กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/…/most-expensive-tv-shows-ever-made-…
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
同時也有149部Youtube影片,追蹤數超過261萬的網紅Kouki,也在其Youtube影片中提到,攻克地城的戰鬥冒險之旅 本地圖由 NateT_Bird 製作,盤靈製作組的小坤、Audiace、Mr.P、水狼 協助中文化。 G2A輸入阿神專用碼「KOUKI」即可獲得3%優惠 : https://www.g2a.com/ashan_kouki Map download : http://goo....
bob world download 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/article/559417/most-expensive-tv-shows-ever-made-game-of-thrones-the-crown
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
bob world download 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
bob world download 在 Kouki Youtube 的評價
攻克地城的戰鬥冒險之旅
本地圖由 NateT_Bird 製作,盤靈製作組的小坤、Audiace、Mr.P、水狼 協助中文化。
G2A輸入阿神專用碼「KOUKI」即可獲得3%優惠 : https://www.g2a.com/ashan_kouki
Map download : http://goo.gl/ag1eYR
♫:Youtube Authoring Tools Music
oeurstudio官方網站 : http://www.oeur-studio.com/
FB Fanpage : facebook.com/oeurXstudio
Mic : Zoom H2N
今天起開始訂閱吧!
Become a Bob Today!Sub For More Video!

bob world download 在 Kouki Youtube 的評價
阿謙x阿神的實況教室 : Minecraft "---" | 恐怖地圖
每個夜晚我都會夢到相同的夢,
下個晚上下個晚上下個晚上下個晚上...
同樣的場景不同重複的出現,一棟老舊的洋房
沒錯,我記得這個地方
受夠了
不要再出現在我的夢裡,
找來我的好友前往了那棟是曾相似的洋樓。
購買 Minecraft ► minecraft.net
Download "---" | Horror map ► http://goo.gl/y67QoQ
Oeur Studio官方網站 ► http://www.oeur-studio.com/
FB Fanpage ► facebook.com/oeurXstudio
Twitch上追隨我 ► https://twitter.com/Ashan_kouki
♫ ► The Walking Dead Season 2
Mic ► Zoom H2N
今天起開始訂閱吧!
Become a Bob Today!Sub For More Video! 購買遊戲平台 G2A : https://www.g2a.com/ashan_kouki

bob world download 在 Kouki Youtube 的評價
阿神的實況教室『黃金 VS 鑽石!』With OEUR Network(๑•̀ω•́)ノ
一段充滿關懷與勵志的關察日記(#
咳...這是一段充滿速度與激情的競速比賽
與一群不正常的NW夥伴展開的跑酷地圖---!
#阿神 #愛倫 #YM #菱形 #羅伊 #阿默 #阿承 #宏狗
加入 OEUR Network ► http://www.freedom.tm/kouki
Download Gold vs Diamond 4 ► http://goo.gl/Pyl8g1
♫ ► Youtube MusicTool
oeurstudio官方網站 ► http://www.oeur-studio.com/
FB Fanpage ► facebook.com/oeurXstudio
Mic ► Zomm H2N
今天起開始訂閱吧!
Become a Bob Today!Sub For More Video! 購買遊戲平台 G2A : https://www.g2a.com/ashan_kouki
