"หนังสือมึงแม่งสุดมากว่ะ ชอบ"
"ขอสั่งซื้อซัก 100 เล่มดิ"
เมื่อคืนก่อนนอน ผมเปิดเจอข้อความนี้ในกล่องข้อความ ใจเต้นตูมตามด้วยความดีใจ ผมมักพูดเสมอว่า ใครชอบผลงานของเรา เราก็ดีใจทั้งนั้น แต่ที่ดีใจที่สุดคือเวลาเพื่อนชอบ แถมนี่เป็นเพื่อนที่เป็นนักอ่านตัวกลั่น เป็นคนมีความสามารถขนาดนี้ จะไม่ให้ดีใจอย่างไรไหว กระนั้น ที่ดีใจที่สุดคือข้อความที่สองนั่นแหละ
ร้อยเล่ม! เชียวนะ!
ก็ใช่ครับ, จำนวนก็น่าดีใจ แต่ที่ดีใจมากๆ ก็คือ การที่มีใครสักคนซื้อหนังสือเราไปแจกคนอื่นที่เขารัก ย่อมหมายความว่ามันต้องมีคุณค่าพอสมควร ผมบอกแท็บ-รวิศ หาญอุตสาหะ ไปตรงๆ ว่าดีใจและขอบคุณมาก แท็บตอบกลับมาว่า
"หนังสือดีมาก เชื่อว่าจะเปลี่ยนชีวิตคนได้เลย"
---
เรื่องน่าดีใจสำหรับผู้เขียนก็คือ มีเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารสั่งซื้อ "สิ่งสำคัญของชีวิต" เป็นจำนวนหลายสิบเล่ม และร้อยเล่มมาแล้วหลายชุด ดีใจจริงๆ ครับที่มีคนเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็น "ของขวัญ" สำหรับคนอื่นได้
ยิ่งช่วงนี้ ใครกำลังมองหา "ของขวัญปีใหม่" อยู่ ก็จะดีใจครับ ถ้า "สิ่งสำคัญของชีวิต" ถูกมอบให้กันเป็น "ของขวัญ"
---
สุดท้ายนี้ ขอบคุณแท็บมากๆ สำหรับรีวิวเลอค่านี้ ผมหลับไปตอนห้าทุ่มกว่าหลังอ่านข้อความของแท็บ ตื่นมาเจอสเตตัสยาวเฟื้อยนี้ อยากถามเขามากๆ ว่า "มึงไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน"
แต่นี่แหละครับ, No condition > Do it now!
---
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอห้อยท้ายโฆษณาเลยก็แล้วกันครับ, สำหรับท่านที่สนใจสั่งซื้อจำนวนมาก (จะได้ส่วนลดพิเศษ) สามารถติดต่อได้ที่สำนักพิมพ์ KOOB โทร. 0639911075 ครับผม
สั่งออนไลน์ได้ที่ m.me/koobbooks
ชวนอ่านรีวิวนี้ครับ แท็บเขียนได้ทรงพลังมาก :)
สิ่งสำคัญของชีวิต
.
.
.
บอกตรงๆว่าทุกครั้งที่หยิบหนังสือของ “นิ้วกลม” ขึ้นมาอ่าน ผมอดทึ่งไม่ได้ว่าเพื่อนสมัยเด็กๆที่จำภาพได้แต่เรื่องไม่ค่อยมีสาระที่เราทำด้วยกัน จะเติบโตมากลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดที่คมคายและถ่ายถอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเพียงนี้
.
วันก่อนผมไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนๆมา เลยได้หนังสือเล่มนี้จากเอ๋ด้วยตัวเองเลย วันนี้เลยอยากมาเล่าให้ฟังครับว่า ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
.
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือถ่ายถอดเรื่องเล่าของคุณมานิต อุดมคุณธรรม
.
คุณมานิตเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า PJ Jeans แบรนด์ S’fare เป็นผู้ก่อตั้งห้างโรบินสัน เป็นผู้ริเริ่มศูนย์การค้า Fashion Island, Future Park รังสิตและบางแค ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร Homepro และยังพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย
.
เรื่องที่ผมชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้เลยคือคำสอนของคุณมานิตที่ว่า
.
.
“No Condition”
.
.
“อย่าสร้างเงื่อนไขให้กับตัวเอง”
.
ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเอง คุณจะเป็นคนที่ศักยภาพสูงมาก
.
เรามาลองพิจารณาประเด็นนี้กันดูนะครับ
.
เวลาตั้งใจอย่าง”แน่วแน่” แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
.
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่กินขนม แต่เราก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรน่าวันนี้เหนื่อย อยากกินของหวานๆ ขอเว้นซักวันละกัน
.
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะอ่านหนังสือทุกวัน แต่วันนี้เหนื่อยจัง ดูทีวีซักวันก็คงไม่เป็นไรนะ
.
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกกำลังกายอะไรก็ได้เล็กๆน้อยๆทุกวัน แต่เมื่อคืนนอนดึกจัง เว้นซักวันละกัน
.
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่โมโหลูกอีก จะใช้ความเข้าใจแทน แต่วันนี้ขอซักวันละกันมันอดไม่ได้จริงๆ
.
เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ด่าลูกน้องอีก จะใช้การสอนแทน แต่วันนี้ขอซักวันละกันมันสุดเดือดจริงๆ
.
หรืออาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ครับ
.
เพราะอากาศมันร้อนไป ฉันวิ่งไม่ไหว
.
เพราะแอร์มันร้อนไป ฉันทำงานไม่ไหว
.
เพราะแอร์มันหนาวไป ฉันทำงานไม่ไหว
.
เพราะมันน่าเบื่อเกินไป ฉันทนอ่านไม่ไหว
.
เพราะการเดินทางมันเหนื่อย ฉันอ่านหนังสือไม่ไหว ขอนอนดู series ดีกว่านะ
.
.
เพราะ.... ฉันเลยต้อง...
.
.
ฯลฯ
.
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเราต้องทำอะไรเยอะแยะนะครับ คนเราพักได้ แต่ไม่ควรผิดสัญญากับตัวเอง
.
อ่านเรื่องนี้แล้วผมนึกถึงคุณแต๋ม ศุภจี CEO ของเครือดุสิต ที่มีอยู่วันนึงที่เธอยุ่งมากๆทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย พอไปถึงสนามบินก็จะหมดวันแล้ว คุณแต๋มก็เลยวิ่งอยู่ใน terminal นั้นแหละครับ
.
คนที่จะทำอะไรจริงๆ จะไม่มีข้ออ้างให้กับตัวเอง ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่หิว ไม่อิ่ม
.
มีแต่ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้กับตัวเอง
.
ม้นสะท้อนอะไรให้เราเห็นบ้างครับ
.
.
โลกนี้มีคนที่อยากทำอะไรให้สำเร็จมากมาย แต่เกือบทั้งหมดได้แค่ฝัน แค่นั้นจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ?
.
คนที่ทำฝันให้สำเร็จเขาเป็นยังไงกัน
.
คุณมานิตบอกว่าข้อแรกเลยต้อง “Do it now”
.
“เพราะ Do it now เป็นหัวใจของชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขเลย ชีวิตคนเรามันอยากๆเบื่อๆ เดี๋ยวอยากเดี๋ยวเบื่อ เดี๋ยวชอบเดี๋ยวไม่ชอบ เดี๋ยวมีความกระตือรือร้นน่าตื่นเต้น พอเลยไปซักพัก ความกระตือรือล้นมันก็คลายไป นิสัยแบบนี้มันทำลาย Integrity หรือความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูด เวลาชอบจะทำเลย แต่พอช้าหน่อยจะเลิกแล้ว โดยไม่สนใจว่าเป้าหมายของเราคืออะไร”
.
“ Integrity คือตัวเรา คือคำพูดของเรา เราต้องให้เกียรติคำพูดตัวเอง เมื่อไรเราไม่ให้เกียรติคำพูดก็ไม่มีตัวเรา มันลึกขนาดนี้เลยนะ หมายความว่าตัวคุณมีอยู่เพราะคุณมี intetrity พูดอะไรรักษาคำพูด พูดอะไรทำหมด คุณเป็นคำพูดนั้น แต่เมื่อไรที่คุณไม่ทำ ตัวคุณไม่มีแล้ว ความน่าเชื่อถือของคุณหมดไป
.
ถ้าคุณเป็นคนคำไหนคำนั้นพูดแล้วทำ สิ่งที่คุณพูดจะศักดิ์สิทธิ์เลย พูดแล้วเป็นจริง พูดเงินได้เงิน พูดทองได้ทอง”
.
ของแบบนี้ต้องทำ 100% จะมาทำ 98% หรือ 95% ไม่ได้เพราะ 3% 5% ที่เรายอมหละหลวมอ้อนข้อให้กับตัวเองนั้นแหละ จะกลับมาทำให้ทั้งหมดล้มเหลว เพราะเมื่อเราขาดความมุ่งมั่น จิตใต้สำนึกของเราก็จะอ่อนแอ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้อง 100% ไม่มีคำว่า 95%
.
“เมื่อไรเราไม่ให้เกียรติคำพูดก็ไม่มีตัวเรา มันลึกขนาดนี้เลยนะ “
.
.
ของแบบนี้ถ้าจะทำต้องเอาจริง
.
“Do it now, แล้วเราจะมีศักยภาพสูงมาก”
.
.
พูดง่าย ทำยาก แต่ถ้าอยากทำความฝันให้เป็นจริงต้องทำครับ
.
.
_______________________
.
.
"เนื้อแท้"
.
.
ความหมายที่ลึกซึ้งที่สุดของสิ่งที่มนุษย์ยึดถือ
.
“คำว่าเนื้อแท้ คือการหลุดจากหน้ากากตัวเอง หลุดออกจากการแสแสร้งทำ หลุดออกจากความดูดี เหลือแต่เนื้อแท้ที่ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ”
.
“มนุษย์เราอยากดูดี แสแสร้งแกล้งทำ และมีเงื่อนไขตัวอยากดูดีคือตัวที่น่ากลัวที่สุด”
.
“อย่างกรณีเขาเชิญไปพูดในที่สาธารณะ เราไม่กล้าไปเพราะอะไร บางคนคิดว่าฉันพูดไม่เก่ง เสียงในหัวเรามันจะบอกว่าเราพูดไม่เก่ง พูดไม่ดีแล้วจะขึ้นไม่ไปทำ หน้าแตกเปล่าๆ นี่แหละคือคำว่าดูดี มันมาจากจิตใต้สำนึกของความไม่เชื่อมั่นในตนเอง ความกังวล ความห่วงหน้าตา เลยไม่กล้าขึ้นเวที เพราะขึ้นไปแล้วไม่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร มันบล๊อกเราทุกทาง แต่ถ้าเราลองไม่คิดอะไรเลยแล้วขึ้นไปพูด มันจะพูดได้เลย”
.
“เราต้องทลายกำแพงนั้นลง กำแพงเล็กๆที่สะสมมาจากประสบการณ์ของเรา มาจากการขาดความเชื่อมั่น คิดว่าตัวเองมีปมด้อย แล้วพูดย้ำถึงข้อบกพร่องกับตัวเองอยู่แบบนั้น จำไว้ว่าเสียงในหัวไม่เคยให้ประโยชน์เลย เพราะมันมาจากจุดที่อ่อนแอของเรา แล้วมันจะตอกย้ำข้อบกพร่องของเรา แนะนำให้ก้าวข้าม เลือที่จะไม่รับฟังเสียงในหัว มันบงการอยู่ตลอด ถ้าทลายกำแพงนี้ทิ้งไปได้ คุณยังทำอะไรได้อีกเยอะเลย พลังข้างในยังเหลืออีกเยอะ พอลงมือทำ เราจะเปลี่ยนพลังนั้นเป็นความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น ต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ พอก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” พ้นแล้ว คุณจะอยากทำต่อ”
.
ส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้เลยครับ พอผมทลายกำแพงเล็กๆของผมลงไปได้ ต้องบอกว่าเหมือนได้เกิดใหม่เลย เหมือนเราทิ้งตัวตนบางอย่างของเราไป แล้วได้เจอกับเราในอีก version นึงที่เราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
.
พอทำได้ครั้งนึงแล้วมันจะอยากทำอีกครับ
.
ที่สำคัญคือต้องกล้าที่จะสู้กับความกลัว และลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างที่มันค้างคาใจคุณให้ได้ครับ
.
.
________________________
.
.
ใจที่แข็งแรง
.
5 เดือนคือเวลาที่คุณมานิตใช้ฟื้นฟูตัวเองจากการป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างเส้นเลือดในสมองแตก ให้กลับมามีสุขภาพร่างกายที่ปรกติสมบูรณ์ได้
.
12 เดือนคือเวลาที่จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ”แม้แต่น้อย” เตรียมตัวจนวิ่งจบมาราธอน
.
แค่สองประโยคนี้ก็ทำให้เรื่องราวในการดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเองของคุณมานิตน่าสนใจมากๆแล้ว
.
คุณมานิตเล่าเรื่องตอนป่วยว่า
.
“ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าไม่มีทางรักษาเลย นอกจากว่าเราจะต้องใช้เวลาหาวิธีที่จะพัฒนากายของเราให้ได้ ก็แนะนำว่าถ้ามีเวลา 6 เดือน ให้ 3 เดือนแรกต้องฟื้นให้ได้ 90% เราก็คิดตามว่า ถ้าปล่อยให้สมองมันเฉาอย่างนี้ สี่-ห้าเดือน ไม่มีทางเลยที่จะดึงกลับขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นในสามเดือนเราจะพยายามทำให้มันขึ้นมาเท่าเดิมให้ได้”
.
“กายภาพบำบัดเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องเชื่อฟังหมอและมีวินัยไปทำ เพราะมันเป็นการกระตุ้นเซลล์ที่ตายให้ตื่นตัว แต่บ่อยครั้งที่คนป่วย คิดว่าตัวเองเป็นคนป่วยก็ล้าแล้ว พอจะออกกำลังอะไร รู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก นี่คืออุปสรรคอันแรกเลยนะ คนมักไปกายภาพบำบัดด้วยความเซ็งและเบื่อ เพราะทรมาน แต่ผมไปด้วความกระตือรือร้น มันไม่เหมือนกัน
.
แค่รถพยาบาลจะมาเข็นผม ผมยังบอกไม่ต้องมาเลย เพราะผมจะเดินไปเอง นี่ตัวที่หนึ่ง ตัวที่สองคือ ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเรา เพราะฉะนั้นผมรู้เลยว่าขาขวาผมไม่มีแรง มือขวาผมไม่มีแรง ผมเอาถุงทรายมาถ่วงเพื่อให้ขามีแรงมากขึ้น อันนี้คือคิดเอง เราซื้อถุงทรายมาถ่วงทั้งสองข้างเลย ซ้ายห้ากิโล ขวาสิบกิโล ทำให้ขาขวาหนักกว่า แล้วเวลาเดินนี่ปกติถ้าเป็นอัมพฤกษ์ขามันจะเป๋ เพราะไม่มีแรงจะบิด เราก็บิดมันเลย ตอนนั้นบิดด้วยใจ ใช้ความรู้สึกบิดมัน เคยอยากแพ้นะ พอแพ้แล้วอีกหน่อยคุณก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป ก็ต้องฝืนให้ได้ ถ้าคุณไม่ฝินมัน ยอมให้มันผิดปรกติ ก็แสดงว่าชีวิตคุณต้องเป็นอย่างนี้แล้ว ลำบากหน่อย แต่ต้องชนะมันแล้วก็เดินเอง บังคับตัวเองให้เดินตรงๆ มือไม่มีแรงเวลาเดินก็ยกขึ้นเลย ถึงแม้มือนี้อ่อนแรงก็ใช้จิตเราฝึกดึงขึ้นมา คนป่วยถ้าไม่ใช้พลังจิตมันไม่มีทางเลย ถ้าเอาแต่คิดว่าฉันล้า ฉันเหนื่อย พลังจิตไม่ช่วยคุณเลย แต่อารมณ์ต่างหากทำให้คุณแพ้มัน”
.
.
“มาราธอนทำให้ผมเอาชนะสโตรกได้ เพราะว่าเราผ่านความลำบากของชีวิตที่ร่างกายไปไม่ได้เรายังชนะมันมาแล้ว ผมจบมาราธอนสามครั้ง มันสะสมสปิริตนี้ไว้ในตัว พอมาเป็นสโตรก ผมไม่เคยกังวลเลย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะพิการเลย คิดแต่ว่าตัวเองจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วต้องฝึกเดินใหม่ ตอนรู้ว่าเส้นเลือดในสมองแตก ผมไม่ตกใจเลย บอกภรรยาว่าตอนนี้ฉันเป็นเด็กนะ ขอเวลา 4-5 วันที่จะให้ประคองเข้าห้องน้ำ แต่ต่อไปจะไม่ให้ประคองแล้ว ต่อให้ต้องคลานเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องมาช่วย เราต้องมุ่งมั่นระดับนั้น”
.
.
นี่คือหัวใจแห่งความมุ่งมั่นความมุ่งมั่นของเด็กชายที่เริ่มตัวด้วยจักรเย็บเสื้อผ้าเพียงสามตัวและเงินที่ยืมเพื่อนบ้านมาสองหมื่นบาท จนกลายมาเป็นเจ้าสัวหมื่นล้านในวันนี้
.
ผมไม่แปลกใจในความสำเร็จของคุณมานิตจริงๆครับ
.
.
ทันทีที่เขียนบทความนี้จบผมทักเอ๋ไปใน messenger ว่า ขอสั่งหนังสือมาแจกครอบครัว เพื่อน และน้องๆที่ทำงาน
.
อยากให้คนรอบๆตัวผมได้อ่านสิ่งดีๆ
.
เพราะตอนอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วให้ความรู้สึก เหมือนตอนอ่านหนังสือของ Tina Seelig เรื่อง “what i wish I knew when I was 20”
.
.
คือใครได้อ่าน ถือเป็นโชคดี
Important things of life
.
.
.
Honestly, every time I pick up the book of "round fingers" I can't read that my friends when I was young, but the things that we didn't have a lot of sense that we did together will grow up to become an adult with a sharp mind and take it off. How awesome is this?
.
I went to dinner with my friends the other day. I got this book from Ae. Today I want to tell you how I read this book.
.
This book is a book to take off the story of Mr. Manit Udomvirtue.
.
Mr. Manit is the owner of PJ's clothing brand. S ' fare brand, is the founder of Robinson mall. Fashion Island, Future Park Rangsit and Bangkhae. Now he is now as the President of Homepro and also developing many real estate projects.
.
My favorite thing in this book is Mr. Manit's teaching
.
.
“No Condition”
.
.
"Don't create the conditions for yourself"
.
If you are a person who doesn't create conditions for yourself, you will be a very high potential.
.
Let's try to consider this issue.
.
Time is "determined" so what happened?
.
I intended not to eat snacks, but I told myself that it's okay. I'm tired today. I want to eat dessert. Let me have a day.
.
I intended to read a book every day, but today I'm tired. I watch TV for a day. It's okay.
.
I intended to exercise anything every day. But last night I slept late.
.
I intended not to be angry with my kid again. I will use understanding instead. But today, I want one day. I can't help it.
.
I intended not to scold my crew again. I will use teaching instead. But today I want one day. It's really hot.
.
Or it could be like this.
.
Because the weather is too hot I can't run
.
Because the air conditioner is too hot I can't work
.
Because the air conditioner is too cold I can't work
.
Because it's too boring. I can't stand to read.
.
Because the journey is tiring. I can't read books. Let me sleep and watch the series.
.
.
Because.... so I have to...
.
.
etc.
.
All of these are not that we have to do a lot of things. We can rest, but we shouldn't break ourselves.
.
After reading this, I thought of Mr. Tam Supaji, CEO of Dusit group. One day she was very busy. She didn't have time to exercise. When I arrived at the airport, it was almost over. So Khun Tam is running in terminal. That's it.
.
Those who really do something will have no excuse for themselves. Not sleepy, not tired, not hot, no cold, no hungry, not full.
.
I only don't want to break my promise that I give myself.
.
What do you reflect on us?
.
.
There are many people who want to accomplish things in this world, but most of them can only dream. Why is that?
.
How is the one who completes the dream?
.
Mr. Manit said first thing must be "Do it now"
.
" Because Do it is the heart of life that is unconditional. Life wants to be bored. I want to be bored. I will be bored. I won't like it. I won't like it. I will be enthusiastic. When I will be exciting. When I go for a while. This kind of habit destroys Integrity or responsibility for what you say. When you like to do it. But when I'm slow, I will quit without care what our goal is "
.
" Integrity is our words. When we have to honor our own words, we don't honor the words, we don't have ourselves. It's so deep. It means that you exist because you have intetrity. What do you say, keep your words. You are words. That's when you don't do it, you don't have it anymore. Your credibility is gone.
.
If you are a person, the word, then do what you say will be holy. Say it and it is true. Speak money, money, gold, get gold
.
This kind of stuff has to be done. 100 % can't do 98 % or 95 % because 3 % that we are willing to loose. I beg for myself. I will come back to make it all because when we lack commitment. Our subconscious will be weak. So everything must be 100 % there is no 95 %
.
" When we don't honor words, we don't have myself. It's so deep
.
.
This kind of stuff. If you want to do it, you
.
"Do it now, then we will have a lot of potential"
.
.
Easy to say, difficult to do, but if you want to make your dream come true, you must
.
.
_______________________
.
.
"Real meat"
.
.
The deepest meaning of what man holds.
.
" The word true texture is to fall off the mask. Fall out of pretending to fall out of the good looking good. But the real texture that I like. I like. Don't like, don't like it
.
"Humans want to look good, pretend to do it and have conditions. I want to look good is the scariest one"
.
" In case they invite you to speak in public. I don't dare to go. Why someone thinks that I'm not good at talking. The voice in my head will say that I'm not good at talking bad things. I won't go up and I won't break my face. This is the word good. It I don't believe in myself, worry, worry, so I don't dare to go on stage because I don't know what to say. It blocks me in every way. But if I try, I don't think about anything and say it, I will say
.
" We have to break down the wall that small wall that accumulated from our experience from the lack of confidence. Think we have inferiority and repeat the flaws to ourselves. Remember that the voice in our head never benefits because it comes from our weak point. It will remind our flaws. I recommend you to choose not to listen to the voice in the head. It's always manipulative. If you can still do a lot of power inside. We will change the power. That's creative. Keep getting more active. It's enough to cross the word " can't do it " and you will want to do it "
.
Personally, I have experienced this. When I broke down my small wall, I have to say that it seems like I have been reborn. It seems like I left something of our identity and met us in another version that I never thought I could do.
.
When I do it once, I will want to do it again.
.
The important thing is to fight fear and get up and do something that is in your heart.
.
.
________________________
.
.
Healthy heart
.
5 months is the time that Mr. Manit uses to restore yourself from being sick. It's a serious stroke. Let's get back to healthy.
.
12 months is the time from people who have never worked out "even" until the end of the marathon.
.
Just these two sentences make the story of taking care of your own body and mind. Manit is very interesting.
.
Mr. Manit told me when he was sick.
.
" At that time, the doctor said that there is no way to heal unless we have to figure out how to develop our body. It is recommended that if we have 6 months, we have 3 months, we have to revive 90 % we think. If you let the brain be like this for four-five months, there is no way to pull it back. So in three months we will try to make it up the same
.
" Physical therapy is important that you have to obey doctors and discipline because it is stimulates dead cells to stay awake. But often people think that they are sick people are sick people. When you are tired. When I feel very tiring. This is the first obstacle. People always go to physical therapy and bored because I'm suffering. But I go with enthusiasm is different.
.
Just an ambulance will push me. I still say no need to come because I will walk by myself. The second one is nobody knows better than me. So I know that my right leg has no energy. My right hand has no energy. I put sand bag to keep my legs. More powerful. This is thinking by myself. I bought a bag of sand. Both of them. Left is five kilograms. It makes the right. It makes the right leg heavier. When I walk, it's normal. If it's palsy, it's a bag because I don't have energy to With my heart, I used to lose. When you lose, you will be like this forever. If you don't have to eat it. It's wrong. It means your life must be a bit difficult but you have to win it. Walk by myself, force myself to walk straight. My hands have no energy. When I walk up. Even if this hand is weak, I use my mind. I practice pulling up. If I don't use psychic power, there is no way. If I'm tired, I'm tired. I'm tired Make you lose to it "
.
.
" Marathon makes me beat the stroke because we can't go through the struggle of life. We have won it. I finished three marathon. It accumulated this spirit in my body. When I never worry. I never thought I would be disabled. I only think about myself. I'm going back to be a kid again. I have to practice walking again. When I know that my stroke is not shocked. I told my wife that I'm a kid now. Give me 4-5 days to hold me to the bathroom. But I won't let you hold you anymore. Even if I have to Toilet don't have to help. We have to be that level of
.
.
This is the heart of determination of a boy who started with only three clothes and money borrowed for ten thousand baht to become ten thousand millions today.
.
I'm not surprised by Mr. Manit's success.
.
.
As soon as I finished writing this article, I greeted Ae in messenger that I would like to order a book to give away family, friends and
.
I want people around me to read good things.
.
Because when I finished reading this book, I feel like when I read Tina Seelig's book "what I wish I knew when I was 20"
.
.
Who has read it is luckyTranslated
last night dinner meaning 在 趙德胤 Midi Z Facebook 八卦
#尋人啟事
#胡湘荷妳在哪裡
我的母親已八十歲,
疫情期間,
母親常在電話跟我聊一些過去的事情,
母親的記憶力非常好,
從她十歲開始到現在,
她幾乎能記得所有的事情。
當然,
她記的幾乎都是些令人心碎的事。
就像她的妹妹_
我的小阿姨,
跟她失聯了四十三年的事,
一直讓母親忘不了。
小阿姨屬猴,
64歲、
1956年出生。
大約1977年離開緬甸,
去到泰國投靠大舅,
又輾轉在1978年左右去了加拿大。
之後,
就失去了聯絡。
自從有網路以來,
我就幫忙母親在各種尋人版上刊登過尋人啟事,
但都沒有下文。
可能是刊登的資訊不齊全。
四十三年前,
小阿姨從緬甸到泰國又到加拿大,
可能證件、姓名等都跟原本的不一樣了。
近期,
與我母親通話,
母親又提到失聯的小阿姨。
她叮嚀我們是否能幫忙她再找找看。
母親今年八十歲,
她很想知道她的小妹,
是否還活在這世界上?
附上母親說的話,
她讓我公佈在網路上。
希望有緣,
我的小阿姨能看到。
Midi 於永和
2020 April 12
#胡湘荷
#尋人
胡湘荷,妳在哪裡?
阿湘,
我是妳的二姐胡明珠。
我們分別有好長一段時間了。
妳離開緬甸時,
我二兒子才剛出生,
都還不滿一個月,
妳來看他時,
還說:
「他的臉白白的,
是不是我給他擦粉?」
現在,
我二兒子四十三歲,
我呢,
已經快滿八十二歲,
八十多歲,
是老人了。
人家說,
人愈老記性愈差,
我是相反,
我的記性反倒是愈老愈好。
但是,我能記住的,
都是些傷心的事情。
也許,
我們這代人,
也沒有什麼快樂的事情可以記住。
就像妳的離開,
我們從此失去聯絡,
想起妳,
就讓我難過。
妳還活著嗎?
我想妳會活得好好的。
妳有幾個小娃了?
過得怎麼樣呢?
四十三年前,
妳離開腊戌時,
妳還在腊戌漢人學校唸書。
有天放學,
我去攔住妳,
跟妳說:
「妳以後每天下課後就來我家吃飯,
別去大姐家吃了…」
妳說:「好」。
妳也就跟著我到我家吃飯了。
我還記得,
妳才剛坐下,
我不知怎麼搞的,
就說了那些話。
我說:
「大姐讓妳以後來我這裡吃飯,
別去她家吃了,
讓妳三姐去她家吃,
妳三姐不挑嘴,
妳比較挑嘴…」。
這些話,
是大姐跟我說的,
我當時太懵,
太老實,
我也不曉得,
為什麼要說這些大姐講的話?
為什麼要講給妳聽?
我完全,
沒有擔待不了妳的意思呀。
不管多窮,
姐妹間互相照顧都是應該的,
我轉述大姐說妳的那些話,
是沒有任何理由的,
就是我以為是姐妹之間的聊天,
講出來而已。
我那時候過得很困難,
養著六個小娃,
病死了兩個。
但是,
照顧自己的妹妹是天經地義的。
那天,
我邊說就邊到廚房去炒菜,
難得妳來這裡吃飯,
總要多一樣什麼菜才行。
我炒完菜端著出來,
妳就不見了。
當時,
房東許老嬤嬤還在場,
她說,
「我轉進廚房,
妳就站起來走了…」
我那時才發覺;
我講錯話了。
妳這麼敏感的人呀!
我一路追著妳,
追到大水塘路上_
到妳跟妳三姐住的地方,
妳正在哭。
妳正在哭著跟妳三姐吵架,
妳跟妳三姐說:
「二哥寄來的錢分來…」
妳三姐不敢應妳,
在旁沉默著。
這筆妳要的錢,
確實是妳二哥寄來給妳們兩姐妹的生活費。
那時,
媽媽剛去世不久,
大哥人去了泰國;
在泰國北部滿堂安了家,
家裡所有的兄弟陸續去了泰國。
而爸爸因為沒身份證在貴概被移民局抓住,
送到仰光坐滿九年牢,
緬甸政府正打算著把他送到台灣去的時候…
那天,
我看著妳哭,
我就明白了妳的心情。
妳三姐在準備跟她愛人私奔,
在腊戌妳也只有大姐、我和妳三姐了。
我和大姐早結婚,
各自已有有家庭。
如今妳三姐又要嫁人,
大哥他們又遠在泰國,
母親去世,
父親坐牢。
妳接下來就要孤苦零丁的一個人生存了。
一個十八歲的女孩。
我知道妳的害怕和難過。
那天,
看著妳哭,
我很後悔把大姐說的話講出來。
妳應該了解我的。
我一直都盡力照顧我的家人,
當時從雲南背著妳逃難到緬甸邊境,
背了一天一夜。
我都是自願的。
妳記得嗎?
妳到腊戌讀書時,
很想要一條件仔褲,
那時許多人都買不起,
我還是費盡力氣買給妳。
妳知道我是心疼妳的。
妳離開腊戌的那天,
妳說妳要去泰國了。
臨走時,
我拿了300塊錢給妳,
妳知道嗎?
那時候我拿出300塊錢緬幣是到處借來的錢呀。
阿湘,
我知道妳一直都在受苦,
去到泰國,
大嫂可能待不得妳,
妳二哥、三哥他們當時也沒能力照顧妳,
妳在泰國又沒有合法的身份;
哪可能有其它去處。
最後妳選擇結婚,
我想也只是為了解脫這些難過的生活罷了。
之後,
就聽說妳嫁了人,
跟著丈夫家去了加拿大。
之後,
我就再也就打聽不到妳的下落了。
我們最後的連繫,
停留在泰國北部滿堂,
或是停留在泰緬邊境美賽,
我都有些記不得了。
那時,
聽說妳從大哥家跑出來了?
又聽說妳去暫住在一對老年夫妻的家裡?
這些,
都是後來傳到腊戌的消息了。
妳去加拿大前,
還寄來給我和大姐和妳三姐每個人一件衣裳布、
一條籠基。
三份禮物裡夾著三張白紙,
寫著:「大姐的、二姐的、三姐的…」。
我還記得,
那是託「義號佛堂」楊前人帶來的禮物。
那條籠基到現在我還留著_
孔雀花紋的。
阿湘,
我這個作二姐的也羞愧妳了。
當時,
聽到這些關於妳的困難的消息,
只能每天想念著,
想到傷心,
我沒有任何能力。
那時,
我是,
連從緬甸腊戌到泰國邊境的車票都買不起呀。
當時我養著這麼多小娃,
吃一口飯都難。
阿湘,
現在講這些都只是回憶了,
都是我們老人家的回憶,
都不重要了。
那為什麼還要講這些呢?
就是,
為了,
想讓妳看到,
看到這些我說的話,
證實,
我是妳的二姐而已。
想讓妳知道,
我一直在找妳。
我活到八十歲,
夠了,
人活這麼老沒什麼意思,
都盡是傷心的事情。
我不知哪天會死去。
但如果可能的話,
在死去之前,
能讓我知道一下妳的消息。
我想知道,
妳在哪裡?
我想知道,
妳還活著嗎?
阿湘,
爸爸十幾年前已經去世,
大哥六年前去世,
連大姐,
前年也不在世上了。
妳二哥;
他住在泰國山邊荒地裡,
幫人家看田地,
過得不是很好,
但也不用擔心,
我在泰國的二兒子和大姑娘時常會去照顧他。
妳三哥,
講到也是讓我難過呀。
他大前年腦出血,
去醫院醫好了,
但醫好後,
很奇怪,
突然忘記了漢人話,
只會講泰國話。
後來不久,
他就偷偷上吊自殺了。
你說,
我們兄弟姐妹這是什麼樣的命運呢?
阿湘,
我們家沒剩下什麼人了,
妳三姐、妳四哥還在泰國。
還有我,
我還活著。
我還在緬甸,在腊戌。
除了妳,
我們一家人也就剩下這三個人了。
阿湘,
我們已經分別已四十三年,
妳也有六十多歲了吧?
我很想知道,
妳在哪裡?
妳還活著嗎?
如果有緣,
妳看到這信,
就回我一下吧。
妳的二姐胡明珠,
日日夜夜,
在等妳的消息。
二姐胡明珠 於緬甸腊戌
2020 年4月11日
姪Midi代筆
找人信箱:humingju1638@gmail.com
**************
#notice for a missing person
translated by Jane Lin
****************
Where are you, Hu Shine-Ho?
Ah-Shine,
This is your 2nd sister, Hu Ming-Ju. It has been a long time since we last saw each other. When you left Burma, my 2nd son was not even one-month-old. You asked why he was so fair-skinned? Had I put powder on his face? Now, he is 43 and I am almost 82.
Eighty something...I am indeed an old woman! People say that you lose your memory as you age. I am quite the opposite. The older I get, the better I remember! But, what I remember is nothing but sadness. Perhaps, our generation just doesn't have much happiness. Like you leaving home, we losing contact forever…. The thought of you puts me in such despair. Are you still alive? I imagine you living a good life?!! How many children? How are you?
Forty-three years ago, you were still a student at Chinese High School in Lashio. One day after school, I went to intercept you, "From now on, come to my home after school. Don't go to 1st sister's for dinner anymore." You said, "OK" and followed me home.
I still remember clearly that you had just sat down and I said, "The first sister asks that you come to me for dinner. She will take 3rd sister who's easy-going, not like you, a picky eater." I don't know what possessed me that day? Why I had to tell you what 1st sister had to say? Was I too naive? Too honest? Too stupid? I had absolutely no intension not to take care of you - we are sisters!!!! We have to care for each other, no matter how poor we are!!! The first sister's words just came out as a casual chat between sisters. Nothing more!
Life was tough for me at the time. Diseases took away two of my six children. But that didn't mean I would ignore my God-given responsibility as your elder sister. Without realizing the impact of my "casual chat", I went into the kitchen wondering what additional dish I could come up with for your first dinner with us. When I came out with the dishes, you were already gone! According to our landlady, Granny Hsu, you just got up and left as soon as I was out of sight. Only then did I realize my stupid mistake and how sensitive you were! Immediately, I ran after you, all the way to Big Pond Road where you and 3rd sister stayed. You were crying, asking 3rd sister for the money that 2nd brother sent. 3rd sister just kept quiet.
Indeed! The money that you demanded from 3rd sister was to cover living expenses for both of you. At that time, Mother had already passed away. The first brother went to Thailand, had already settled his own family in Pong Ngam. All the brothers followed suit. Father got caught in Kutkai by the immigration for not having an I.D. and had been in prison in Rangoon for 9 years. The Burmese government was just about to send him to Taiwan…. That day, while watching you cry, I understood how you felt. The third sister was getting ready to run away with her lover and both 1st sister and I were married young with our own families to deal with. As an 18-year-old with no mother, a father in prison, you must have felt all alone, sad and very scared.
I was filled with regrets watching you that day. But, please understand that I have always tried my best to take care of my family. When we escaped from Yunnan to Burma as refugees, I carried you on my back all day and all night without any complaints. When you went to Lashio for school, you wanted a pair of jeans so badly, remember? It was such a luxury that most people could not afford. Yet, I gathered all my might to get you a pair. You know I always have a soft spot for you, don't you? The day you were leaving Lashio for Thailand, do you know how many places I had to try to gather 300 Burmese kyats for you???
Ah-Shine, I know it was a huge struggle for you in Thailand. It's impossible that 1st sister-in-law would put you up. Second and 3rd brothers were in no position to help you….. I suppose you were pushed into marriage, just to end this desperate situation. Last I heard, you moved to Canada with your husband. From that point onward, in spite of all the efforts, I just couldn't find any trace of your whereabouts.
Our last contact stopped at Pong Ngam, Thailand. Or, was it MaeSai? I can't quite remember now. The news came to Lashio that you had run away from 1st brother's home. Later, you were temporarily staying with an older couple….
Before leaving for Canada, you sent, via Abbott Yang of the Yi Buddhist Hall, a package for us - each gift had a piece of dress fabric and a longyi, clearly labeled on a piece of white paper: "for 1st sister," "for 2nd sister," "for 3rd sister." I still have that longyi, with a peacock pattern, after all these years!
Ah-Shine, I feel deeply embarrassed to be your elder sister. Upon hearing the challenges that you had to face at the time, I could do nothing but worrying and feeling sad. I couldn't even afford the bus fare from Lashio to the Thai border. I barely managed to feed my own children!
Ah-Shine, What's the use of talking about these old memories? These sad memories of us old people have no importance but to serve to show you that I am indeed your 2nd sister.… that I have been looking for you all these years.
To live in my eighties is more than enough for me. It's not much fun to live this long - just a lifetime of sadness. I have no idea when I will die and I don't really care. I just wish that I could hear from/about you before I leave this world. I want to know where you are. I want to know if you are still alive.
Ah-Shine, Father passed away more than a decade ago. The first brother left us 6 years ago, so did the first sister 3 years ago. The second brother works as a field caretaker in a remote Thai mountainside. It's not a good life, but both my 2nd son and first daughter are also in Thailand; can visit and take care of him often. The saddest is our 3rd brother. He had a stroke 3 years ago. After recovery, he suddenly forgot his Chinese, could only speak in Thai. Not long after, he hanged himself! Please tell me what kind of fate has been bestowed on our siblings??? What is the meaning of life???
Ah-Shine, There aren't that many of us left, only 3rd sister and 4th brother in Thailand and me still in Burma. In Lashio.
Ah-Shine, We have been apart for 43 years. You should be in your 60s by now. I really would like to know if you are still alive and where you live. God willing, you will see this letter and reply!!! (humingju1638@gmail.com)
Waiting to hear from you, day and night!
Second sister, Hu Ming-Ju
Lashio, Myanmar
April 11. 2020
last night dinner meaning 在 玳瑚師父 Master Dai Hu Facebook 八卦
【玳瑚師父茶會課室】 《以茶會友–第八場 :新春大年初三餐會》
8th Recap : 2016 Lunar New Year Dinner With Master Dai Hu (English version below)
2016年二月十日,大年初三,玳瑚師父在新加坡文华东方酒店的MELT ~ The World 咖啡廳,舉辦了《新春大年初三餐會》。餐會開始前,出席者們和玳瑚師父互贈年柑賀年。
餐會當天,最年輕的出席者是兩位二十出頭的年輕人。她他們有這機緣來增長智慧,玳瑚師父為她他們高興。師父甚希望大家抱握青春的時光,主動去接觸佛法和玄學,因為趁早學習改寫自己的命運,這一生才會真正「出人頭地」。
其中有一位出席者,更被玳瑚師父點說,她臉上的光是眾人中最亮的,師父亦娓娓道出其原因,讓眾人了解先輩對後代的影響,原來是如此的密切!
餐會精彩回顧:
丙申年世界動態 ~
一、 哪兩個國家最好不要去?
二、 哪一地區的國家會有病毒感染?
三、 神洲大地會有什麽天災人禍?
四、 新加坡的哪一區會有瘟疫?
五、 猴子的年份,有何寓意?
六、 天災為何而來?
七、 有天災為何不一定是壞事?
丙申年家庭運勢 ~
八、 家中有寵物,為何會離婚?
九、 真心愛一個人,應該期盼她他幸福,不應該在爭吵時,白刀進去,紅刀出來。
十、 單身女子今年的愛情運。
十一、 屋子裡的哪一個方位,會問題多多?
十二、 家中大門開在哪一個方位會特別旺?
十三、 今年家中誰最旺?
十四、 家中哪一位成員,最易沖犯和生病?應該如何防範?
十五、 已婚男主人,丙申年裡的展望、問題及化解方法。
十六、 家中女主人,丙申年裡的展望、問題及化解方法。
十七、 家中長子,要事業與情場兩得意,一定要這麽做!
十八、 家中長女,丙申年裡的展望。
十九、 家中次子,要注意的事項。
現場答客問 ~
二十、 為何不同人拜太歲會在不同的日子?
二十一、 參加寺廟的謝太歲與安太歲同修,卻無法攜帶師父所交代的供品,怎麽辦?
二十二、原來犯太歲不祇是自己的生肖,這樣的情況也會犯太歲!
二十三、矛盾的生肖配偶組合,婚姻會時甜蜜,時有距離感。
二十四、玳瑚師父為何一直不缺錢?
二十五、如果自己今年宜守不宜攻,如何進行購屋換車的計劃?
二十六、怎麽樣的居住環境,是天然的美容師,讓女主人越來越漂亮?
二十七、為超市裡的肉類畜靈唸往生咒,可以怎麽做?
玳瑚師父亦開示在正月初九,供養南無天公玉皇大天尊的意義何在。
現場一位出席者,廖文豪先生,主動說出,在去年的新春餐會,玳瑚師父曾指點她他們夫婦倆,如何能夠互旺彼此,讓先生賺錢更容易,而太太的脾氣也會比較收斂。她他們照做後,果真很快就看到「效果」。廖先生更稱讚玳瑚師父在去年所做的預言一一都應驗,準確無比!
餐會後,玳瑚師父帶領出席者們去觀看設在酒店內的菩薩像。 兩歲孩童見到玳瑚師父向菩薩像合掌頂禮,竟也可愛地模仿師父,向菩薩像合掌禮拜,真是「近朱則赤」啊!
玳瑚師父細心地向大家解說,站立和坐立的佛像有何區別。他語種心長地提醒大家「我們本來就是清淨的。」,何以現在「處處惹塵埃」?人間沒有一樣東西或人,是屬於我們的,包括妳你最愛的孩子。不要一直想要留連在人間。
不要覺得自己一直都不夠,事實上「妳你已經很幸福了」。
人的毒,來自自心,所以能夠從内到外的排毒法祗有佛法,而不是什麼營業品或目前最流行的果汁。
妳你真的學會佛法,修行有成,就不再受五行的約束,也當然不用看風水或批命了。
----------------------
On 10th Feb 2016, the third day of the Chinese New Year, Master Dai Hu held a Chinese New Year Dinner Session at Melt - The World Cafe at Mandarin Oriental Hotel. The attendees and Master Dai Hu exchanged mandarin oranges and Chinese New Year greetings before the dinner session commenced.
The youngest participants that night were two youths in their early twenties. Master Dai Hu is glad for them, having the affinity to grow their knowledge at such a young age. It is Master Dai Hu's hope that everybody can make good use of their youth, to take the initiative to learn the Dharma and Chinese Metaphysics. The younger we begin, the earlier we can learn the ways to rewrite our destiny, and truly stand head and shoulder above your peers in this lifetime.
Master Dai Hu also pointed a participant out, for having the brightest facial aura among all present. He further explained the cause of it, and highlighted that the influence our ancestors have over the descendants is more intricate and closely knitted than many of us realise!
Highlights of 2016 Annual Luck Cycle Talk:
Global Outlook in the Year of the Fire Monkey ~
1) Which two countries should we avoid travelling to?
2) Which region of countries will see the occurrence of infectious diseases?
3) What natural disaster or man-made tragedy will surface in China?
4) Which region in Singapore will experience an outbreak of contagious diseases?
5) What is the implied meaning in a Year of the Monkey?
6) Why are there calamities?
7) Why is the occurrence of natural disasters not necessarily a bad thing?
Family fortunes in the Year of the Fire Monkey ~
8) Why would having a pet at home increase the risk of a divorce?
9) If you truly love a person, you should wish for his or her happiness, and not draw the dagger during fights and arguments.
10) How is the romance luck for single ladies this year?
11) Which sector in your house will bring you the most problems?
12) Which front door direction is the most auspicious?
13) Which family member will experience the most prosperity this year?
14) In the year 2016, which family member is at the biggest risk of getting sick and experience spiritual disturbance?
15) The outlook, obstacles and solutions for married men in this Year of the Fire Monkey
16) The outlook, problems and solutions for the woman of the house, in this Year of the Fire Monkey
17) To have success in both his career and love life, the eldest son must do this!
18) The outlook for the eldest daughter this year
19) The precautions the second son must take this year
Live Q&A
20) Why do diffferent groups of people make prayers to the Grand Duke of Jupiter, on different dates?
21) You took part in a temple puja, to thank the Grand Duke of Jupiter and welcome the incoming Grand Duke of Jupiter. But you are unable to bring the offerings, as suggested by Master Dai Hu. What should you do?
22) Clashes with the Grand Duke of Jupiter not only depend your Chinese zodiac sign. It could also happen in such situations!
23) A married couple, with contradictory zodiac signs, fluctuates between feelings of sweet bliss and emotional distance.
24) Why is Master Dai Hu never short of money?
25) If you have been advised to stay on the defensive this year, how do you proceed with your plans to buy a property or a car?
26) What kind of living environment is a natural beautifying tool, for the woman of the house to look more gorgeous?
27) The way to recite the Rebirth to Pureland mantra, for the numerous animal spirits in the meats, at a supermarket.
Master Dai Hu also expounded the significance of making offering to the Heavenly Jade Emperor on His birthday, on the 9th day of the Lunar First Month.
A participant, Mr James Liaw, voiced out his positive experience with Master Dai Hu, from last year's CNY dinner gathering. Master Dai Hu had advised him and his wife, on the ways to enhance prosperity for themselves and each other. Those recommendations would help Mr Liaw to make money easier and Mrs Liaw to be more even-tempered. The couple followed Master's advice, and indeed, witnessed the results in a short time. Mr James Liaw also praised Master Dai Hu for the accuracy of his predictions last year!
After the dinner session, Master Dai Hu led all participants to view statues of Bodhisattvas, which was placed in the hotel. Seeing Master Dai Hu put his palms together and bow in respect to the Bodhisattva, a two-year-old toddler mimicked the same act and adorably prostrated to the Bodhisattva too! It was a classic case of positive influence when one is with a good role model.
Master Dai Hu explained in detail to all present, the difference between a statue of a Bodhisattva in a standing position and one in a sitting position. He further reminded us that every one of us came from a original state of purity, but unfortunately got all tainted with the filth of the secular world. There is nothing in this world that absolutely and permanently belong to us, including your beloved children. Do not hanker after the life in this human realm.
Please do not keep feeling that you are lacking. In fact, you are already living a very fortunate life.
The poison in a man derives from his own heart. The only way to detoxification from inside out lies in the Dharma, and not some health food or the fruit juice of the moment.
When you genuinely learn the Dharma and attain true accomplishment, the bounds of the Five Elements will lose their grip on you. And when that happens, there will be no need to do a Feng Shui audit or destiny consultation anymore.
www.masterdaihu.com/8th-recap-2016-lunar-new-year-dinner-with-master-dai-hu/