The Purge ซีซั่น 2 (สามารถดูได้ใน Prime Video)
• เห็นรีวิวบอกซีซั่น 1 ห่วยแตกมาก แต่คนชมซีซั่น 2 กันเยอะ เลยข้ามมาดูซีซั่น 2 เลย ซึ่งประทับใจมาก ดูดีกว่าตอนทำเป็นหนังอีก
• ซีรีส์มันพุ่งเป้าไปที่ระบบและการฉ้อฉล เสียดสีรัฐบาลในโลกปัจจุบันที่ปกปิดความผิดพลาดของตัวเองได้ดี
• การชำระบาปเกิดขึ้นด้วยแนวคิดที่เชื่อว่า หากปล่อยให้อาชญากรรมถูกกฎหมายสักคืนนึง คนจะลดความเกลียดชัง/ความโกรธ/ความกลัว คนจะรู้สึกดีขึ้นจนทำให้อาชญากรรมลดลง
• แต่ซีรีส์นำเสนออีกด้านด้วยงานวิจัยว่าคืนชำระบาปกลับส่งผลเป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นให้คนก่ออาชญากรรม เสพติดความรุนแรง อยากออกไปฆาตกรรมอีก และมีความเชื่อผิด ๆ แถมแนวคิดการให้คนเป็นพระเจ้าพิพากษาชีวิตคนอื่นยังเกิดผลเสียเลวร้ายต่อจิตใจระยะยาวด้วย
• ดู ๆ ไปก็เหมือนเป็นซีรีส์ต่อต้านโทษประหาร โดยเฉพาะโทษประหารที่คนพิพากษากันเองขึ้นมา เรามีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจชีวิตคนอื่น
• ความเลวร้ายในซีรีส์คือรัฐบาลรู้ผลเสียอีกด้านแต่เลือกจะปกปิด ละเมิดกฎหมายที่ตัวเองเขียนเพื่อรักษาความชอบธรรมเอาไว้ต่อ คุ้นเนอะ
• Eye in the sky จึงเป็นการละเมิด privacy เพื่อ security แต่ไม่ใช่ความปลอดภัยของประชาชน แต่เป็นความปลอดภัยของอำนาจรัฐ ซึ่งประชาชนดันมอบความไว้วางใจให้อีก
• แอ็คชั่นยุทธวิธีของตำรวจใน The Purge ยังดูสมจริงยิ่งกว่าใน Treadstone อีก พวกการยิงคุ้มกันตอนเปลี่ยนซองกระสุน, การชี้ทิศเป้าหมาย, การยิงเป็นแถวตอนลึก อะไรเงี้ย
• ชอบ Joel Allen คนที่แสดงเป็นนักศึกษาเสพติดการฆาตกรรม วิธีแสดงดูลุกลี้ลุกลนดี ฮ่าๆๆ
• ซีรีส์สนุกดีนะ วางโครงเรื่องแบบ คืนชำระบาป > เหตุการณ์ในช่วง 1 ปี > แล้วปิดด้วยคืนชำระบาปปีต่อมา ที่เป็นการเคลียร์ทุกปัญหาของปีก่อน
-------------------------------------
ถึงซีรีส์จะเล่าหลายกลุ่มตัวละครแต่ความเชื่อมโยงในทางใดทางหนึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องมันยังเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน แกนหลักคือ 'เอสเม่' (Paola Nunez) ในฐานะคนทำงานภายในองค์กร NFFA ที่ตั้งข้อสังเกตว่าระบบฉ้อฉล ซีรีส์หยิบเอาผลกระทบจากการชำระบาปมาเล่าผ่าน 2 ตัวละครคือ 'มาร์คัส' (Derek Luke) หมอที่ถูกตั้งค่าหัว เขาเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องการชำระบาปและพยายามดำเนินชีวิตด้วยสันติวิธี ส่วนอีกคนคือ 'เบน' (Joel Allen) นักศึกษาขี้กลัวที่เอาตัวรอดจากการถูกฆาตกรรมได้ด้วยการแทงกระหน่ำคนร้ายไม่ยั้ง เขาพลิกจากนักศึกษาธรรมดามาเป็นฆาตกรต่อเนื่องนอกคืนชำระบาปทันที ทั้งสองคนนี้คือตัวแทนของการต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อจาก NFFA
.
NFFA พยายามโน้มน้าวสังคมให้เห็นข้อดีของคืนชำระบาปว่าสามารถขจัดความโกรธออกไปจนหมดสิ้น แต่จริง ๆ แล้วทุกคนล้วนยังคงเก็บโกรธ/เกลียด/กลัว อยู่เหมือนเดิม สังคมที่ควรจะปลอดภัยกลับอันตรายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐเป็นฝ่ายฉ้อฉล ละเมิดกฎของตัวเองเพื่อรักษาความชอบธรรมเอาไว้ ใช้อำนาจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้ เอากลับมาทำร้ายสังคมด้วยการปกปิดข้อเท็จจริง ปิดปากคนที่พยายามเปิดหูเปิดตาประชาชน ซึ่งยิ่งทำให้ระบบเน่าเฟะขึ้นไปอีก ใน The Purge ซีซั่น 2 จึงเหมือน ๆ เป็นซีรีส์ที่พูดถึงการสู้กับระบบโดยตรง
.
มันมีตัวละครอย่าง 'ไรอัน' (Max Martini) อดีตตำรวจสุจริตที่ถูกองค์กรหักหลังจึงกลายมาเป็นโจรปล้นในคืนชำระบาป (ถูกกฎหมายนะ) ซึ่งเป็นคนเดียวในเรื่องที่ทำให้ซีรีส์ดูกลายเป็นหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ มีการวางแผนปล้นไม่ต่างจากหนังอาชญากรรมเดือด ๆ แถมตัวละครยังน่าเอาใจช่วยอีกต่างหาก เพราะเนื้อแท้เขาเป็นคนดีที่ต้องออกมาสู้กับระบบฉ้อฉลในองค์กรตำรวจ ดังนั้นเมื่อเขารับรู้ความฉ้อฉลของ NFFA จึงไม่แปลกใจที่ตัวละครนี้จะเลือกข้างที่ถูกต้อง
.
ภายใต้เนื้อเรื่องที่เข้มข้น ซีรีส์ยังคงเสน่ห์ของ The Purge ไว้ครบถ้วน ทั้งความหวาดระแวงว่าตัวเองจะถูกฆาตกรรม, การออกล่าในคืนชำระบาปแบบหนังไล่เชือด, และความโรคจิตของตัวละครที่มีกิมมิคภายใต้หน้ากากต่าง ๆ นานา ซึ่งทำให้ซีรีส์ยังคงเป็นตัวเองพร้อมสายตาการเล่าเรื่องที่ไม่ได้มาเล่น ๆ กันเลยทีเดียว
Creator: James DeMonaco (คนเขียนบท The Purge ทุกภาค)
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 40 นาที)
B+
#หนังโปรดxซีรีส์AmazonPrimeVideo
「หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo」的推薦目錄:
- 關於หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook
- 關於หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook
- 關於หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook
- 關於หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 aya cash的推薦與評價,PINTEREST ... - 汽車維修保養推薦指南 的評價
- 關於หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 the man in the high castle-在PTT/IG/網紅社群上服務品牌流行穿搭 ... 的評價
หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
The Boys ซีซั่น 2 (สามารถดูได้ใน Prime Video)
• จากซีซั่นแรกเราให้เกรด A+ มาในซีซั่นนี้ถือว่าน่าผิดหวังมาก ซีซั่นก่อนคือเลเวลติดงอมแงมหยุดดูไม่ได้ พอดูจบโคตรอยากให้ทำซีซั่นต่อเร็ว ๆ แต่พอซีซั่น 2 มาคือฟีลแบบดูพักดูพัก พอถึงตอนจบก็เฉย ๆ ละ ไม่ได้ถึงขั้นอยากดูต่อ
• ชอบความชัดเจนของประเด็นในซีซั่นแรกมากกว่า ภายใต้ฉากหน้าความเหี้ยห่าระยำตำบอน มันซ่อนการพูดถึงฉากหน้าสร้างภาพเป็นคนดีปกป้องประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้วเบื้องหลังต่ำทรามสุด ๆ ซึ่งการสร้างภาพแบบนี้มันน่ากลัวมากกว่าการเห็นซูเปอร์ฮีโร่เอาพลังไปยึดอำนาจให้คนจำนนด้วยความกลัว เพราะอันตรายที่แท้จริงคือการสร้างโฆษณาชวนเชื่อต่อเนื่องจนประชาชนพร้อมสนับสนุนทุกอย่าง กลายเป็นอำนาจที่ผู้คนยินยอมมอบให้ด้วยความเต็มใจ โดยมองไม่เห็นภัยร้ายแท้จริงที่ถูกปกปิดอยู่ลับหลัง
• ซีซั่นนี้เลยยังคงเป็นเรื่องของกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ที่พยายามเปิดโปงความชั่วร้ายของบริษัทซูเปอร์ฮีโร่ เริ่มปรากฏด้านลบของฮีโร่ออกมาต่อสาธารณชน ฮีโร่จะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อประชาชนยังคงมีความนับถือ
• ไม่ค่อยชอบรายละเอียดฉากจนดูไม่สนุกไปเลย ฝั่งพระเอกนี่ยิ่งดูยิ่งสงสัยว่าตกลงโดนหมายจับกันจริงหรือเปล่า / อาคารวอทนี่เข้าออกง๊ายง่ายสำหรับพระเอก / บทจะปีนกำแพงลักลอบเข้าไปก็ดูไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่บิ๊ว / ยิ่งตอนแอบเข้าโรงพยาบาลนี่อิหยังวะมาก ๆ / หรือฉากของแบล็กนัวร์นี่อ่อนตามคู่ต่อสู้เหรอ / ฉากไล่ล่าวายร้ายซูปคือฝ่ายฮีโร่ทำคนตายล้วน ๆ จะพร้อมใจปิดปากพยานได้ขนาดนั้นเชียว / หรือแบบหนีฉลาม เข้าไปไล่กันในท่อระบายน้ำ นี่ก็ดูงานกำกับตัดต่อถ่ายกันมั่วมาก / ยิ่งฉากคิมิโกะสู้กับน้องกลางเมืองแล้วรถแก๊งพระเอกขับมารับโดยที่สู้กันเหมือนเมืองร้างนี่ตลกในความเฉิ่มเชยมาก
• พอกระจายเล่าหลายตัวละครแยกออกจากกัน ยิ่งเห็นความไม่เนียนในการเชื่อมโยงเข้าหากัน จริง ๆ บางตัวละครแทบโดดออกไปแบบไม่ใส่มาก็ไม่มีผลอะไรด้วยซ้ำ เหมือนต่อยอดผลกระทบจากซีซั่นแรกมากกว่าให้คนดูยังผูกพันกับตัวละคร เลยรู้สึกพล็อตมันไม่คมเหมือนซีซั่นแรกที่เล่าหลายตัวละครเหมือนกันแต่ยังเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอยู่
• ทำไมสตาร์ไลท์ เปลี่ยนคอสตูมนะ อันนี้สงสัยเฉย ๆ
• เตือนก่อนเลยว่าช่วงแรกเนือยมาก อุตส่าห์ลุ้นช่วงท้ายว่าจะพีคแบบที่คนเขาตื่นเต้นกันก็ปรากฏว่าเฉย ๆ โคตร
-------------------------------------
ซีซั่นนี้เปิดมาด้วยการที่แก๊ง The Boys กลายเป็นผู้ต้องหาที่ทางการต้องการตัว 'บิลลี่' (Karl Urban) ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่ารองประธานบริษัทวอท ส่วน 'ฮิวอี้' (Jack Quaid) ก็วางแผนหาทางเอาคอมพาวด์วีออกมาจากบริษัทเพื่อไปให้สื่อใช้เปิดโปง ส่วนฝั่งฮีโร่ก็ได้สมาชิกใหม่คือ 'สตอร์มฟรอนท์' (Aya Cash) แล้วซีซั่นนี้จะได้เห็น 'โฮมแลนเดอร์' (Antony Starr) แสดงความรักต่อลูกชายของตัวเองในแบบของเขาด้วย
.
จุดหลัก ๆ ที่ไม่ค่อยสนุกกับซีซั่นนี้คือเล่าไม่ลื่นไหลและไม่ได้บันเทิงเหี้ยห่าสักเท่าไร อย่างที่เกริ่นตอนแรกคือรายละเอียดหลายฉากมันไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก กลุ่มตัวเอกโดนหมายหัวแต่ไปไหนมาไหนกันชิลล์เหลือเกิน บางฉากสู้กันกลางเมืองตึกพังยังชิลล์กันเฉย หรือฉากที่สตอร์มฟรอนท์ถล่มตึกนี่ยิ่งตลกเมื่อดูความเสียหายและการปิดปากพยานเป็นร้อยคน แล้วการรักษาความปลอดภัยของตึกวอทที่เป็นของซูเปอร์ฮีโร่คือแบบเข้าง่ายออกง่ายเดินในตึกสะดวกเหลือเกิน ตัวโฮมแลนเดอร์เองก็ตลก ในขณะที่เราเห็นสตอร์มฟรอนท์ไปหาแก๊งตัวเอกง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่ง GPS แต่โฮมแลนเดอร์เสียเวลาไปฆ่าตำรวจเงี้ย มันมีฉากที่ดูแล้วบ้ง ๆ น่าหงุดหงิดเยอะไปหมดทุกตอนจนไม่สนุก
.
ชอบการเปลี่ยนแปลงของตัวละครในซีซั่นแรกมากกว่า อันนั้นมันชัดและมีความเป็นมนุษย์ แต่ซีซั่นนี้ตัวละครแข็งกันเหลือเกิน บท เดอะ ดีพ, เมฟ, เอเทรน แทบจะเรียกว่าเดาฉากต่อไปกันได้หมด แต่ก็เป็นซีซั่นที่ทำให้เห็นภาพดีว่าบิลลี่คือโฮมแลนเดอร์เวอร์ชั่นไม่มีพลังอำนาจ แล้วการมีอำนาจของซูเปอร์ฮีโร่ก็สมควรจะต้องถูกควบคุมจากรัฐสภาเหมือนกัน จะใช้การอวดอ้างว่าเป็นคนดีทำความดีเพื่อให้คนรักอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการตรวจสอบควบคุมที่มีประสิทธิภาพและอยู่ใต้กฎหมายด้วยเหมือนกัน
Creator: Eric Kripke
8 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 60 นาที)
B
#หนังโปรดxซีรีส์AmazonPrimeVideo
หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
The Man in the High Castle ซีซั่น 1 (สามารถดูได้ใน Prime Video)
• ลังเล B+ กับ A- อยู่พอสมควร หลายอย่างในซีรีส์มันดีเกินจะเป็นเกรด B แต่หลายอย่างก็เฉิ่มจนไม่น่าเป็นเกรด A อย่างไรก็ตามพอลองมองรวม ๆ แล้วก็เอนเอียงมาทาง A- มากกว่า
• เรานิยามว่าเป็นซีรีส์สายลับชิงเหลี่ยมต่อสู้ทางการเมืองระหว่างนาซีกับญี่ปุ่น โดยมีกลุ่มต่อต้านเป็นตัวขับเคลื่อนพล็อตไซไฟจักรวาลคู่ขนาน
• การต่อสู้ภายในฝั่งนาซีดูจะเป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคม เต็มไปด้วยความหวาดระแวงว่าจะโดนแทงข้างหลัง ส่วนฝั่งญี่ปุ่นเซ็ตตัวละครขึ้นมามีอุดมการณ์หนักแน่น แม้กระทั่งยากูซ่าก็เถอะ เวลาเล่าเลยดูจับต้องได้ทั้งสองฝั่ง
• ไม่ค่อยซื้อไอเดียจักรวาลคู่ขนานเท่าไร คือมีหรือไม่มีก็ไม่ค่อยต่าง ซีซั่นแรกมันอาจจะยังหยิบมาเล่นไม่เยอะ ตอนดูเลยนึกถึงแนว What if แบบ For All Mankind ที่ตั้งต้นว่าสหภาพโซเวียตเหยียบดวงจันทร์ได้ก่อนสหรัฐอเมริกาแล้วโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร
• ส่วนของ The Man in the High Castle คือถ้าฝ่ายอักษะชนะสงคราม อเมริกาเลยโดนแบ่งเป็นสองส่วน จักรวรรดิญี่ปุ่นและนาซีเข้าปกครองและมีอิทธิพลเหนือคนท้องถิ่น ซึ่งคนผิวขาวกลายเป็นคนชายขอบไปเลย และจากโลกเสรีก็กลายเป็นโลกเผด็จการควบคุม
• ตอนดูนี่นึกถึงฟีลแบบ Inglourious Basterds ที่ต้องจับผิดสายลับรอบตัวตลอดเวลา การเขียนบทก็ทำให้ตัวละครดูฉลาดแบบมีชั้นเชิงดี (สังเกตการเสิร์ฟกาแฟงี้, หรือวางแผนซ้อนแผน)
• ยกให้เป็นซีรีส์ที่ของหล่นเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ เดี๋ยวปืนหล่น รูปหล่น สร้อยหล่น มีอะไรก็หล่น ยอมใจเลย
• ซีรีส์ออกแนวแสดงให้เห็นว่าถ้านาซีเรืองอำนาจจะมีผลอย่างไร แค่เป็นคนพิการหรือป่วยหนักก็ต้องถูกฆ่าทิ้งแบบไม่มีข้อยกเว้น
• อาวุธของเผด็จการคือทำให้คนโทษกันเอง เช่น เผด็จการสังหารครอบครัวนาย A แทนที่นาย A จะด่าเผด็จการกลับเลือกด่านาย B ที่ปิดบังข้อมูล
• มันเลยทำให้ช่วงต้นเรื่อง ประโยคแบบ คนชั่วจะได้ชัยชนะเมื่อคนดีนิ่งเฉย มีพลังขึ้นมา อารมณ์แบบมีความสุขได้เท่าที่รัฐอนุญาตให้มี
• อันนี้ขำ ๆ พอตัวละครญี่ปุ่นกับเยอรมันพูดอังกฤษบนแผ่นดินอเมริกากันหมดแล้วแอบตลกนิดนึง เข้าใจได้แหละว่าซีรีส์แนวนี้ไม่เน้นเรื่องความสมจริงเรื่องภาษาสื่อสารมากนัก
• ซีรีส์สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ Philip K. Dick เจ้าพ่องานเขียนไซไฟที่ถูกดัดแปลงเป็นหนังดังเพียบ เช่น Blade Runner, Minority Report, Total Recall, The Adjustment Bureau, Next, Paycheck และอีกเพียบ
-------------------------------------
ในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองสหรัฐฯ ฝั่งตะวันตก 'จูเลียนา' (Alexa Davalos) ได้รับม้วนฟิล์มจากน้องสาวที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ก่อนที่น้องสาวจะถูกทหารญี่ปุ่นยิงตายกลางถนนต่อหน้าต่อตา เธอแอบเปิดฟิล์มดูแล้วก็ต้องตกใจว่าฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงครามโลกครั้งที่สอง เธอไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็พยายามจะทำตามจุดหมายของน้องสาวให้สำเร็จ นั่นคือการเอาฟิล์มไปส่งที่โซนกลาง(แดนกันชนระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกของนาซี) ซึ่งพอไปถึงโซนกลาง เธอก็บังเอิญรู้จักกับ 'โจ เบลค' (Luke Kleintank) ฝ่ายต่อต้านที่ต้องมาส่งม้วนฟิล์มด้วยเหมือนกัน
.
ชอบตัวละครเกือบทุกตัวในเรื่องมาก ตัวหลัก ๆ ไม่มีตัวไหนแบนเลย อย่างโจ เบลค ก็มีพัฒนาการตลอดทาง ด้วยความเป็นคนหนุ่มที่ต้องการใครสักคนมาเชื่อมั่นในตัวเอง อยู่ในช่วงหลงทิศหลงทาง มันเลยทำให้เกิดความขัดแย้งเส้นเรื่องความรักสามเส้าด้วย เพราะเขาตกหลุมรักจูเลียนา ที่คบหาอยู่กับ 'แฟรงค์' (Rupert Evans) ซึ่งแฟรงค์ก็มีพัฒนาการจากคนอยู่เป็น ค่อย ๆ มีความแค้นและเข้าใจการต่อสู้ของฝ่ายต่อต้าน หลัก ๆ มีแกนกลางเป็นหญิงสาวที่รัก จะว่าไปเส้นเรื่องความรักก็เป็นตัวผลักดันเรื่องไปข้างหน้าได้ดีกว่าที่คิด โรแมนติกแบบไม่ยัดเยียดและมีพลังในการเสริมเรื่องให้แข็งแรง
.
ตัวละครอื่น ๆ อาจจะไม่ได้มีพัฒนาการก้าวหน้า แต่ความไม่แบนคือมิติการตัดสินใจและความลึกของอารมณ์ เราจะได้เห็น 'จอห์น สมิธ' (Rufus Sewell) หน่วยเอสเอสที่ต้องทำงานของตัวเองในการปราบฝ่ายต่อต้านพร้อมกับหาหนอนบ่อนไส้ในหมู่คนใกล้ชิด มีหลายฉากที่เขาต้องเลือกตัดสินใจ เอากฎเป็นที่ตั้งหรือจะใช้อารมณ์ตัวเอง ทั้งเรื่องเพื่อนรักมีเหตุผลในการเป็นสายลับ หรือการปิดบังลูกชายของตัวเอง ฝั่งญี่ปุ่นเองก็มีตัวละครหลายตัวที่มีเหตุผลในการทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อปกป้องจักรวรรดิไม่ให้ล่มสลาย แล้วตัวละครมีอุดมการณ์หนักแน่นสมเกียรติกันหมด
.
นอกนั้นก็ชอบเส้นเรื่องของทั้ง 3 ฝ่าย ตัวละครดูมีเหลี่ยม มีเขี้ยวเล็บทันกันหมด คอนเซ็ปต์หลักก็ดูดี อาจจะมีรายละเอียดเฉิ่ม ๆ บ้างที่เราไม่ค่อยชอบ เช่นพวกของขยันหล่นหรือความบังเอิญบทส่งเป๊ะ ๆ บ่อยไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วพอดูจนจบก็ไม่ติดขัดอะไร รายละเอียดที่เล่าระหว่างทางถูกนำมาใช้เรื่อย ๆ จนแทบไม่มีจุดบกพร่อง ปริศนาก็กึ่ง ๆ มีเฉลยภายในซีซั่น (จบซีซั่นแบบชวนดูต่อแบบมีอะไรให้ขยายได้อีก) อาจจะเดินเรื่องเอื่อยไปนิด ไม่ได้มาแนว fast paced อาศัยค่อย ๆ บิ๊วไปเรื่อย ๆ
.
ลองดูกันได้เน้อ
Creator: Frank Spotnitz
Based on The Man in the High Castle by: Philip K. Dick
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 55 นาที)
A-
#หนังโปรดxซีรีส์AmazonPrimeVideo
หนังโปรดxซีรีส์amazonprimevideo 在 the man in the high castle-在PTT/IG/網紅社群上服務品牌流行穿搭 ... 的八卦
หนังโปรด ของข้าพเจ้า ... เชียร์ซีรีส์ Netflix กับ HBO GO ไปหลายเรื่องแล้ว คราวนี้ถึงค. ... and Frank Spotnitz (The X-Files), The Man in the High . ... <看更多>