"ถ้าไม่มี The Dark Knight แล้ว มันอาจเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำหนังฟอร์มยักษ์เนื้อหาจริงจัง เพราะผู้คนก็จะเอาแต่พูดว่า 'มันมีด้านมืดมากเกินไป ใครจะไปอยากดู' แต่เมื่อเรายก The Dark Knight เป็นตัวอย่างแล้วบอกว่า 'ดูนั่นสิ หนังที่มีด้านมืดกว่า และทำเงินได้เป็นพันล้าน' มันช่วยได้อย่างมาก ทั้งยังบอกอีกด้วยว่า มันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างหนังที่มีด้านมืดหม่น แต่ผู้คนก็ยังไปชมกัน" คำกล่าวยกย่อง The Dark Knight จากปาก แซม เมนเดส ผู้กำกับ Skyffall แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผลงานหนังซูเปอร์ฮีโร่ของคริสโตเฟอร์ โนแลน พลิกโฉมวงการหนังบล็อกบัสเตอร์มากขนาดไหน สตูดิโอไม่สามารถดูแคลนรสนิยมของผู้ชมได้อีกต่อไป
.
"มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าหนังเนื้อหาจริงจังกลายเป็นหนังเล็กมาก และหนังฟอร์มยักษ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยไม่มีสาระอะไรเลย แต่สิ่งที่โนแลนพิสูจน์ให้เห็นก็คือ เราสามารถสร้างหนังฟอร์มยักษ์ ที่ทั้งระทึกขวัญและให้ความบันเทิง แถมมีสาระเกี่ยวกับโลกที่เราอาศัยอยู่" แซม เมนเดส ตอกย้ำชัดเจนถึงอิทธิพลของ The Dark Knight ต่ออุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูดยุค 2010's ได้เป็นอย่างดี
.
นั่นเป็นแค่ประเด็นหนึ่งหลังความสำเร็จของ The Dark Knight เพราะสิ่งที่ทรงอิทธิพลยิ่งกว่านั้นคือการทำให้การประกาศผลรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่เคยเข้าชิงได้เพียง 5 เรื่อง ต้องเปลี่ยนกฎในปีต่อมา เพิ่มจำนวนหนังเข้าชิงเป็นขั้นต่ำ 5 เรื่องแต่ไม่เกิน 10 เรื่อง เพียงเพราะกระแสหลัง The Dark Knight ไม่ได้เข้าชิงออสการ์ในปีนั้น และนำมาซึ่งการเพิ่มความหลากหลายของสมาชิกที่มีสิทธิ์โหวตรางวัลออสการ์อีกด้วย
.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 ก่อนเข้าสู่เทศกาลประกาศผลรางวัลออสการ์ The Dark Knight เดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่การเป็นหนังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2008 เฉพาะในอเมริกาคือทำเงินไป 530 ล้านเหรียญฯ ทิ้งห่าง Iron Man อันดับรองมาถึง 212 ล้านเหรียญฯ หนังได้รับคำวิจารณ์ระดับดีเยี่ยม ไม่ต้องพูดถึงกระแสตอบรับจากคนดูที่แทบจะเป็นปรากฎการณ์บอกต่อแห่งปี ในช่วงฤดูกาลประกาศรางวัล The Dark Knight ยังติด Top 10 หนังแห่งปีจากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน, โนแลนมีชื่อเข้าชิงผู้กำกับยอดเยี่ยม ของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกา, หนังยังเข้าชิง PGA ซึ่งเป็นรางวัลที่มักอ้างอิงกับออสการ์เสมอ
.
เรียกว่าแทบจะปูทางพร้อมสำหรับการติด 1 ใน 5 หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2008 ในปีที่มีตัวเต็งนอนมาอย่าง Slumdog Millionaire, Milk, Frost/Nixon, และ The Curious Case of Benjamin Button ซึ่งยังเหลือสล็อตว่างอีก 1 ตำแหน่งเพียงพอที่จะให้ The Dark Knight เบียดเข้าไป แต่ปรากฎว่าตำแหน่งนั้นตกเป็นของ The Reader หนังม้ามืดนอกสายตาที่ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน โหมโปรโมทจนแซงโค้งเข้าชิงจากการแสดงของ เคท วินสเล็ต
.
ผลกระทบเบื้องต้นกลายเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ยอดคนดูการประกาศผลรางวัลที่ต่ำสุด 2 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 1980 (หากไม่นับปี 2003 ซึ่งปีนั้นออสการ์จัดงานหลังสหรัฐฯ เริ่มโจมตีอิรักเพียง 3 วัน) โดยข้อสันนิษฐานที่ถูกหยิบยกมาอ้างอิงมากที่สุดคือผู้ชมไม่สนใจจะดูการประกาศผลรางวัลที่พวกเขาแทบไม่รู้จักหนังเข้าชิงสักเรื่อง โดยหนังเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ทำเงินมากที่สุดในปีนั้นคือ The Curious Case of Benjamin Button ยังทำเงินก่อนประกาศรางวัลแค่หลัก 104 ล้านเหรียญฯ, รองมาคือ Slumdog Millionaire 45 ล้านเหรียญฯ ส่วน 3 เรื่องที่เหลือทำเงินรวมกันยังแค่ 38 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
.
ทำให้ 4 เดือนต่อมาหลังการประกาศผลรางวัลออสการ์ปี 2009 ทาง AMPAS ได้ออกแถลงการณ์ประกาศเพิ่มจำนวนหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเดิม 5 เรื่องเป็น 10 เรื่อง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1945 (ก่อนหน้านั้นในช่วงยุค 30's ถึงต้นยุค 40's สามารถเข้าชิงได้ 8-12 เรื่อง) ซึ่งทำให้รางวัลออสการ์ปี 2010 เริ่มมีความหลากหลายของหนังที่เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม มีตั้งแต่หนังใหญ่แบบ Avatar, มีพื้นที่ให้แอนิเมชั่นดี ๆ แบบ Up, โดยที่หนังเล็ก ๆ อย่าง An Education ก็ยังมีพื้นที่ได้เข้าชิงถ้าหากคุณภาพดีพอ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งมาถึงปี 2011 ที่แอนิเมชั่น Toy Story 3 และบล็อกบัสเตอร์ระดับ Inception ยังคงเข้าชิงโดยไม่เบียดพื้นที่ของหนังอินดี้แบบ Winter's Bone
.
ก่อนที่ในปี 2012 จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎอีกครั้งเล็กน้อย โดยเปลี่ยนจากเข้าชิง 10 เรื่อง เป็นสูงสุดไม่เกิน 10 เรื่อง โดยใช้เกณฑ์การตัดคะแนนโหวตมาช่วยคำนวณหนังเข้าชิงรอบสุดท้าย
.
นับตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้น เราจึงได้เห็นหนังชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอด 11 ปีที่ผ่านมามีความหลากหลายมากขึ้น ปัจจัยเสริมที่สำคัญคือการปรับสมดุลสมาชิก AMPAS ที่มีสิทธิ์โหวตรางวัล จากเดิมที่เป็นชายผิวขาวสูงอายุ (มีผลต่อรสนิยมการโหวตหนังแน่นอน) ค่อย ๆ เพิ่มความหลากหลายทางเพศ/สีผิว/เชื้อชาติ/และอายุที่น้อยลงมา ซึ่งความเปลี่ยนแปลงล้วนเป็นการปรับตัวตามยุคสมัย อาจจะบอกว่าเป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของเรตติ้งก็ได้ เพราะคงไม่มีใครสนใจจะติดตามผลรางวัลที่ควบคุมโดยชายแก่ผิวขาวไปตลอด
.
ส่วนตัวแล้วเราเชื่อว่าในแต่ละปี มันมีหนังที่คุณภาพดีพอจะเป็นผู้ชนะไม่มากหรอก อาจจะ 2-3 เรื่องที่เบียดกันในโค้งสุดท้าย แต่การที่หนังสามารถเข้าชิงได้ถึง 10 เรื่องนั้น เป็นปัจจัยเสริมสำคัญในแง่การเปิดกว้างพื้นที่ให้คนดูหนังได้ทำความรู้จักหนังเรื่องอื่น ๆ ไปด้วย ออสการ์อาจจะมีพื้นที่ให้หนังทำเงินประจำปีที่คุณภาพอยู่ในระดับดีพอสมควรมาเข้าชิงเพื่อดึงเรตติ้งคนดู แต่มันก็เป็นผลดีต่อหนังเล็ก ๆ คุณภาพดีได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นหากได้อยู่ในเวทีรางวัลที่มีคนสนใจติดตามจำนวนมาก เพราะอย่างที่รู้กันว่าในแง่การตลาดนั้น พอแปะชื่อหนังเข้าชิงออสการ์ก็มีผลบวกต่อยอดขายแผ่น DVD หรือในปัจจุบันก็เพิ่มยอดคนดูในสตรีมมิ่งได้ไม่ยาก ถ้าเรามองออสการ์เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว
.
อย่างไรก็ตามในแต่ละปีก็ยังมีข้อถกเถียงของหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้เข้าชิงกันอยู่ แต่ในระยะยาวเราก็เชื่อว่าข้อถกเถียงอาจจะน้อยลงไปจากการเพิ่มสัดส่วนสมาชิกที่มีสิทธิ์โหวตรางวัลให้หลากหลายและคานน้ำหนักสมดุลกัน ซึ่งการปรับตัวก็เป็นหนทางหนึ่งเพื่อการอยู่รอด ดังจะเห็นได้จากการเปลี่ยนกฎที่มีมายาวนานหลังกระแส The Dark Knight ชวดชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่ทำให้หลังจากนั้นเรตติ้งก็ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ช่วงหลัง ๆ การวัดเรตติ้งทางเคเบิ้ลทีวีอาจจะไม่ใช่เครื่องการันตีความนิยมเท่ากับกระแสการพูดถึงใน social network ก็ตาม
อ้างอิง
- https://www.reuters.com/article/us-oscars-television/oscars-draw-record-low-tv-ratings-idUSN2521078720080226
- https://www.escapistmagazine.com/v2/the-dark-knight-was-locked-out-of-the-oscars-but-changed-them-anyway/
- https://mediadecoder.blogs.nytimes.com/2009/06/24/oscars-to-go-with-10-nominees-for-best-picture-instead-of-five/
- https://www.thewrap.com/dark-knight-oscar-legacy-christopher-nolan/
- https://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/timeline/fbbe88ddfbe6485f28cf8dc46e00f100.png
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
2008 oscars 在 Trí Minh Lê Facebook 八卦
Fashion Couple – Tình yêu trong nền công nghiệp thời trang.
14/02 như mọi năm, là ngày mà các cặp đôi thể hiện tình yêu, dân cô đơn cau có, chửi bới mặc dù biết có làm vậy thì tụi couple vẫn kệ bố sự đời. Tình yêu vừa đơn giản vừa phức tạp, nhưng có lẽ sẽ nhiều tầng nhiều lớp hơn trong ngành công nghiệp thời trang. Fashion Industry vốn đã hào nhoáng, xa lệ - có nhiều người hiểu, cũng có nhiều chuyện nhiều người không thấy. Thế kỉ mới, ngành công nghiệp này còn “phức tạp” hơn khi có sự nhúng tay nhiều hơn của các nghệ sĩ âm nhạc, các rappers (Cũng y chang thế giới showbiz). Mình xin được điểm những cặp đôi quyền lực và dài hơi nhất trong nền công nghiệp cũng khá nhiều thị phi này.
1. Victoria và David Beckham:
Vợ chồng nhà Beck sẽ được xướng danh đầu tiên bởi độ thời trang từ outfit họ mặc cho tới các thành viên con cái trong gia đình. Chàng là cựu cầu thủ bóng đá huyền thoại – giờ là model và Influencer quyền lực bậc nhất. Nàng là cựu thành viên của nhóm nhạc vang danh 1 thời Spicegirls, chưa hết – nàng còn tự tạo cho mình một thương hiệu thời trang cùng tên Victoria Beckham vào năm 2008.
2. David Bowie và Iman:
Khỏi phải nói về độ ảnh hưởng của David Bowie tới nền thời trang và cảm hứng nghệ thuật thời ông còn sống và tới tận bây giờ. Iman là một siêu mẫu khá nổi tiếng trong giới thời trang người Somali và Mĩ – từng làm việc cho các nhà thiết kế hàng đầu như Gianni Versace, Calvin Klein, Yves Saint Laurent. Hai người hẹn hò vào năm 1990 và cưới vào năm 1992 – cũng là 1 trong những cặp đôi quyền lực trong giới thời trang hồi đó.
3. Kanye West và Kim Kardashian:
After party Oscars 2020 vừa rồi, Cô Kim Siêu Vòng ba với chiếc váy archive đến từ Alexander Mcqueen (Bộ mùa Xuân 2003) trao nụ hôn nồng thắm tới gã điên của chúng ta, Kanye West. Mỗi người đều sở hữu một tầm ảnh hưởng của mình lên lối sống và thời trang của nền đại chúng (Còn vì sao mình có bài viết hết rồi) – Kim thì sở hữu Skims, Kanye West thì Yeezy Clothing và Yeezy của adidas – mỗi lần xuất hiện của couple này đều thu hút mọi ánh nhìn của báo chí dự luận và người trong giới.
4. Rick Owens và Michele Lamy:
Nếu được xếp về độ đáng yêu và sự vô định hình trong tình yêu thì mình xin được nhắc tới Dark Couple Rick Owens và Michele. Trong khi Rick Owens cùng thương hiệu cùng tên đã làm thành một tượng đài trong giới thời trang, điều ông luôn công nhận và công khai khoe với báo chí hay chia sẻ đó là không thể nào thiếu được Michele Lamy. Bà như là 1 niềm cảm hứng bất tận, một muse, một người truyền sự sáng tạo và giúp đỡ Rick Owens trong cuộc đời sự nghiệp của Quý Ngài Tóc dài.
5. Gianni Versace và Antonio D’Amico:
Mối quan hệ đẹp đẽ và yêu thương kéo dài 11 năm của Gianni Versace và Antonio bắt đầu từ năm 1982 cho đến khi ông bị sát hại vào ngày 15/7/1997 tại Florida. Sinh thời – hai người luôn thể hiện dấu ấn của tình yêu qua các bản hợp tác nằm trong Versace Sport collection và Istante by Versace.
6. Vivienne WestWood và Andreas Kronthaler:
Mối lương duyên kéo dài tới tận 30 năm – một con số đáng nể trong ngành thời trang (giải trí nói chung) khi quá nhiều cám dỗ. Nghe như trong chuyện khi cô giáo bén duyên với sinh viên của mình, năm 1989 với tư cách là người giảng dạy Viviene WestWood gặp Kronthaler tại trường Nghệ Thuật Ứng Dụng Vienna. Năm 1992, họ tổ chức đám cưới và hai vợ chồng song sát đã tiếp tục thiết kế cho thương hiệu cùng tên của bà.
7. Yves Saint Laurent và Pierre Berge
“Call me by your name” – mối quan hệ khăng khít và đẹp đẽ từ tình yêu đến hoạt động kinh doanh, chúng ta sẽ nhắc tới Yves Saint Laurent và bạn đời của ông, Pierre Berge. Năm 1961 – họ đã cùng nhau mở lên 1 thương hiệu tồn tại đến bây giờ, YSL (Trước khi Hedi gõ cửa và chuyển thành 1 nhánh Saint Laurent Paris), sự chung thủy kéo dài chỉ cho đến khi Yves Saint Laurent qua đời vào năm 2008
2008 oscars 在 文茜的世界周報 Sisy's World News Facebook 八卦
0226紐約時報
*【金正恩抵達越南 將與川普會面】
北韓領導人金正恩上午抵達越南,準備與川普總統會面,兩人可能討論棘手的外交問題,包括朝鮮半島無核化。而金正恩的越南之行,也有其象徵意義,部分原因是越南和北韓有著長期的友誼,包括越南戰爭期間的合作,以及與中國及其共同鄰國的複雜關係。
https://www.nytimes.com/…/asia/north-korea-kim-vietnam.html…
*【韓國稱,川普和金正日可能會在峰會上宣佈戰爭結束】
韓國官員表示,川普與金正恩可能在越南首腦峰會上宣佈結束朝鮮戰爭。文在寅的發言人表示,美國和朝鮮很有可能就一項聯合政治聲明達成協議。
https://www.nytimes.com/…/trump-kim-jong-un-hanoi-summit.ht…
*【日本的南北韓移民希望解決政治分擾 讓北韓不再被孤立】
一個特殊群體的期待:在密切關注此次“川金會”的人中,有一個特殊的群體:在日本殖民期間來到日本的韓國/朝鮮僑民及他們的後代。他們希望政治解凍有助於讓北韓擺脫孤立。
https://www.nytimes.com/…/w…/asia/korea-japan-diaspora.html…
*【“敏感之年”2019:習近平的焦慮與不安】
中國領導人習近平最近突然召集了數百名官員開會,迫使其中一些人重新安排計畫已久的地方會議。這次會似乎是為傳達一種令人焦慮的緊迫感而精心安排的。習近平對官員說,中共在各個方面都面臨著重大風險,必須做好迎接困難的準備。
https://cn.nytimes.com/china/20190226/china-xi-warnings/
*【金正恩為何選擇坐綠皮火車去見川普?】
去年六月金正恩第一次前往新加坡與川普會晤時,從中國的載旗航空中國國際航空公司借了一架波音747。(他自己的那架蘇制伊爾-62機齡已快40年,零件也短缺),這趟火車之旅表明,他不願再次這麼做,“他不想讓世界看到他嚴重依賴於中國。
https://cn.nytimes.com/…/north-korea-kim-jong-un-china-tra…/
*【川普稱與中國取得進展,但事實上艱難的協議,壓力越來越大】
川普對華貿易讓步可能帶來政治風險。民主黨警告,中國可能只是在做出虛假承諾來尋求結束貿易戰;一些共和黨擔心,川普的協議只是減少了對華貿易逆差,並為華為提供一條生路。
https://www.nytimes.com/…/china-trump-trade-deal-democrats.…
*【川普對達成貿易協定樂觀,推遲加徵關稅期限】
川普周日在一條推文中表示,他將推遲本週五對2000億美元的中國進口商品增稅的最後期限,理由是在華盛頓進行為期一周的美中官員貿易談判取得了“實質性進展”。
https://cn.nytimes.com/business/20190225/china-usa-trade/
*【英國反對黨工黨表示,其準備支持第二次脫歐公投】。
雖然這不太可能於近期內在議會得到批准,但它將贏得那些一直力圖扭轉脫歐公投結果的人們的歡迎。
https://www.nytimes.com/…/Jeremy-Corbyn-brexit-referendum.h…
*【在英國緊縮計畫下成長的新一代】
許多在2008年金融危機後成長的年輕人開始放棄資本主義,轉而投向社會主義
https://www.nytimes.com/…/europe/britain-austerity-socialis…
*【伊朗外交部長穆罕默德•賈瓦德•紮裡夫(Mohammad Javad Zarif)在Instagram上宣佈辭職】
作為伊朗核協議的支持者和代理人,他一直受到強硬派的壓力
https://www.nytimes.com/…/middlee…/javid-zarif-resigns.html…
*【美國副總統潘斯宣佈對與馬杜羅結盟的委內瑞拉官員實施新的制裁,並敦促其他拉美國家放棄中立態度】
副總統潘斯宣佈對委內瑞拉官員實施額外制裁,敦促拉美鄰國凍結該國有石油公司的資產,並與委內瑞拉反對派領導人舉行了第一次面對面會談
https://www.nytimes.com/…/pence-guaido-venezuela-colombia.h…
*【孟加拉劫機事件 歹徒被擊斃】
一名乘客在客機起飛後挾持駕駛艙,迫使飛機緊急降落。該國特種部隊在首都達卡的機場擊斃了這名劫機者。
https://www.nytimes.com/…/bangladesh-plane-hijacking-biman-…
*【沒有主持人的奧斯卡頒獎典禮收視】
奧斯卡的收視率多年來首次增長,但它仍然是自1974年以來的第二低。
https://www.nytimes.com/…/business/media/oscars-tv-ratings-…
*【奧斯卡影評人在《綠皮書》中看到了好萊塢的一個老故事】
好萊塢因長期排斥婦女和少數民族而備受指責,首次承認非裔美國人的生產設計和服裝大師。美籍亞裔電影人獲得了榮譽。一部關於一個同性戀搖滾明星的電影收集了四座大獎。
https://www.nytimes.com/…/green-book-spike-lee-reaction.htm…