี่ยวกับขนาดของพื้นที่ แต่เป็นที่ที่ ' Where you feel.. where you belong '
02
แม้เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นการท่องเที่ยว
แต่มันคือพาร์ทหนึ่งของการเดินทาง พาร์ทที่เริ่มปลี่ยนชีวิตในระยะยาวของเราไปเรื่อยๆ เราสองคนยังมีความสุขเวลาที่ได้ท่องเที่ยวและแบ่งปันเรื่องราวกับทุกคน แม้ปีนี้ทริปใหญ่ของเราอาจจะมีไม่กี่ครั้งและต้องแยกกันเดินทาง แต่ในทุกครั้งก็ยังสวยงามและน่าจดจำเสมอ
และในปี 2019 ที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ร่วมงานกับทาง ThaiPBS ช่องรายการสารคดีของประเทศไทย จึงทำให้เราค่อนข้างหายไปจนอาจจะขาดการอัพเดท แต่จากนี้ก่อนรายการจะออนแอร์ เราสัญญาว่าจะมาเล่าเรื่องเพื่อขยายความสิ่งต่างๆ
หวังว่าทุกคนจะโอบรับ ABOVE THE MARS ในรูปแบบนี้ไว้ เพราะเรายังมีเรื่องอีกมากมายที่รอจะเล่าให้ทุกคนฟังเลยนะ
_
The Documentary Project
Coming Soon
A documentary about boater lives in London, an experimental project I had begun after the Short Course study in London. I want to make this happen because after the course, I would like to try to shot something about the local area I was living in. At first, the plan was to finish this before I return to Thailand, but after the interview with the third family, I knew that this would be a long story. Every time I return to England, I keep adding more and more into this project. Now I feel like I have a long-term project waiting for me every time I come back.
It’s been 10 months since the first shooting, I started with the topic “What does home mean to you?” and it’s answered in various views. I got something more, the bonds, the truths about the era of rich Asians buying all the lands, driving to locals to relocate due to the higher price of living.
If nothing goes wrong, I will return for more interviews next year. I really want to finish the video because this time, not only I take still photos, but I also record the interviews. I want to express how difficult it is to be a boater and the meaning of home, a home where it’s not about the size that matters, it’s about “Where you feel… Where you belong.”
Love,
MARS
#ABOVETHEMARS
local area meaning 在 YOSHITOMO NARA Facebook 八卦
Nobody’s Fool ( January 2011 )
Yoshitomo Nara
Do people look to my childhood for sources of my imagery? Back then, the snow-covered fields of the north were about as far away as you could get from the rapid economic growth happening elsewhere. Both my parents worked and my brothers were much older, so the only one home to greet me when I got back from elementary school was a stray cat we’d taken in. Even so, this was the center of my world. In my lonely room, I would twist the radio dial to the American military base station and out blasted rock and roll music. One of history’s first man-made satellites revolved around me up in the night sky. There I was, in touch with the stars and radio waves.
It doesn’t take much imagination to envision how a lonely childhood in such surroundings might give rise to the sensibility in my work. In fact, I also used to believe in this connection. I would close my eyes and conjure childhood scenes, letting my imagination amplify them like the music coming from my speakers.
But now, past the age of fifty and more cool-headed, I’ve begun to wonder how big a role childhood plays in making us who we are as adults. Looking through reproductions of the countless works I’ve made between my late twenties and now, I get the feeling that childhood experiences were merely a catalyst. My art derives less from the self-centered instincts of childhood than from the day-to-day sensory experiences of an adult who has left this realm behind. And, ultimately, taking the big steps pales in importance to the daily need to keep on walking.
While I was in high school, before I had anything to do with art, I worked part-time in a rock café. There I became friends with a graduate student of mathematics who one day started telling me, in layman’s terms, about his major in topology. His explanation made the subject seem less like a branch of mathematics than some fascinating organic philosophy. My understanding is that topology offers you a way to discover the underlying sameness of countless, seemingly disparate, forms. Conversely, it explains why many people, when confronted with apparently identical things, will accept a fake as the genuine article. I later went on to study art, live in Germany, and travel around the world, and the broader perspective I’ve gained has shown me that topology has long been a subtext of my thinking. The more we add complexity, the more we obscure what is truly valuable. Perhaps the reason I began, in the mid-90s, trying to make paintings as simple as possible stems from that introduction to topology gained in my youth.
As a kid listening to U.S. armed-forces radio, I had no idea what the lyrics meant, but I loved the melody and rhythm of the music. In junior high school, my friends and I were already discussing rock and roll like credible music critics, and by the time I started high school, I was hanging out in rock coffee shops and going to live shows. We may have been a small group of social outcasts, but the older kids, who smoked cigarettes and drank, talked to us all night long about movies they’d seen or books they’d read. If the nighttime student quarter had been the school, I’m sure I would have been a straight-A student.
In the 80s, I left my hometown to attend art school, where I was anything but an honors student. There, a model student was one who brought a researcher’s focus to the work at hand. Your bookshelves were stacked with catalogues and reference materials. When you weren’t working away in your studio, you were meeting with like-minded classmates to discuss art past and present, including your own. You were hoping to set new trends in motion. Wholly lacking any grand ambition, I fell well short of this model, with most of my paintings done to satisfy class assignments. I was, however, filling every one of my notebooks, sketchbooks, and scraps of wrapping paper with crazy, graffiti-like drawings.
Looking back on my younger days—Where did where all that sparkling energy go? I used the money from part-time jobs to buy record albums instead of art supplies and catalogues. I went to movies and concerts, hung out with my girlfriend, did funky drawings on paper, and made midnight raids on friends whose boarding-room lights still happened to be on. I spent the passions of my student days outside the school studio. This is not to say I wasn’t envious of the kids who earned the teachers’ praise or who debuted their talents in early exhibitions. Maybe envy is the wrong word. I guess I had the feeling that we were living in separate worlds. Like puffs of cigarette smoke or the rock songs from my speaker, my adolescent energies all vanished in the sky.
Being outside the city and surrounded by rice fields, my art school had no art scene to speak of—I imagined the art world existing in some unknown dimension, like that of TV or the movies. At the time, art could only be discussed in a Western context, and, therefore, seemed unreal. But just as every country kid dreams of life in the big city, this shaky art-school student had visions of the dazzling, far-off realm of contemporary art. Along with this yearning was an equally strong belief that I didn’t deserve admittance to such a world. A typical provincial underachiever!
I did, however, love to draw every day and the scrawled sketches, never shown to anybody, started piling up. Like journal entries reflecting the events of each day, they sometimes intersected memories from the past. My little everyday world became a trigger for the imagination, and I learned to develop and capture the imagery that arose. I was, however, still a long way off from being able to translate those countless images from paper to canvas.
Visions come to us through daydreams and fantasies. Our emotional reaction towards these images makes them real. Listening to my record collection gave me a similar experience. Before the Internet, the precious little information that did exist was to be found in the two or three music magazines available. Most of my records were imported—no liner notes or lyric sheets in Japanese. No matter how much I liked the music, living in a non-English speaking world sadly meant limited access to the meaning of the lyrics. The music came from a land of societal, religious, and subcultural sensibilities apart from my own, where people moved their bodies to it in a different rhythm. But that didn’t stop me from loving it. I never got tired of poring over every inch of the record jackets on my 12-inch vinyl LPs. I took the sounds and verses into my body. Amidst today’s superabundance of information, choosing music is about how best to single out the right album. For me, it was about making the most use of scant information to sharpen my sensibilities, imagination, and conviction. It might be one verse, melody, guitar riff, rhythmic drum beat or bass line, or record jacket that would inspire me and conjure up fresh imagery. Then, with pencil in hand, I would draw these images on paper, one after the other. Beyond good or bad, the pictures had a will of their own, inhabiting the torn pages with freedom and friendliness.
By the time I graduated from university, my painting began to approach the independence of my drawing. As a means for me to represent a world that was mine and mine alone, the paintings may not have been as nimble as the drawings, but I did them without any preliminary sketching. Prizing feelings that arose as I worked, I just kept painting and over-painting until I gained a certain freedom and the sense, though vague at the time, that I had established a singular way of putting images onto canvas. Yet, I hadn’t reached the point where I could declare that I would paint for the rest of my life.
After receiving my undergraduate degree, I entered the graduate school of my university and got a part-time job teaching at an art yobiko—a prep school for students seeking entrance to an art college. As an instructor, training students how to look at and compose things artistically, meant that I also had to learn how to verbalize my thoughts and feelings. This significant growth experience not only allowed me to take stock of my life at the time, but also provided a refreshing opportunity to connect with teenage hearts and minds.
And idealism! Talking to groups of art students, I naturally found myself describing the ideals of an artist. A painful experience for me—I still had no sense of myself as an artist. The more the students showed their affection for me, the more I felt like a failed artist masquerading as a sensei (teacher). After completing my graduate studies, I kept working as a yobiko instructor. And in telling students about the path to becoming an artist, I began to realize that I was still a student myself, with many things yet to learn. I felt that I needed to become a true art student. I decided to study in Germany. The day I left the city where I had long lived, many of my students appeared on the platform to see me off.
Life as a student in Germany was a happy time. I originally intended to go to London, but for economic reasons chose a tuition-free, and, fortunately, academism-free German school. Personal approaches coexisted with conceptual ones, and students tried out a wide range of modes of expression. Technically speaking, we were all students, but each of us brought a creator’s spirit to the fore. The strong wills and opinions of the local students, though, were well in place before they became artists thanks to the German system of early education. As a reticent foreign student from a far-off land, I must have seemed like a mute child. I decided that I would try to make myself understood not through words, but through having people look at my pictures. When winter came and leaden clouds filled the skies, I found myself slipping back to the winters of my childhood. Forgoing attempts to speak in an unknown language, I redoubled my efforts to express myself through visions of my private world. Thinking rather than talking, then illustrating this thought process in drawings and, finally, realizing it in a painting. Instead of defeating you in an argument, I wanted to invite you inside me. Here I was, in a most unexpected place, rediscovering a value that I thought I had lost—I felt that I had finally gained the ability to learn and think, that I had become a student in the truest sense of the word.
But I still wasn’t your typical honors student. My paintings clearly didn’t look like contemporary art, and nobody would say my images fit in the context of European painting. They did, however, catch the gaze of dealers who, with their antennae out for young artists, saw my paintings as new objects that belonged less to the singular world of art and more to the realm of everyday life. Several were impressed by the freshness of my art, and before I knew it, I was invited to hold exhibitions in established galleries—a big step into a wider world.
The six years that I spent in Germany after completing my studies and before returning to Japan were golden days, both for me and my work. Every day and every night, I worked tirelessly to fix onto canvas all the visions that welled up in my head. My living space/studio was in a dreary, concrete former factory building on the outskirts of Cologne. It was the center of my world. Late at night, my surroundings were enveloped in darkness, but my studio was brightly lit. The songs of folk poets flowed out of my speakers. In that place, standing in front of the canvas sometimes felt like traveling on a solitary voyage in outer space—a lonely little spacecraft floating in the darkness of the void. My spaceship could go anywhere in this fantasy while I was painting, even to the edge of the universe.
Suddenly one day, I was flung outside—my spaceship was to be scrapped. My little vehicle turned back into an old concrete building, one that was slated for destruction because it was falling apart. Having lost the spaceship that had accompanied me on my lonely travels, and lacking the energy to look for a new studio, I immediately decided that I might as well go back to my homeland. It was painful and sad to leave the country where I had lived for twelve years and the handful of people I could call friends. But I had lost my ship. The only place I thought to land was my mother country, where long ago those teenagers had waved me goodbye and, in retrospect, whose letters to me while I was in Germany were a valuable source of fuel.
After my long space flight, I returned to Japan with the strange sense of having made a full orbit around the planet. The new studio was a little warehouse on the outskirts of Tokyo, in an area dotted with rice fields and small factories. When the wind blew, swirls of dust slipped in through the cracks, and water leaked down the walls in heavy rains. In my dilapidated warehouse, only one sheet of corrugated metal separated me from the summer heat and winter cold. Despite the funky environment, I was somehow able to keep in midnight contact with the cosmos—the beings I had drawn and painted in Germany began to mature. The emotional quality of the earlier work gave way to a new sense of composure. I worked at refining the former impulsiveness of the drawings and the monochromatic, almost reverent, backgrounds of the paintings. In my pursuit of fresh imagery, I switched from idle experimentation to a more workmanlike approach towards capturing what I saw beyond the canvas.
Children and animals—what simple motifs! Appearing on neat canvases or in ephemeral drawings, these figures are easy on the viewers’ eyes. Occasionally, they shake off my intentions and leap to the feet of their audience, never to return. Because my motifs are accessible, they are often only understood on a superficial level. Sometimes art that results from a long process of development receives only shallow general acceptance, and those who should be interpreting it fail to do so, either through a lack of knowledge or insufficient powers of expression. Take, for example, the music of a specific era. People who lived during this era will naturally appreciate the music that was then popular. Few of these listeners, however, will know, let alone value, the music produced by minor labels, by introspective musicians working under the radar, because it’s music that’s made in answer to an individual’s desire, not the desires of the times. In this way, people who say that “Nara loves rock,” or “Nara loves punk” should see my album collection. Of four thousand records there are probably fewer than fifty punk albums. I do have a lot of 60s and 70s rock and roll, but most of my music is from little labels that never saw commercial success—traditional roots music by black musicians and white musicians, and contemplative folk. The spirit of any era gives birth to trends and fashions as well as their opposite: countless introspective individual worlds. A simultaneous embrace of both has cultivated my sensibility and way of thinking. My artwork is merely the tip of the iceberg that is my self. But if you analyzed the DNA from this tip, you would probably discover a new way of looking at my art. My viewers become a true audience when they take what I’ve made and make it their own. That’s the moment the works gain their freedom, even from their maker.
After contemplative folk singers taught me about deep empathy, the punk rockers schooled me in explosive expression.
I was born on this star, and I’m still breathing. Since childhood, I’ve been a jumble of things learned and experienced and memories that can’t be forgotten. Their involuntary locomotion is my inspiration. I don’t express in words the contents of my work. I’ll only tell you my history. The countless stories living inside my work would become mere fabrications the moment I put them into words. Instead, I use my pencil to turn them into pictures. Standing before the dark abyss, here’s hoping my spaceship launches safely tonight….
local area meaning 在 internationally ME Youtube 的評價
Azabujuban in Tokyo has many local street shops that sell Japanese sweets, Japanese bread and Japanese snacks :)
A lot of these local shops that sell Japanese sweets have been running for over 100 years and are popular with the locals due to their originality.
A cool fact about Azabujuban is that the anime, Sailor moon was mostly based off this area as the writer lived in the Azabujuban area :D
There are a lot of places in Tokyo to get Japanese sweets, bread and snacks but I find areas like the Azabujuban area much more fascinating because of the history of the long running shops.
When you talk to the shop owners, you can tell they don't purely do the business just for the money. Rather, it's the deep meaning behind the shops history and the relationship they have with the local community.
I had a fun time trying all sorts of Japanese sweets and exploring the area with my lovely friends from the "Life Where I'm From" channel - See more of Greg, Aiko and Shin here :D
https://www.youtube.com/channel/UCqwxJts-6yF33rupyF_DCsA
Shops visited in order:
Naniwaya Taiyaki 浪花屋たいやき 麻布十番
http://japaneseperspective.com/naniwaya-cafe/
Tsukishimaya Azabujuban Imagawayaki 月島家 今川焼 麻布十番
http://tabelog.com/en/tokyo/A1307/A130702/13007203/
Mont Thabor Azajuban モンタボー麻布十番本店
http://mont-thabor.jp/
Mamegen Nuts and Beans 豆源本店
https://indonesia.fun-japan.jp/Articles/2015/04/21/ID_20150430-17-Mamegen-Azabu-Juban
Looking forward to your comments down below and I hope this video didn't make you too hungry! :P
Talk to you soooooon!! :D
Angela ☺
Subscribe and join me on my journey!
https://youtube.com/c/internationallyME
-------------------------------------------------------------
➱ PLAYLISTS
JAPAN TRAVEL GUIDE | 日本観光紹介
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyBS-iUqzY5Yk5O_l3lyjGHZpx33vU3O7
LIVING IN JAPAN ADVICE | 来日する外国人へのアドバイス
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyBS-iUqzY5bryw1ifGsLNm_-P32E-FGL
HIDDEN SPOTS & LOCAL AREAS | ローカル・穴場スポット
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyBS-iUqzY5ZmJw3erBlkdv0ybcOBG9iN
➱ CONNECT WITH ME
INSTAGRAM
https://instagram.com/internationallyme
TWITTER
https://twitter.com/NZ2JAPAN
➱ MUSIC
Awesome guy, check him out!
Canvai
https://soundcloud.com/canvai/sunset