อิสรภาพการเงิน “ลวงตา”
ราวปี 2551 ผมมีอิสรภาพการเงินจากรายได้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลจากบริษัทที่ปรึกษาโรงงานอุตสาหกรรม และบริษัทฝึกอบรม ที่ผมก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานั้น
ทุกอย่างเป็นไปตามตำรา “พ่อรวยสอนลูก” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่ว่า “ถ้าเรามีรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Passive Income มากกว่ารายจ่ายรวมต่อเดือน เราก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน หรือ Financial Freedom”
เอาเขาจริงการมีอิสรภาพการเงิน ผลลัพธ์สุดท้ายของมัน ก็คือ การมีอิสระทาง “เวลา” นั่นแหละ เราสามารถจัดสรรเวลาของเราได้มากขึ้น โดยมีทรัพย์สินเป็นเครื่องทุ่นแรงในการหาเงิน ไม่ต้องทำงานทุกวัน (แต่ไม่ทำงานเลยไม่มีจริงหรอกนะครับ) ก็มีเงินใช้จ่ายเพียงพอในแต่ละเดือน
ในช่วงเวลานั้นชีวิตผมมีใช้จ่ายไม่มากครับ แค่เดือนละ 30,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้น การมีรายได้จากทรัพย์สินร่วมๆ 50,000 บาทต่อเดือนในช่วงเวลานั้น จึงทำให้มีอิสระได้ตามที่ตำราว่าไว้ได้ไม่ยาก
คิดว่าพอมี Passive Income แล้ว จะประสบความสำเร็จในชีวิต พอมีเข้าจริงแล้ว ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ ...
หลังเริ่มมีรายได้พอเลี้ยงตัว แบบพอที่จะพักจากทำงานได้บ้าง ผมเริ่มมีชีวิตที่ไร้สาระมากขึ้น เพราะคิดเอาเองว่า คนมีอิสระทางเวลา ก็ควรใช้มันให้เต็มที่
ผมเริ่มตื่นสาย ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ไปยืนรอห้างสรรพสินค้าเปิด ในอดีตเคยนึกสงสัยว่า คนเขาทำไมต้องไปรอห้างเปิดด้วยว่ะ ไม่มีอะไรทำกันเหรอ สุดท้ายผมได้ไปยืนรอกับเขาเหมือนกัน
พอห้างเปิดก็เดินเข้าไปซื้อของ เหมือนต้องการชดเชยส่วนที่ขาด ประมาณว่าแต่ก่อนไม่ค่อยมี เมื่อพอมีเงินก็ซื้อ ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้มากขนาดนั้น
โทรหาเพื่อนๆ เขาก็ทำงานกันหมด แรกๆ คิดว่าเท่ห์ดี เพราะในขณะที่คนอื่นกำลังทำงาน เรากลับชิลๆ เดินเข้าร้านหนังสือ จิบกาแฟอะไรไปเรื่อยๆ
พอมีอิสรภาพแล้วเสาร์อาทิตย์ไม่เที่ยวนะครับ ไปเที่ยววันธรรมดา เพราะมันแสดงถึงอิสรภาพได้ดีกว่า สุดท้ายพบความจริงว่า เที่ยววันธรรมดามีข้อเสียที่หลายร้านค้าไม่ค่อยเปิด เพราะเขาเปิดแล้วไม่คุ้ม ไม่เหมือนวันเสาร์อาทิตย์ กลายเป็นร้านอร่อยร้านดัง ไม่ค่อยได้กินไปซะอย่างนั้น
นอกจากนี้ยังมีการพยายามใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา ด้วยการหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ไปนั่งทำงานริมชายหาด ตามแบบที่โฆษณาคนมีอิสรภาพเขาทำกัน
ปรากฎว่า “แสบตาฉิบหาย” เอาจริงๆ ทำไม่ได้นะครับ มึงทำคอมอยู่บ้านดีกว่า เป็นเรื่องตอแหลครับ ทำไม่ได้จริง (555)
ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่เกือบครึ่งปี รู้สึกชีวิตไร้แก่นสารมาก เลยเริ่มกลับมาคิดหยิบจับทำอะไรกับเขาบ้าง
ในปีนั้นผมเริ่มทำงานอาสาสมัคร ทำงานการกุศลมากขึ้น รวมถึงกลับมาบริหารธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง แล้วก็กลับมาเริ่มรู้สึกดีกับตัวเองอีกครั้ง จนได้เข้าใจ่า แก่นชีวิตของคนเรา ไม่ใช่แค่เรื่องการมีเงินให้มากพอใช้จ่ายในชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ ความรู้สึก “มีคุณค่า” หรือการได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นด้วย
ปี 2551 เลยเป็นปีแต่แห่งการฉีกตำราการเงินที่ยึดถือปฏิบัติมาตลอดหลายปี ที่แต่ก่อนเคยหายใจเข้าออกเป็น Passive Income เริ่มกลับมามองคนทำงานประจำ คนทำงานฟรีแลนซ์ หรือกลุ่มคนที่สร้างรายได้แบบ Active Income เสียใหม่
ว่าการที่คนเราทำงานเพื่อเงินนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายสักหน่อย ตรงกันข้ามเขาก็มี “คุณค่า” หรือทำประโยชน์ต่อผู้อื่นในแบบของเขา ถ้ารายได้ที่เขาหาได้เพียงพอดูแลตัวเอง ที่เหลือมันก็คือ การบริหารจัดการเงินให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้นเอง
ในเรื่องของอิสระทางเวลา บางทีหลายคนอาจไปตีกรอบเองว่า เวลา 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น คือ การถูกกักขัง กักขังหรือเปล่า ผมว่ามันอยู่ที่การใช้เวลา 9 to 5 ของเราเองนั่นแหละครับ
เพราะเอาจริงๆ ถ้าคนทำงานประจำ หรือทำงานฟรีแลนซ์ อยากมีเวลาในชีวิต ก็ใช่ว่าจะจัดสรรเวลาไม่ได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่ชอบทำตัวให้ยุ่งเอง จนจัดสรรเวลาอะไรไม่ได้มากกว่า
หลังจากเข้าใจชีวิตมากขึ้น ชีวิตผมเหมือนเข้าสู่ Matrix ใหม่ (เด็กรุ่นใหม่เคยดูกันมั้ย 555)
มอง Active Income หรือ รายได้จากการทำงาน เป็นการสร้าง “คุณค่า” ให้ตัวเอง แม้จะต้องทำงานแลก แต่ก็รู้สึกดีกับตัวเอง ที่ได้ลงมือทำงาน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ทำงานด้วย และร่วมสร้างความสำเร็จและความภูมิใจไปด้วยกัน
ส่วน Passive Income หรือ รายได้จากทรัพย์สิน ก็เป็น “เครื่องทุ่นแรง” ทำให้เราได้พัก ได้หยุดได้บ้าง ในเวลาที่ต้องการ และจะว่าไป รายได้จากทรัพย์สินบางช่องทาง ก็สร้าง “คุณค่า” ให้กับเราได้เหมือนกัน อย่างเช่น บริษัทที่ปรึกษาของผม ไม่ได้แค่สร้างรายได้จากการทำงานของลูกน้องผมเท่านั้น แต่ในภาพรวมมันสร้างประโยชน์และพัฒนาวงการอุตสาหกรรมของไทยไปได้ด้วยเหมือนกัน
ที่ดีแล้วชีวิตเราควรมีทั้งสองอย่าง คือ ทั้ง Active และ Passive Income มีผสมผสานกันไว้เป็นเรื่องที่ดี รวมกันเรียกว่าเป็น “Multi-Income Stream” หรือการมีรายได้จากหลากหลายช่องทาง
วันที่ยังมีแรงมีกำลัง ก็สนุกกับ Active Income สร้างรายได้ ไปพร้อมกันกับการสร้างคุณค่า (แล้วทยอยสร้าง Passive Income ไประหว่างทาง)
วันไหนอ่อนแรง อยากพัก ก็มีเครื่องทุ่นแรง อย่าง Passive Income สร้างรายได้เลี้ยงชีวิตในวันที่เราพักจากการทำงานได้
สุดท้ายมันเหมือนกับเมื่อได้ผ่านทุกอย่างจึงเข้าใจ ... อิสรภาพทางการเงินที่หลายคนตามหา อาจไม่ได้วัดกันที่ “ตัวเงิน” แต่วัดกันที่ “ความคิด”
ความคิดที่อิสระจากเงิน ...
แน่นอนว่ายังไงชีวิตคนเราก็จำเป็นที่จะต้องมีเงินเพื่อให้เพียงพอกับการใช้จ่าย แต่เมื่อรายได้เพียงพอกับการใช้จ่าย (ไม่ว่าจะเป็น Active หรือ Passive) หลังจากนั้นมันอยู่ที่แต่ละคนจะจัด “สมดุลชีวิต” จาก “เวลา” ของแต่ละคนอย่างไร
ขอให้ทุกคนเริ่มต้นมองเห็นอิสรภาพทางการเงินในแบบของตัวเองครับ
#โค้ชหนุ่ม
04-01-2021
#Day5 #MoneyDiary #อิสรภาพการเงินลวงตา
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過62萬的網紅Bryan Wee,也在其Youtube影片中提到,...
「moneydiary」的推薦目錄:
- 關於moneydiary 在 Money Coach Facebook
- 關於moneydiary 在 Money Coach Facebook
- 關於moneydiary 在 Money Coach Facebook
- 關於moneydiary 在 Bryan Wee Youtube
- 關於moneydiary 在 Travel Thirsty Youtube
- 關於moneydiary 在 スキマスイッチ - 「全力少年」Music Video : SUKIMASWITCH / ZENRYOKU SHOUNEN Music Video Youtube
- 關於moneydiary 在 #shorts Same #whatispendinaweek #whatispend ... - YouTube 的評價
- 關於moneydiary 在 [情報] 體驗送回饋金中信親子金融服務-存錢日記 - Mo PTT 鄉公所 的評價
- 關於moneydiary 在 [情報] 體驗送回饋金中信親子金融服務-存錢日記 - PTT職涯區 的評價
moneydiary 在 Money Coach Facebook 八卦
DAY 12: “รายได้” ไม่ใช่ “ความมั่งคั่ง”
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เดือนนี้เข้าสู่ปีที่ 2 ของรายการ “คุยต้องรวย” ที่ผมจัดรายการร่วมกับน้าเน็ก ซึ่งเป็นรายการที่เปิดรับสายโทรศัพท์จากทางบ้าน พูดคุยตอบคำถามและให้คำแนะนำทางการเงิน กันแบบไม่เครียด สนุกยิ้มหัวเราะ ตามสไตล์น้าเน็ก (รายการเดือน มกราคม 64 ต้องขยับไปจัด 11 กุมภาพันธ์ เนื่องจากเหตุโควิดระลอกใหม่)
จำได้ว่าครั้งแรกที่เปิดรับสายในรายการ สายแรกจากทางบ้านที่โทรเข้ามา เป็นชายวัย 44 ปี รายได้ต่อเดือน 130,000 บาท ติดปัญหากู้เงินซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน แต่ค่าเช่าไม่เพียงพอกับเงินผ่อนธนาคาร และทำให้กระแสเงินสดติดลบ
เคสนี้ไม่ใช่เรื่องยากในการแก้ไขปัญหา แต่ที่เป็นประเด็นและทำให้ผมอยากหยิบมาเล่าให้ฟัง ก็คือ คอมเมนต์ทางเฟซบุ๊คและ YouTube ของผู้ฟังทางบ้าน ที่วันนั้นระดมกันเข้ามามากมาย
“เป็นไปได้ยังไง เงินเดือนเป็นแสนยังติดลบไม่อยากเชื่อ”
“แล้วคนเงินเดือนหลักหมื่นจะรอดเหรอ”
“อยากรู้จัง ใช้เงินยังไง”
“คนรวยเขายังไม่รอด เราไม่รอดก็ไม่แปลก”
ฯลฯ
ไม่ใช่เรื่องประหลาด หากหลายคนจะคิดกันแบบนี้
เพราะทุกวันนี้ยังมีหลายคนเข้าใจผิด และสับสนระหว่างคำว่า “รายได้” กับ “ความมั่งคั่ง”
ความเข้าใจผิดสำคัญนี้ เกิดจากการคิดแบบเทียบเอาเองว่า คนมีรายได้มาก คือ คนรวย (คนมีรายได้น้อย คือ คนจน) เพราะเมื่อมีรายได้มาก ก็น่าจะมีเงินซื้อและใช้ในแบบที่ต้องการได้ ไม่น่าจะมีปัญหาทางการเงิน และน่าจะรวยกว่าคนที่มีรายได้น้อย
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เลย!
จากประสบการณ์ทำงานเรื่องเงินกับคนมานาน บอกได้เลยว่า ...
รายได้เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเรามั่งคั่งขึ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตัววัดความมั่งคั่งที่จริงๆ ไม่ใช่ รายได้แต่เป็น “รายเหลือ” หรือเงินที่เราเหลือเก็บออมได้ในแต่ละเดือนมากกว่า
It’s not how much you earn, but how much you save.
คนเรามีถังตักน้ำเป็นสิบใบ แต่ทุกใบมีรูรั่วที่ก้นทั้งหมด ขยันตักน้ำตวงน้ำแค่ไหน ยังไงก็ได้ไม่มาก ตรงกันข้ามกับคนที่มีถังน้ำแค่ใบสองใบ แต่ไร้รูรั่ว อย่างหลังอาจเก็บน้ำได้มากกว่าก็เป็นได้
ทั้งนี้ ไม่ได้บอกว่าคนรายได้เยอะหรือมีรายได้หลายทางจะมีปัญหาการเงิน แต่ต้องบอกว่ามันไม่แปลกถ้าหากคนกลุ่มนี้จะมีปัญหา ทั้งนี้เพราะคนเรา เมื่อมีรายได้ที่มากขึ้น นั่นย่อมหมายถึง
โอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โอกาสในการตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้มากขึ้น
เครดิตทางการเงินที่สูงขึ้น
และโอกาสในการสร้างหนี้ได้ก้อนโตมากขึ้น
ประกอบกับหลายคนยังขาดความรู้ทางการเงินจึงทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสกระโดดเข้าสู่ปัญหาทางการเงินได้ไม่แพ้คนที่มีรายได้น้อย และหลายครั้งคนกลุ่มนี้เมื่อติดกับดักปัญหาทางการเงิน ก็มีแนวโน้มจะตกหลุมลึก ทั้งขนาดของปัญหา (รายได้มาก ก็กู้ได้มาก) และภาระหน้าตาทางสังคม ที่อาจจมได้ยากกว่า เพราะใครๆ ก็รู้ว่าเขารายได้เยอะ (หลายคนแก้ปัญหาด้วยการกู้วนไป เพื่อรักษาสถานะทางสังคม) ซึ่งนั่นก็อาจจะหมายถึง หนทางในการแก้ปัญหาที่ยุ่งและยากตามไปด้วย
จึงไม่แปลกที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจและสงสัยว่า “อะไรกัน หาเงินได้ตั้งเยอะขนาดนั้น ยังมีปัญหาอีกเหรอ”
Income is not Wealth.
รายได้ ไม่ใช่ ความมั่งคั่ง ... การมีรายได้ที่มาก เป็นเพียงแค่ “โอกาส” ที่ดีในการสร้างความมั่งคั่งได้เร็วเท่านั้น
แต่ถ้าบริหารจัดการไม่เป็น ใช้จ่าย ออม และลงทุน ไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็จะมีปัญหาทางการเงินเหมือนกัน และอาจจะใหญ่โตกว่าคนที่มีรายได้น้อยเสียด้วยสิ
หารายได้เก่ง-ใช้จ่่ายเหมาะสม-ออมดี-ต่อยอดเป็น
ต้องครบเครื่องต้มยำแบบนี้ ถึงจะมั่งคั่งครับ
#โค้ชหนุ่ม
12-01-2021
#Day12 #MoneyDiary #รายได้ไม่ใช่ความมั่งคั่ง #TheMoneyCoachTH
moneydiary 在 Money Coach Facebook 八卦
งานที่ 2 อาชีพที่ 3 ธุรกิจที่ 4 ...
“รายได้ไม่พอใช้ แค่จ่ายหนี้อย่างเดียว ยังไม่พอจ่ายเลย ทำยังไงดี”
หลายครั้งที่คำถามแนวๆนี้ ลอยลมมากับเฟซบุ๊กและอีเมล์ เป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนง่าย แต่บอกเลยว่าตอบยากมาก ที่บอกว่ายาก ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีคำตอบให้ แต่เป็นเพราะกลัวว่า ตอบไปแล้วจะไม่ถูกใจพระเดชพระคุณที่ถามคำถามเข้ามามากกว่า
เอาเข้าจริง ผมว่าทุกคนรู้คำตอบนะ ... รายได้ไม่พอรายจ่าย ตัวนึงน้อยไป ตัวนึงมากไป ก็แก้ตรงๆ โดยการ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้
รายจ่ายลด รายได้เพิ่ม ... เดี๋ยวมันก็พอใช้เอง
เริ่มจาก “ลดรายจ่าย” เราพอจะลดอะไรได้บ้าง ...
ปรับลดมาตรฐานการกินอยู่ แม้ในสิ่งจำเป็นก็ให้ใช้อย่างประหยัด คิดก่อนใช้ทุกสิ่งอย่าง
ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่มีประโยชน์ลง บุหรี่ เหล้า หวย ฯลฯ เบาลงหน่อยหรือเลิกไปเลยก็ดีนะ
ลดค่างวดชำระหนี้ทุกรายการ ลองเจรจากับเจ้าหนี้ดู (อย่าเพิ่งบอกว่าไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้อ้าปากเจรจา) จะขอลดดอกเบี้ย ส่งเฉพาะดอกเบี้ย หรือหยุดส่งชั่วคราว ลองพูด ลองขอดู เรื่องแบบนี้ ขออาจมีได้และไม่ได้ แต่ถ้าไม่อ้าปากขอ อันนี้แม่งไม่ได้แน่ๆ
อย่างไรก็ดีจากประสบการณ์ที่ให้คำแนะนำคนแก้หนี้มามากมาย กล้าพูดเลยว่า การทำแค่ “ลดรายจ่าย” เพียงอย่างเดียวมันไม่พอให้เราปลดหนี้ได้เร็วหรอก แถมวันดีคืนร้ายมีเรื่องให้ต้องจับจ่ายฉุกเฉิน ยิ่งพาลเป็นหนี้หนักขึ้นไปอีก
ที่ถูกคือ ต้อง 2 แรงบวก นั่นคือ สร้างรายได้ควบคู่ไปกับการลดรายจ่ายด้วย
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ รายได้ทางเดียวไม่สามารถช่วยปลดหนี้ให้หมดไวๆได้หรอกครับ มันต้องมี ... งานที่ 2 อาชีพที่ 3 และธุรกิจที่ 4 เสริมแรงเข้าไปด้วย มันถึงจะพ้นน้ำเร็วขึ้น
หลักการสำคัญของการสร้างงานที่ 2 อาชีพที่ 3 และธุรกิจที่ 4 ก็คือ 1) ช่องทางการหารายได้ทุกช่องทางนั้น เน้นใช้ทุนทางปัญญาเดิมที่มี ไม่ใช้เงินลงทุนที่สูง เพราะเรามีภาระทางการเงินมากพอแล้ว
และ 2) ทั้งสามงานที่จะทำไปพร้อมๆ กันนั้น ควรมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อไม่ทำให้เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ไปพร้อมๆกันหลายเรื่อง
เช่น ตอนที่ผมเริ่มต้นแก้หนี้ให้ครอบครัว นอกจากจะเป็นวิศวกรโรงงานแล้ว ผมยังเอาวิชาความรู้ที่ได้จากการทำงานโรงงาน มารับงานพิเศษเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ (งานที่ 2) ควบคู่ไปกับเริ่มต้นฝึกหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุนให้เช่า อันไหนลงทุนไม่ได้ เกินทุนที่มีบนหน้าตัก ก็จัดแจงหาคนซื้อขอนายหน้า 3% ไป (อาชีพที่ 3)
พองานที่ปรึกษาเริ่มเยอะ ผมเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ไม่ไหว เพราะเวลาไม่เหลือให้ออกไปรับงานเองทั้งหมด เลยเริ่มเปิดบริษัทรับน้องๆ มาช่วยงาน (ธุรกิจที่ 4) แล้วก็ Outsource งานออกไป จ่ายน้องๆเป็นค่าจ้างที่ปรึกษา เรากินส่วนค่างาน ค่าการตลาด (ในฐานะคนหางาน)
.
จากเดิม 1 วัน เรารับงานได้เจ้าเดียว กลายเป็นรับงานได้ 3-4 ที่ ไปพร้อมกันๆด้วย ทำงานเท่าๆเดิม แต่ได้เงินมากขึ้น
ลูกศิษย์ผมบางคนเงินไม่มี ก็ขายสินค้าแบบ Pre Order ทำบัญชีได้ก็รับทำบัญชี บ้างก็รับทำกราฟฟิค หรือบางคนก็กลายมาเป็นพ่อค้าคนกลาง นายหน้า ทำตลาดให้สินค้าและรับส่วนแบ่ง
(ยังมีอีกหลายอาชีพที่ทำตอนนั้น และอาชีพของลูกศิษย์อีกเพียบ ขอแค่ไม่ท้อ และไม่ปิดกั้นหรือดูถูกตัวเองจนเกินไป ทางเลือกยังมีอีกเยอะ เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าให้ฟัง)
เมื่อหนึ่งเดือนเราหาเงินได้มากขึ้น ในอีกทางก็ลดค่าใช้จ่ายลง จนมีเงินส่วนเกินได้ เราก็มาวางแผนเก็บเงินและชำระคืนหนี้ ค่อยๆ อดทนทำไป ในไม่ช้าหนี้ก็จะหมด
(แต่บอกก่อนนะว่า เกมแก้หนี้เป็นหนังชีวิต ต้องสู้กันยาวมาก)
ที่เจ๋งก็คือ ... หน้ีหมด แต่งานที่ 2 อาชีพที่ 3 และธุรกิจที่ 4 ยังคงอยู่ และช่วยสร้างอัตราเร่งทางการเงินให้เรามั่งคั่งได้เร็วขึ้นกว่าทำงานประจำเพียงอย่างเดียวเสียอีก
สุดท้ายแล้วเท่าที่ผมเจอมา คนกลุ่มเดียวที่แก้หนี้ไม่ได้ ก็คือ คนที่ยอมแพ้ และไม่คิดจะทำอะไรอีกแล้ว พวกเขาไม่เชื่อตัวเอง ยอมจำนน และก็ได้แต่ฝันลมๆแล้งๆ ว่า จะมีใครมาช่วยพาเขาออกไปจากสภาพชีวิตอันเลวร้าย
ชวนคิดวิธีลดรายจ่าย ก็บ่นว่า “ลดจนไม่รู้จะลดอะไรแล้ว!” ทั้งที่เอาเข้าจริง ยังไม่ได้คิด ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยแม้แต่น้อย (บางคนแม่มยังกินเปลืองโชว์ในเฟซบุ๊กอยู่เลย)
หรือชวนคิดหารายได้เพิ่ม ก็บ่นว่า “สัปดาห์หนึ่งทำงาน 5 วัน เหนื่อยจะแย่ จะให้ทำอะไรอีก!”
ถ้าคิดได้แค่นี้ ก็อย่าเสียเวลากันครับ อยู่ตรงนั่นแหละ! ถูกที่ถูกทางแล้วหละ ถ้าความคิดยอมแพ้แค่อย่างเดียว ใครก็ช่วยคุณไม่ได้ครับ
ใครที่เป็นหนี้หนัก แล้วเคยทำแต่ท้อ แต่บ่น เอาใหม่ครับ หาช่องทางลดรายจ่าย และคิดวิธีเพิ่มรายได้ คิดงานที่ 2 อาชีพที่ 3 ธุรกิจที่ 4 ออกเมื่อไหร่
โพสลงเฟซบุ๊กแม่มเลย ประกาศให้โลกรู้ ว่า (กู) สู้ชีวิต เพื่อนในเฟซบุ๊กถ้าไปขอยืมเงินเขา เขาคงไม่สะดวกใจ แต่ถ้าประกาศและบอกเพื่อนๆ ไปว่า ...
“(กู) กำลังทำงานที่ 2 อาชีพที่ 3 ธุรกิจที่ 4 อยู่ เพื่อนคนไหนสนใจซื้อสินค้าหรือจ้างให้ไปทำงาน เรียกใช้ได้เลย”
โฆษณาไปเลย ไม่ต้องอาย จะว่าไปแบบนี้ ผมว่าเพื่อนสบายใจที่จะช่วยมากกว่า เพราะคนเราถึงแม้รักกันแค่ไหน ก็พร้อมที่จะยื่นมือ มากกว่ายื่นเงิน
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสู้กับปัญหาหนี้นะครับ จำเอาไว้ ...
“ไม่มีใครทำให้เรารวยได้ ถ้าเราไม่อยาก และไม่มีใครทำให้เราจนได้ ถ้าเราไม่ยอม” ครับ
#โค้ชหนุ่ม
05-02-2021
ปล. ใครสนใจหาไอเดียสร้างรายได้ช่องทางใหม่ๆ จากทุนชีวิตของตัวเอง แนะนำให้ชมวิดีโอนี้ครับ https://youtu.be/zCp4IWMFltA
#Day27 #MoneyDiary #งานที่2อาชีพที่3ธุรกิจที่4
moneydiary 在 Bryan Wee Youtube 的評價
moneydiary 在 Travel Thirsty Youtube 的評價
moneydiary 在 スキマスイッチ - 「全力少年」Music Video : SUKIMASWITCH / ZENRYOKU SHOUNEN Music Video Youtube 的評價
moneydiary 在 [情報] 體驗送回饋金中信親子金融服務-存錢日記 - Mo PTT 鄉公所 的八卦
... 年5月底前入帳至「存錢日記」綁定的青少年(未成年人)帳戶https://www.ctbcbank.com/content/dam/minisite/long/ebank/moneydiary/index.html. ... <看更多>
moneydiary 在 [情報] 體驗送回饋金中信親子金融服務-存錢日記 - PTT職涯區 的八卦
... 年5月底前入帳至「存錢日記」綁定的青少年(未成年人)帳戶https://www.ctbcbank.com/content/dam/minisite/long/ebank/moneydiary/index.html 看到 ... ... <看更多>
moneydiary 在 #shorts Same #whatispendinaweek #whatispend ... - YouTube 的八卦
#shorts Same #whatispendinaweek #whatispend #moneydiaries # moneydiary. 255 views 1 month ago. Thomson Norton. Thomson Norton. 91 subscribers. ... <看更多>