#นวลดูหนัง : Justice League
ให้พี่ตูนวิ่งรอบโลกก็คงจะช่วย DC ไม่ได้
.
อีนี้ไม่สปอนเซอร์นะจ๊ะนายจ๋า อีนวลกำตังค์ไปดูเอง เพราะฉะนั้นฉันจะด่าสิ่งที่ไม่พอใจอย่างไร้ความปรานี เข้าใจตรงกันนาจา
อีนี้เข้าไปดูอย่างไม่คาดหวังอะไร ขนาดไม่คาดหวังนะ คุณเคยมีแฟนที่แม่งทำให้คุณผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่คุณก็ยังยอมให้โอกาสมันเรื่อยๆเพราะไม่เข้มแข็งพอจะเป็นฝ่ายเดินจากไปเองไหม ผมรู้สึกแบบนั้นแหละกับพี่แซ็ค สไนเดอร์ ผมคิดว่าพี่เค้าทำเต็มที่แล้ว แต่พี่ควรยกตำแหน่งผู้กำกับให้คนที่มีสกิลเซ็ตเหมาะสมกว่าพี่แล้วไปนั่งแท่นซูเปอร์ไวเซอร์เรื่องแอ็คชั่นซีน จะดีกับประวัติ imdb ของพี่มากกว่านะครับนวลว่า
.
-SPOILER ALERT-
1. ตายซาก
.
ปัญหาหลักของภาพยนตร์ในจักรวาล DC ตอนนี้คือมันขาดความมีชีวิตอย่างสาหัสมาก ความมีชีวิตไม่ได้มาจากการเล่นมุกตลกรัวๆแบบที่มาร์เวลเชี่ยวชาญ แต่เป็นการอนุญาตให้คนดูรู้สึกเห็นใจตัวละคร เข้าใจ struggle เชื่อในอุดมการณ์ที่เขาพยายามจะ overcome อะไรบางอย่าง หรือเชื่อในความสัมพันธ์ที่ตัวละครมีต่อกันและกัน คุณเคยดู watchmen กันป่าว อันนั้นก็ฮีโร่เต็มเรื่องเลยนะ แต่ทุกคนแม่งเป็นมนุษย์มาก หนังอนุญาตให้คุณเห็นใจ Rorschach ทั้งๆที่แม่งเป็นคนบ้าชัดๆ หรือกระทั่ง sympathize กับตัวละครหลุดโลกอย่าง Dr. Manhattan แต่ในจัซติซลีกนี้ตัวละครแต่ละตัวแบนมาก ออกมาพ่นไดอะล็อกโดยไม่มีการกระทำใดๆที่ทำให้เราเชื่อในคำพูดของเค้า ไม่มีฉากสร้างความสัมพันธ์หรือแสดงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ซึ่งกันและกันทั้งระหว่างคนในทีมหรือทีมกับตัวร้าย แม่งคือการรวมตี้ไปตีบอสที่จืดชืดที่สุด นวลกด quick play ยังได้ลุ้นมากกว่านี้ ความเหี้ยคือไอ้ watchmen ที่ผมคิดว่าทำได้ดีกว่าเนี่ย พี่แซ็คก็เป็นคนทำไม่ใช่หรอครับบบ
.
2. ปัญหาเดิมจาก Bat v Sup
.
พี่แซ็คแกหมกมุ่นกับการทำ Moment ที่ดูยิ่งใหญ่ ดูคูล ดู biblical จนหนังเรื่องที่แล้วของแกดูแทบไม่รู้เรื่อง เพราะแกห่วงแต่การออกแบบ Moment เท่ๆ แพนกล้องช้าๆ สายตามองออกไปยังจุดปลายตาพร้อมเร่งสกอร์เร้าให้อารมณ์คนดูรู้สึกทึ่งกับภาพบนจอ คือเท่จริง วิชวลจริง แต่มันก็ดูไม่รู้เรื่องไง เพราะหนังทั้งเรื่องกลายเป็นการเอา Moment มาโปะๆเรียงกัน คั่นด้วย scene สั้นๆที่ไม่ได้ทำหน้าที่เล่าเรื่อง แค่รอเวลาให้เราไปทึ่งกับ Moment ถัดไปที่พี่บรรจงรังสรรค์ scene ที่ดีจะอนุญาตให้คนดูรู้สึก immerse เข้าไปกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับสถานที่ สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ ให้เราได้มีโอกาสเข้าใจและเชื่อในการกระทำของตัวละครจริงๆ นวลรู้สึกว่าในจัซติซลีกคนดูไม่ได้รับโอกาสนี้จากหนังเลย หนังเอาข้อมูลโยนใส่เราแบบไร้ชั้นเชิงมาก ใครคิดว่านวลเป็นแฟนบอยมาร์เวล ให้มองตานวลแล้วบอกทีว่าซีนที่แบทแมนไปตามหาอะควาแมนที่หมู่บ้านชาวประมงนั้นทำได้สมเกียรติการเปิดตัวเจสันโมมวาแล้ว สำหรับเรามันงาน อบต มาก เสียของชิบหาย
.
3. ฉากสนุกไปอยู่ในเทรลเลอร์หมดแล้ว
.
คำพูดแสบๆของอัลเฟรด ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของเดอะแฟลช ฉากน้ำกระเซ็นของพี่หมีทะเลอะควาแมน กรุปช็อตของทีม สิ่งที่ทำให้แฟนๆร้องกรี๊ดได้ 80% อยู่ในเทรลเลอร์หมดแล้ว ยกเว้นฉากต่อสู้กับสเตพเพนวูล์ฟที่เก็บไว้ไม่ได้อยู่ในเทรลเลอร์ แต่ก็ไม่ได้น่าชื่นชมอะไรเพราะน่าเบื่อสัดๆ มีกระทั่งฉากที่มีแต่ในเทรลเลอร์แต่ไม่มีในหนัง! (Let us HOPE that you're not too late. ของอัลเฟรด) อันเดียวที่ให้คะแนนได้คือ "Do you BLEED" ของพี่ซุปเค ทำเอานวลขนลุกตั้งชูชัน
.
4. ตัวร้ายห่วย
.
อันนี้คือจุดตัดสินคุณค่าของหนัง genre ซุปเปอร์ฮีโร่เลย หนังฮีโร่จะดีจะเลวยังไงแม่งอยู่ที่ตัวร้าย แล้วอีสเตพเพนวูล์ฟนี่ก็เป็นตัวร้ายที่ถ่มขากซากอ้อยเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ตอบโจทย์เหี้ยไรเลย เป็นตัวร้ายที่ไม่มีเหี้ยไรให้จดจำ ไม่มีชื่อเสียงให้คนดูรู้จักมาก่อน ไม่มีโมทิเวชั่น ไม่มีลูกน้องเท่ๆ ไม่มีท่าไม้ตาย สรุปมึงมีเหี้ยไรมั่งเนี่ย ตัวร้ายที่ประสบความสำเร็จมากจนไม่มีใครทำได้เทียบเท่าของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคือ The Joker ของพี่ฮีธ เลดเจอร์ผู้ล่วงลับไปแล้ว เรามาวิเคราะห์ดูดีกว่าว่าทำไมโจ๊กเกอร์ของพี่ฮีธถึงอยู่ในใจคนดูตลอดกาลขนาดนี้
.
- โจมตีจุดอ่อนของฮีโร่ โจ๊กเกอร์สร้างสถานการณ์ที่จุดแข็งของฮีโร่ไร้ความหมาย กลายเป็นจุดอ่อน แบทแมนที่มีความสามารถในการต่อสู้ทางร่างกาย การวางแผนรับมือ ถูกโจ๊กเกอร์เอากลับมาใช้เป็นอาวุธตลบหลังตัวแบทแมนเองด้วยการซ้อนแผนล่อหลอก แบทแมนกลายเป็นง่อยไปเลยเพราะไม่ว่าจะเตะจะต่อยโจ๊กเกอร์ยังไงก็ยังเต้นอยู่บนฝ่ามือของโจ๊กเกอร์ที่วางแผนให้ตัวเองถูกจับได้
.
- บังคับให้ฮีโร่ต้องตัดสินใจที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โจ๊กเกอร์กดดันแบทแมนด้วยการไล่ฆ่าคนในก็อทแธมอย่างไม่มีใครหยุดได้เพื่อบีบให้แบทแมนเปิดเผยตัวจริง
.
- ตัวร้ายที่เจ๋งคือตัวร้ายที่บังคับให้ฮีโร่เผชิญหน้ากับตัวเอง (ตัวเองในที่นี้หมายถึงฮีโร่) แบทแมนของคริสเตียนเบลคิดว่าโจ๊กเกอร์เป็นแค่อาชญากรธรรมดาที่แบทแมนสามารถปราบได้ แต่โจ๊กเกอร์พิสูจน์ให้แบทแมนเห็นว่าเขาคิดผิด และโลกนี้มีสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ แบทแมนของเบลคิดจะยอมแพ้และเปิดตัวกับสาธารณะเพราะหมดหนทางจะหยุดยั้งโจ๊กเกอร์
.
- แข่งขันกันเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับฮีโร่ แบทแมนไม่ได้สู้เพื่อหยุดยั้งการทำลายล้างโลก แต่เขาสู้เพื่อพิสูจน์ว่าก็อทแธมไม่ได้เน่าหนอนอย่างที่โจ๊กเกอร์พยายามจะทำให้ทุกคนเชื่อ แบทแมนและโจ๊กเกอร์ต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน คือ Soul of Gotham
.
- Believable Stakes ในฉากสุดท้ายที่ประชาชนและนักโทษบนเรือโดยสารต่างถือรีโมทระเบิดของกันและกัน มันเป็นเดิมพันที่คนดูไม่มีทางรู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย เพราะไม่ว่าเรือลำไหนจะระเบิด มันก็สามารถเป็นแรงกระเพื่อมไปสู่หนังภาคสามที่ดีได้ทั้งนั้น เราเลยลุ้นสุดตัวกับ outcome ของสถานการณ์นี้ แบทแมนไม่ได้ต่อสู้เพื่อหยุดเครื่องยนตร์ทำล้างล้างโลกอย่าง World Engine แบบพี่ซุปใน Man of Steel ที่คนดูแม่งรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องทำลายได้ โลกไม่แตกหรอก เพราะหนังต้องมีภาคต่อ
.
- มีอิมแพคกับตัวฮีโร่ ข้อสุดท้ายนี้แถมให้ เมื่อแบทแมนปราบโจ๊กเกอร์ลงได้ มันมีผลต่อการเติบโตของตัวแบทแมนเองมากๆ ปิดตำนานตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในใจคนดูด้วยความดีงามดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นดังฉะนี้
.
เหล่านี้คือคุณสมบัติของตัวร้ายที่ดี ที่เลือกพูดถึงตัวอย่างที่ดีเพราะขี้เกียจจะด่า คือมึงไม่ต้องครบทุกข้อก็ได้ ถ้าทำได้ก็เป็นตำนาน ปัญหาคือสเตพเพนวูล์ฟสอบตกหมดทุกข้อเลย มันเลยไม่ได้เป็นบอสด้วยซ้ำ มันคือครีพตัวใหญ่ๆที่มีลูกน้องเป็นครีพกระจอกจำนวนมาก
.
5. เซ็ตติ้ง boss fight ห่วยแตก
.
หนังมาร์เวลเรื่องที่เซ็ตติ้งบอสไฟท์ห่วยก็มีเยอะ (Thor 1-2/Ironman 2-3) แต่เราก็ยังเห็นความพยายามในการทำเซ็ตติ้งให้ดูน่าสนใจเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการสู้ในฉากย่อส่วนของ Ant-man การพาเราขึ้นสูงลงต่ำมุดอุโมงค์ปีนตึกสลับไปหลายๆแบบของหลายๆฮีโร่ใน The Avengers แอร์พอร์ตซีนของ Captain America : Civil War ที่ใช้สิ่งต่างๆของสนามบินเข้ามาในฉากแอคชั่นได้ลงตัว หรือใน Avengers : Age of Ultron ที่ไปสู้กันจนโซโคเวียที่เป็นเซ็ตติ้งแหลกระเบิด ก็มีการใช้พล็อตเรื่องรับผิดชอบผลที่ตามมาของการต่อสู้นั้นใน Civil War แต่สิ่งที่ DC เลือกทำกลับเป็นการไปสู้ในเซ็ตติ้งโล่งๆที่ไม่ได้น่าสนใจอะไร เพื่อให้พล็อตดำเนินสะดวก (Wonder Woman/Bat v Sup) อย่างในจัซติซลีกนี้ก็คือไปสู้กันในที่ที่ตัวโกงจัดไว้ให้ ไล่ผู้บริสุทธิ์ออกไปให้หมดแล้วด้วย คือเราไม่รู้สึกว่าคนดูจะได้อะไรเลยในเชิงเนื้อเรื่องจากไฟท์นี้เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าตัวโกงต้องโดนปราบ และมันจะมีผลกระทบอะไรต่อเรื่องได้อีกในเมื่อมึงเลือกมาฆ่าครีพกันไกลปืนเที่ยงขนาดนี้อะ
.
6. no chemistry in the team
.
ถามจริงว่าจะต้องรวมทีมไปเพื่ออะไรในเมื่อชุบซุปเคขึ้นมาคนเดียวก็โซโล่บอสได้ สรุปทีมนี้คือทีมชุบซุปใช่ปะ เออต่อให้มันเป็นแบบนั้นจริงเราก็ยังให้อภัยได้ถ้าเคมีในทีมมันสนุก หรือแม่งปล่อยคอมโบกันระหว่างสมาชิกในการต่อสู้ได้ คือเราให้อภัยได้หมดแหละเพราะเรารู้ว่าเรามาดูหนังฮีโร่ไง แต่จัซติซลีกไม่ให้อะไรแบบนั้นกะคนดูเลยอะ คือคุณไม่รู้จริงๆหรือว่าแฟนบอยเนิร์ดๆทั้งหลายมันอยากดูอะไร จำตอนที่ไอรอนแมนยิงแสงใส่โล่กัปตันเพื่อสะท้อนใส่ครีพใน Avengers ได้ปะ โคตรจะไม่เมคเซนส์เลย มึงยิงเองก็ได้จะสะท้อนทำเตี่ยไร แต่มันเท่ไง เท่ชิบหาย คือกุอยากดูแค่นี้แหละ แต่ DC ให้เราได้แค่ไซบอร์กหิ้วอะควาแมนกลางอากาศ และอะควาแมนติดรถแบทแมนไปลงอนุสาวรีย์ อีสัส ทำไมทำกับกูแบบนี้ กูก็มีหัวใจนะ บางทีกุก็คิดนะว่าพี่แซ็คแม่งรู้ว่าเราอยากดูอะไร แต่แม่งจงใจไม่ให้เราดูว่ะคุณ พูดแล้วอารมณ์ขึ้น
.
สรุป.
.
หนังให้ความรู้สึกเหมือนคุณตีดอทแล้วแครี่ตาย รอเกิดสองนาที แล้วทีมก็ดันทุรังเข้าไปบวกโดยไม่มีแครี่ แท้งสองคน (Wonder Woman & Aquaman) โดนนวดเละ แก๊งเก้อ (The Flash) ไร้ประโยชน์ ซัพสองคน (Cyborg & Batman) เข้าไม่รอเพื่อน โดนดันมาถึง throne megacreep แตกแต่แครี่เกิดพอดี (Superman) แล้วมีหกเรเปียร์ เล่นไงก็ชนะ ไม่ต้องลุ้น อะไรทำนองนี้นะคุณ
.
4/10
เทรลเลอร์สนุกกว่าหนัง
soul imdb 在 電影神搜 Facebook 八卦
#每次最期待小短片 #兔兔跟熱心鄰居都超卡哇伊😳
「其實兔子就是我自己。我非常不願意向別人展示我粗糙的作品......」
皮克斯的新作《#靈魂急轉彎》上映至今,收穫了不少正面評價,爛番茄新鮮度目前為 95 %,IMDb 則是 8.2 分。不過除了正片打動人心外,電影放映前的小短片《#挖道兔》(Burrow) 也令人印象深刻。
#神搜特派員 #SCUD
soul imdb 在 Phê Phim Facebook 八卦
DEAR MYSELF,
Bên kia Thế Sự
---
Đã tròn ba năm kể từ ngày tôi trở thành Army. Army - “quân đoàn” là tên gọi của fandom BTS, đó là hình ảnh biểu trưng của những người bảo vệ họ, đồng thời cũng là những người họ bảo vệ. Nhắc tới BTS, tôi biết sẽ có vô vàn những chỉ trích và tranh cãi. Nhưng một lần nữa, tôi chọn đứng bên kia thế sự, đứng bên lề những cá nhân và những lý lẽ quá đỗi bình thường của cuộc sống, như trắng thì phải có đen, thương thì phải có ghét.
Hôm nay, tôi ra rạp với 5 6 người bạn, nam có nữ có. Chúng tôi tay bắt mặt mừng sau những ngày giãn cách được gặp lại nhau. Cảm giác đi xem một bộ phim giống như ngồi giữa gian phòng ấm cúng, có mấy thứ đồ uống ngon ngon và chút bim bim lúc buồn tay. Không có những kích động, hiệu ứng lâm ly bi đát, chúng tôi điềm tĩnh đón nhận những điều đơn giản và ấm áp giống như những lần tụ họp chỉ để hát hò và nhìn thấy họ qua bốn góc màn hình.
Như một khán giả yêu thích phim, tôi chưa bao giờ đánh giá cao những cuộn phim tài liệu về BTS dù chúng có là 8,1/10 IMDb đi chăng nữa. Từ Burn The Stage đến Bring The Soul, tất cả những gì chúng ta thấy chỉ là tập hợp có chọn lọc của một chuỗi cắt cúp từ các đoạn phim quay lại sinh hoạt của họ. Thậm chí nếu chỉ nói riêng về phim tài liệu, có lẽ tôi sẽ hào hứng với những Earth hoặc cuộc chiến của nhà Tudor hơn. Nhưng phải thật sự nhìn nhận Break The Silent đã có những thay đổi đáng kể trong bố cục và nội dung so với hai người anh em của mình. Tôi thích cách mà họ kể về việc đương đầu với áp lực từ công việc và giữ lại bản ngã của riêng mình. Nó khiến tôi rất nhớ bản thân của khoảng thời gian trước khi mãi mê chạy theo sự hài lòng của người khác, luôn cảm thấy mình chưa đủ tốt, luôn là người sai. Vào lúc đó, dù cuộc sống đang rất ổn định, trong lòng tôi vẫn thiếu thứ gì đó mà lại không rõ là thứ gì.
Bạn nghĩ chỉ những cô gái tuổi trẻ chưa trải sự đời mới nghe họ? Bạn sai. Tôi là một người đã quá già đời, đến độ ngán ngẩm tất cả. Giống như Nam Joon, lòng tôi vẫn hướng về thiên nhiên và một cuộc sống “ở trong rừng ngang tàng hơn ở trên mạng”. Khi nghe nhạc của họ, tôi mới phát hiện ra một thứ, dẫu vẫn luôn ở ngay trước mắt, đó là tôi đã sa đà vào việc nhìn thấu nhân tâm, nhưng lại quên đi mất thứ gì mới khiến bản thân cảm thấy hạnh phúc, quên đi cái cốt lõi của việc mang lại hạnh phúc cho người khác trước tiên chính mình phải thật sự hạnh phúc. Âm nhạc của họ không phải là thứ tình yêu gà bông xúm xít vẫn nhan nhản hằng ngày quanh chúng ta, nó được gợi cảm hứng từ các quyển sách như Hoàng Từ Bé, Kafka Bên Bờ Biển, Những Người Ra Đi Từ Omelas,... phản ánh sâu sắc tam quan của con người trước các khía cạnh cuộc sống.
Tiếp nối tinh thần đó, bộ phim đưa ta đến những khía cạnh khác vô cùng đời thường của bảy con người với bảy cá tính khác biệt, được nghe những sở thích, những tâm sự như bao nhiêu người khác về công việc và định hướng tương lai. Sẽ không có những khuôn mặt được make up quá kỹ càng hoặc được soạn sẵn lời thoại. Mà sẽ là những hốc mắt thâm quầng vì thiếu ngủ, những giọt mồ hôi và cả nước mắt trên hoặc dưới sân khấu. Trong một khuôn khổ nào đó, chúng ta vẫn có thể hiểu và hoài niệm về những khó khăn họ đã trải qua cùng thành tựu đã đạt được. Đồng thời, nhận ra thị hiếu của fan, bộ sậu làm phim đã lồng ghép khá nhiều các bài hát mới của họ vào phim, khiến nó đỡ khô khan hơn phần một. Sự chân thật của BTS trước ống kính máy quay luôn làm tôi thở phào nhẹ nhõm với niềm tin rằng bảy cậu trai nhỏ của mình vẫn đang ổn. Tôi tin rằng, dù có tiếp tục nổi tiếng hay không, tiếp tục ở bên nhau hay không, cuộc đời có xoay vần thế nào đi chăng nữa, miễn là trong đáy mắt của họ vẫn niềm trong vắt không đổi như tôi nhìn họ hôm nay, chúng ta, đến cuối cùng rồi thì cũng sẽ hạnh phúc.
Love myself, love yourself.
-DD-
soul imdb 在 SOUL Extended Trailer (2020) Jamie Foxx IMDb Official Movie ... 的八卦
... <看更多>