นักลงทุนระดับโลก เตือน! อย่าขายทองคำของคุณ แถมเขายังวางแผนจะซื้อเพิ่มด้วย
Jim Rogers หนึ่งในตำนานนักลงทุนระดับโลกได้ให้สัมภาษณ์กับ The Economic Times สื่อด้านเศรษฐกิจของอินเดีย เกี่ยวกับทิศทางการลงทุนหลังการเลือกตั้ง ยิ่งพอมีข่าวดีเรื่องวัคซีนออกมานั้นทำให้ตลาดมีความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะดัชนีดาวน์โจนส์ที่พุ่งขึ้นจนเกือบจะทำ New High ได้อีกครั้ง
สวนทางกับทองคำที่ร่วงไปกว่า 100$/oz. ในวันเดียว ทำให้หลาย ๆ คนตั้งคำถามว่าราคาทองคำจะร่วงต่ออีกหรือไม่? ได้เวลาขายแล้วหรือยัง?
ซึ่งคำตอบของ Jim Rogers นั้นค่อนข้างเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเพราะมุมมองต่าง ๆ ของเขานั้นกลับยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
เรื่องนโยบายของไบเดน?
แม้ว่าตลาดหุ้นจะพุ่งขึ้นหลังจากที่ผลการเลือกตั้งออกมาค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าโจ ไบเดนจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ แต่จิมก็ยังยืนยันคำเดิมว่า “Economists never like raising taxes” หรือ “นักเศรษฐศาสตร์ไม่เคยชอบการขึ้นภาษี” โดยจิมยังคงยืนยันว่านโยบายการขึ้นภาษีของไบเดนนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดหุ้น
และจิมบอกว่าการมาของพรรคเดโมแครตนั้นจะทำให้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ (big tech companies) ต้องเหนื่อยแน่นอน จากนโยบายที่ต้องการลดการผูกขาดของบริษัทเหล่านี้
เกี่ยวกับทองคำ?
จิมบอกว่า “Don't sell your gold or silver, I plan to buy more” หรือ “อย่าขายทองคำหรือแร่เงินของคุณและผมเองก็วางแผนจะซื้อเพิ่มด้วย” ต้องอธิบายก่อนว่ากลยุทธ์การซื้อทองคำของผลและจิมนั้นคล้าย ๆ กันคือซื้อเป็นทองคำจริง ๆ เพื่อเป็นสินทรัพย์ประกันความเสี่ยง เป็นการลงทุน “ระยะยาว” นะครับ
จิมยังคงกังวลว่าในภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดปัญหาความวุ่นวายและความโกลาหลของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับค่าเงินของสกุลต่าง ๆ ฉะนั้นจึงต้องถือทองคำไว้เพื่อปกป้องความมั่งคั่งของคุณ นอกจากนี้เขายังวางแผนจะซื้อเพิ่มเมื่อราคาเกิดการพักฐานลงมาอย่างน่าสนใจ (แต่จิมไม่ได้บอกว่าราคาเท่าไหร่นะครับ)
เกี่ยวกับเงินดอลลาร์?
ก่อนหน้านี้จิมได้ให้สัมภาษณ์กับ Kitco ว่าเขายังคงลงทุนในดอลลาร์ เพราะมันน่าสนใจกว่าสกุลอื่น ๆ แต่เขาก็เล็งที่จะขายเมื่อมันแพงเกินไป (overvalued) ซึ่งจิมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเขายังถือดอลลาร์อยู่ แต่เขาก็คิดจะขายในปีหน้าหรืออีก 2 ปี ถ้าการคาดการณ์เศรษฐกิจของเขาถูกต้อง
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี?
จิมพูดถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนที่จะเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างในโลกเหมือนที่ไฟฟ้าเคยทำเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ส่วนประเด็นเรื่องฟินเทคต่าง ๆ จะทำให้บรรดาธนาคารต้องล้มละลายหรือไม่นั้นจิมบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างในปี 2008 ที่เลห์แมน บราเธอร์ส สถาบันการเงินเก่าแก่อายุกว่า 150 ปียังล้มละลายได้ แต่ตอนนี้เราก็ยังคงเหลือธนาคารอยู่มากมาย มันขึ้นอยู่กับการปรับตัว ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดว่าใครจะอยู่ใครจะไป
เกี่ยวกับการเติบโตของจีน?
จิมบอกว่าเขาไม่รู้นะว่าสิ่งที่รัฐบาลจีนพูดเป็นความจริงหรือไม่ อย่างที่คุณรู้ว่ารัฐบาลทั่วโลกมักโกหกอยู่เป็นประจำ แต่อย่างน้อยถ้าครึ่งหนึ่งที่รัฐบาลจีนพูดเป็นความจริงก็ต้องบอกว่าพวกเขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก นั่นหมายความว่าจีนมีความแข็งแกร่งและน่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างเช่นญี่ปุ่นที่ต้องเจอปัญหาประชากรลดลงและหนี้สินท่วมหัวมากว่า 30 ปีและยังคงเป็นแบบนั้นต่อไป
เกี่ยวกับฟองสบู่?
เขาบอกว่าตอนนี้ตลาดหุ้นขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม FAANG (Facebook, Amazon, Apple, Netflix, Google) ที่ผู้คนคิดว่ามันจะไม่มีวันลงได้ว่านี่มันกลิ่นของฟองสบู่ชัด ๆ แต่ถามว่าได้เวลา short หรือยัง? (จิมเป็นคนที่มักทำกำไรได้จากการ short ตอนที่ตลาดฟองสบู่แตก) เขาตอบว่าเขาผ่านเหตุการณ์ฟองสบู่มาหลายครั้งแล้ว มันยังไม่ถึงเวลา short หรอก เพราะราคามันจะไปได้ไกลกว่าที่ผู้คนคิดเอาไว้
สรุปแล้วมุมมองของ Jim Rogers ต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจึงไม่มีผลต่อกลยุทธ์ในการลงทุนระยะยาว แม้จะมีข่าวดีเรื่องวัคซีนและการมาของโจ ไบเดน ก็ไม่ทำให้ปัญหาหนี้สินที่เรื้อรังอยู่หมดไปได้ ซึ่งกว่าจะฟื้นตัวจริง ๆ คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี
ส่วนเรื่องทองคำก็ยังยืนยันว่า “ไม่ขาย” และยังได้กล่าวเสริมว่า “หลานของเขาจะได้เป็นเจ้าของทองเหล่านี้แน่นอน”
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียง “ข้อคิดเห็น” นะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ มองอีกมุมหนึ่งจิมอาจพูดอย่างทำอย่างก็ได้ ใครจะไปรู้! เพื่อน ๆ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรคอมเมนท์เข้ามาแลกเปลี่ยนกันด้านล่างเลยครับ
.
แอดปุง
เเจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
เริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ รุ่นที่ 6
วันที่ 6 ธ.ค. 2563
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
kitco silver 在 KIM Property Live Facebook 八卦
ดอกเบี้ยติดดิน หนี้ท่วมหัว เงินล้นโลก เจ้าของเหมืองบอกทอง 5,000$ อยู่ไม่ไกล
หลังจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งด้วยการขายหุ้นเหมืองทองคำ Barrick Gold ที่พึ่งซื้อมาในไตรมาส 2 ออกไปกว่า 42% จากที่ถืออยู่ ทำเอาหลายคนที่ซื้อตามปู่ต้องหลังหักกันเป็นแถบ
ทาง Kitco News จึงไม่รอช้า โดยทำการเชิญบุคคลในวงการเหมืองแร่อย่าง Rob McEwen เจ้าของเหมือง McEwen Mining ที่มี Market Cap. ราว ๆ 4 แสนล้านดอลลาร์มาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทองคำ และทิศทางของอุตสาหกรรมเหมืองแร่
เริ่มต้นกันที่เรื่องการเลือกตั้งสหรัฐที่ Rob แอบแซวเล็กน้อยว่าน่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่บรรดาทนายความทำเงินได้มากที่สุด ส่วนผลการเลือกตั้งที่ดูเหมือนว่าโจ ไบเดนจะเป็นผู้ชนะนั้น เขามองว่ามันแนวโน้มที่จะทำให้หนี้ของสหรัฐที่สูงอยู่แล้วนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะปกติแล้วพรรคเดโมแครตมักจะใช้จ่ายงบประมาณมากกว่ารีพับลิกันนั่นหมายถึงการขาดดุลงบประมาณจำนวนมากที่ตามมา
โดยตอนนี้หนี้สหรัฐกำลังพุ่งสูงขึ้นไปถึง 130%ต่อGDP ซึ่งจากงานวิจัยของ Grant Williams (นักกลยุทธ์คนหนึ่ง) นั้นพบว่าประเทศที่มีหนี้สูงกว่า 130%ต่อGDP จะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้มากถึง 98%
มันฟังดูตลกที่ประเทศอย่างสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ เพราะธนาคารกลาง (Fed) สามารถพิมพ์ดอลลาร์ได้อย่างไม่จำกัด แต่คุณรู้ไหมครับว่าประสิทธิภาพของการพิมพ์เงินมันลดลงขนาดไหน?
ปริมาณเงินที่ Fed พิมพ์ในเวลาเพียง 4 เดือน (มีนาคม-กรกฎาคมที่ผ่านมา) เพื่อสู้กับวิกฤตโควิด19 นั้น เป็น 20 เท่าของปริมาณเงินที่ Fed พิมพ์ในระยะเวลา 18 เดือนเพื่อแก้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008-2009 และปัญหาดังกล่าวก็กำลังเกิดขึ้นกับประเทศสกุลเงินหลักได้แก่ อังกฤษ ญี่ปุ่น ประเทศในยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย เช่นเดียวกัน
Rob บอกว่าตอนนี้ปัญหาเงินเฟ้อมันกำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นและพันธบัตร ดูได้จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจนเข้าใกล้ 0% คุณลองย้อนไปเมื่อ 65 ปีที่แล้ว ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าสภาวะดอกเบี้ย 0% มันเป็นยังไง? บริษัทประกันและกองทุนบำเหน็จบำนาญที่ต้องการผลตอบแทนประมาณ 5-6%ต่อปี จะอยู่รอดได้ยังไง?
พอมองไปที่ประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันได้แก่ 1. หนี้ท่วมโลก 2. เงินล้นโลก 3. ดอกเบี้ยต่ำ มันก็มักจะเกิดเรื่องร้าย ๆ เช่น ฟองสบู่แตกหรือการล้มละลายตามมาอยู่เสมอ
ทองคำคือคำตอบใช่ไหม? แม้ว่าโลกจะเลิกใช้ Gold Standard นานแล้วแต่ Rob บอกว่าตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ดูคล้ายระบบ Gold Standard นะ คือธนาคารกลางของประเทศในตะวันออกกลาง, รัสเซีย และจีน สะสมทองคำมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำมาหนุนหลังสกุลเงินและแสดงให้ประเทศอื่น ๆ ได้รับรู้ว่าสกุลเงินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด
ทำให้ Rob มองว่าราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นในระยะยาว พร้อมกล่าวว่า “5,000 $/oz. ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม” เขาอธิบายต่อว่าตอนนี้ในสื่อโซเชียลนั้นเต็มไปด้วยกระแสเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่ทองคำไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ แต่ในวันนึงที่ผู้คนเริ่มหันกลับมามองทองคำและพูดเรื่องทองคำกันเป็นปกตินั่นแหละจะเป็นเวลาที่ราคาทองคำจะทะยาน
นอกจากทองคำแล้ว Rob บอกว่าแร่เงิน (Silver) ก็น่าสนใจ เขาอธิบายว่าราคาแร่เงินนั้นมักจะขึ้นรุนแรงกว่าราคาทองคำในช่วงที่ทองคำเป็นขาขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณกะจังหวะได้อย่างแม่นยำนั้นแร่เงินมักจะทำกำไรได้มากกว่า
ส่วนเรื่องสถานการณ์ของกิจการเหมืองแร่นั้น ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่เหมืองต้องปิดทำการจากสถานการณ์การระบาด แต่ในตอนนี้การผลิตต่าง ๆ นั้นเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว โดย Rob พูดในฐานะเจ้าของเหมืองว่า การเปิดเหมืองมันสำคัญกับเหล่าพนักงานมาก เพราะแต่ละคนต่างก็มีครอบครัวต้องดูแล
ทิ้งท้ายด้วยประเด็นที่ตอนนี้มีหลายเหมืองแร่ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตนั้น Rob ให้ความเห็นว่าสำหรับเขามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ คือมันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ที่ค่อนข้างลงตัว
คุณอาจจะคิดว่า AI เข้ามาแย่งงานพนักงานของผม แต่มันไม่จริงเลย เพราะอุตสาหกรรมเหมืองแร่กำลังจะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากจะมีคนเกษียณเป็นจำนวนมาก แต่มีคนเข้ามาใหม่จำนวนน้อย คุณลองไปถามเด็กนักเรียนตอนนี้ดูสิว่ามีใครอยากทำงานในเหมืองบ้าง? มันมีน้อยลงมาก ๆ ซึ่ง AI ก็จะเข้ามาเติมเต็มแรงงานส่วนนี้ที่หายไป
สรุป
ประเด็นหลักคือ Rob McEwen มองว่าทองคำจะเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ เหตุผลเพราะในประวัติศาสตร์ เมื่อ 3 เหตุการณ์ได้แก่ 1. หนี้แต่ละประเทศสูงมาก 2. ปริมาณเงินขยายตัวเป็นอัตราเร่งและ 3. อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว มักจะก่อให้เกิดหายนะต่อระบบการเงินส่งผลให้ทองคำมีมูลค่ามากขึ้น
แหม่... บัฟเฟตต์พึ่งขายเหมืองทองไป แต่ฝั่งเจ้าของเหมืองก็ยังมองทองคำเป็นขาขึ้น แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไร เชื่อใครดีครับ?
.
แอดปุง
เเจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
เริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ รุ่นที่ 6
วันที่ 6 ธ.ค. 2563
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
kitco silver 在 Once $30 silver price barrier breaks, $50 is next - YouTube 的八卦
... <看更多>