Alice in Borderland (สามารถดูได้ใน Netflix)
• ไม่ได้ดูซีรีส์สนุกระดับดูรวดเดียว non-stop มาสักพักใหญ่แล้ว บางเรื่องคุณภาพดีก็จริงแต่ไม่ใช่เลเวลดูรวดเดียวโต้รุ่งแบบนี้
• ซีรีส์มันเป็นส่วนผสมของเกมเอาตัวรอด ที่มีทั้งเกมใช้ไหวพริบแบบหนัง Escape Room ที่ไม่ได้เว่อร์วัง, ภารกิจร่วมมือกัน, เกมที่ต้องใช้พละกำลังเข้าช่วย, แม้กระทั่งการบดขยี้จิตใจคน พอเฉลี่ยเล่าออกมาสมดุลเลยชวนติดตามมาก โดยเฉพาะ 2 ตอนแรกที่เปิดมาแบบชวนลุ้นสุดตื่นเต้นไปเลย
• บางจุดของซีรีส์ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไร แต่อยู่ในระดับปล่อยผ่านได้ เช่นการเข็นมอเตอร์ไซค์หนัก ๆ วิ่งเกือบจะเป็นมินิมาราธอนในเวลาจำกัดเนี่ย และในเกมเดียวกันนั้นยังมีฉากที่ดูลุ้นจริงแต่ก็แอบเกินจริงด้วยเหมือนกัน
• ฉากแอ็คชั่นค่อนข้างดีเลย โดนเฉพาะเมื่อเน้นจุดขายเป็นจังหวะเท่ ๆ
• ตัวละครหลักมีเล่าพื้นเพย้อนหลังกันเกือบทุกคน มากน้อยหนักเบาแตกต่างกันไป แต่อยู่ในระดับที่พอจินตนาการต่อได้ว่าทำไมแต่ละคนมาถึงจุดนี้
• ตอนสุดท้ายย้วยไปพอสมควร อารมณ์ว่า 7 ตอนแรกเร่งเครื่องมาแรงมาก พอเข้าตอนจบดันผ่อนเพื่อเฉลยปริศนาของซีซั่นแรกและปูทางพร้อมสำหรับซีซั่นต่อไป
-------------------------------------
ชอบตั้งแต่เปิดตอนแรกมาเลย พล็อตถูกนำเสนออย่างรวดเร็วด้วยไอเดียว่าเพื่อนสนิท 3 คน อยู่ดี ๆ โผล่มาในโลกที่ผู้คนเหลืออยู่เพียงน้อยนิดแล้วต้องมาแข่งเกมตอนกลางคืนเพื่อต่ออายุตัวเองออกไป ถ้าใครอยากรอดต้องแข่งขันเอาชนะเกมที่มีความยากแตกต่างกันออกไป ที่ชอบคือเปิดมาตอนเดียวมันเคลียร์ทุกอย่างที่คนดูควรจะรู้ แล้วค่อยไปขยายอาณาเขตการเล่าเรื่องออกไปเรื่อย ๆ แบบโลกแห่งการเอาชีวิตรอด ข้อดีคือขยายแล้วไม่ออกทะเล แถมยังเข้มข้นขึ้นและเปิดให้คนดูได้เลือกตัวละครขวัญใจใหม่ ๆ เพิ่มเติมอีกต่างหาก
.
รู้สึกว่าเกมในเรื่องมันไม่เว่อร์จนเกินไปเลยดูสนุกดี เปิดมา 2 ตอนแรกทั้งเกมเลือกประตูห้องเพื่อหาทางออก กับเกมต่อมาคือวิ่งไล่จับหนีตาย มาแนวระทึกขวัญมันมาก คนกำกับเก่งในการเล่นกับจังหวะเดิมพันด้วยเวลาและความสามารถตัวละคร เพียงแต่ต้องอย่าคาดหวังว่าเกมจะมาสไตล์นี้เลเวลนี้ทั้งหมด เพราะความยากถูกแบ่งเป็น 10 ระดับ ที่มีถึง 4 แนวเกม ซึ่งเกมหลัง ๆ จะไม่ได้มาโทนตื่นเต้นขนาดนี้แล้ว แต่จะมีทั้งเกมบดขยี้บั่นทอนจิตใจ และเกมใช้ไหวพริบที่บางคนอาจจะตอบได้แต่สถานการณ์พลาดถึงตายก็ทำให้ลุ้นสุด ๆ ได้อยู่
.
ครึ่งแรกกับครึ่งหลังน่าจะเป็นอีกจุดที่ชอบในแง่การดันเพดานของซีรีส์ให้ใหญ่ขึ้นแบบไม่ออกทะเล มันไม่น่าแปลกใจที่จะมีการรวมกลุ่มก้อนเพื่อหาคำตอบของความลึกลับ และต้องมีการปกครองด้วยกฎที่สังคมร่วมกันสร้างขึ้นมา ความสนุกของช่วงครึ่งหลังคือตัวละครอื่น ๆ นอกเหนือจากคู่พระนางเริ่มมีบทบาทกันมากขึ้น ทั้งตัวร้าย, ตัวเหลี่ยมจัดและคนบทบาทน้อยแต่คาแรคเตอร์กระชากใจที่พาเหรดกันปล่อยของออกมา แถมคนที่ยังมีชีวิตรอดก็อาจจะมีบทบาทเพิ่มเติมในซีซั่นต่อไปได้อีก โดยที่เราผูกพันกับคนเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
.
ดูจบแล้วได้แต่ลุ้นว่าซีซั่น 2 โอมจงมาไว ๆ ด้วยเถิด
Creator: Shinsuke Sato (ผู้กำกับ I Am a Hero)
8 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
A-
#หนังโปรดxซีรีส์Netflix
「หนังโปรดxซีรีส์netflix」的推薦目錄:
หนังโปรดxซีรีส์netflix 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
Breaking Bad (สามารถดูได้ใน Netflix)
• เซอร์ไพรส์มาก คือเป็นซีรีส์อาชญากรรมค้ายาไอซ์ แต่น้ำเสียงในการเล่ามันเรียบสงบ แถมดูใคร่ครวญถึงความหมายของชีวิตไม่แพ้หนังดราม่าเพียว ๆ เลย
• ชอบความที่ตัวละครส่วนใหญ่ทำลายกำแพงความปกติของตัวเองไปสู่ความเลว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนเบื้องหลัง
• ในฐานะคนไม่เคยเรียนเคมี ดูแค่ตอนแรกตอนเดียวก็อยากเรียนเคมีเลยแฮะ เป็นซีรีส์อาชญากรรมที่จ๊าบกว่าใครตรงที่เรื่องอื่นใช้มีดใช้ปืน ใช้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว แต่เรื่องนี้ใช้ความรู้ทางเคมีล้วน ๆ
• แน่นอนว่าวิทยาศาสตร์หลายอย่างนี่ช่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ เช่นกรดละลายเซรามิกได้ แต่ไม่ละลายพลาสติกบางชนิด หรือก้อนผลึกเล็ก ๆ สามารถระเบิดตูมได้อย่างฉับพลัน
• ชอบการเล่าบางตอนที่เอาไคลแม็กซ์ของตอนมาขายก่อน แล้วค่อยเล่าย้อนหลัง มันชวนติดตามมาก ๆ เช่นตอนแรกเปิดมาด้วยความโกลาหล หรือตอน 6 ที่เปิดด้วยไบรอัน แครนสตัน หัวโล้นมาเชียว
• สิ่งที่เราคิดว่า Breaking Bad ทำได้ดีอีกอย่างคือในซีซั่นเดียวมันเล่นหลายช่วงเวลา แตะได้ทั้งเรื่องครอบครัว, มะเร็งและอาชญากรรม
• และยังเป็นซีรีส์ที่มีอารมณ์ขันเบา ๆ แทรกมาให้คนดูได้หัวเราะเป็นครั้งคราวด้วย
-------------------------------------
เพิ่งได้มาดูซีซั่นแรกเพราะไม่รู้จะดูอะไรเลยลองดูซีรีส์คะแนนดี ๆ สักหน่อย ค่อนข้างเซอร์ไพรส์มากอย่างที่บอก ตั้งใจว่าจะมาดูแนวอาชญากรรมมาเฟียแบบเน้น ๆ ดันกลายเป็นว่าโทนน้ำเสียงในการเล่ามันไม่ได้โครมครามสักนิดเดียว ส่วนใหญ่ค่อนข้างสงบจนน่าตกใจ แม้กระทั่งฉากฆาตกรรมก็เถอะ ตัวละครค่อย ๆ เทิร์นจากความเป็นคนปกติในกรอบสังคม ข้ามเส้นไปสู่อาชญากรรมและเรื่องผิดกฎหมาย มีทั้งสถานการณ์บังคับให้ต้องทำและการไตร่ตรองว่าต้องทำ ซึ่งเราอาจจะเห็นแค่ตัวเอกเท่านั้นที่มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจน แต่ตัวละครอื่น ๆ ก็สามารถเข้าร่วมธีม Breaking Bad ของตัวเองแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
.
ซีรีส์เล่าถึง 'วอลเตอร์ ไวท์' (Bryan Cranston) ครูสอนวิชาเคมีในโรงเรียนระดับมัธยม ที่อยู่ดี ๆ ก็พบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอด ในช่วงที่ภรรยากำลังคลอดลูกอีกคน ส่วนลูกชายก็อยู่ในภาวะสมองพิการ (cerebral palsy) และการเงินมีปัญหาไม่พอค่ารักษาพยาบาล ในเวลานั้นเองเขาก็บังเอิญรู้ว่า 'เจสส์ พิงค์แมน' (Aaron Paul) อดีตลูกศิษย์ของตัวเองเป็นคนขายยาที่หุ้นส่วนเพิ่งถูกปปส.รวบตัวไป ครูไวท์จึงเสนอตัวเป็นคนผลิตยาแทน นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Breaking Bad ที่ตลอด 7 ตอนจะพาไปสำรวจเส้นทางของทั้งคู่ในวงการค้ายาไอซ์
.
ชอบที่ธีม Breaking Bad นี่แตะไปถึงตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องกันหมด เราจะเห็นน้องภรรยาที่ติดนิสัยชอบขโมยของ, เห็นปปส.ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเล็กน้อยเพื่อสูบซิการ์จากคิวบา, เห็นลูกชายตัวเองฝากคนซื้อเบียร์ทั้งที่อายุยังไม่ถึง, เห็นกระทั่งเด็กที่ลองกัญชาโดยเชื่อว่ามาจากปัญหาในครอบครัว ทุกตัวละครมีจุดให้ตั้งคำถามว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งเราเชื่อว่าสามารถอธิบายในเชิงจิตวิทยาจริงจังได้หมด ส่วนตัวหลักอย่างวอลเตอร์ ไวท์ พอใกล้ชิดความตายจึงสามารถเทิร์นตัวเองได้แบบไม่มีอะไรจะเสีย เอาครอบครัวมาอ้าง เอาเรื่องเงินมาอ้างให้ตัวเองทำผิดกฎหมายโดยรู้สึกผิดน้อยลง
.
จริง ๆ อีกจุดที่ซีซั่นแรกน่าสนใจคือไวท์ดูจะเป็นคนผลักดันพิงค์แมนให้ทะเยอทะยานขึ้นกว่าเดิม (ผลิตให้เยอะขึ้น หาวัตถุดิบมากขึ้น เลิกขายปลีกแล้วไปขายส่ง กล้าเข้าถ้ำเสือ) ซึ่งมันมีอีกปมของไวท์ที่ซีซั่นแรกเล่ายังไม่หมด คือเราเห็นแล้วล่ะว่าไวท์เก่งด้านเคมีขนาดไหน ถึงขนาดผลิตยาไอซ์บริสุทธิ์ได้ขนาดนั้น ใครลองก็ต้องทึ่ง แล้วยังสามารถใช้ความรู้ทางเคมีทำอะไรได้มากมาย แต่เราก็สงสัยว่าทำไมเขาจึงกลายเป็นแค่ครูสอนระดับมัธยม ฉากงานเลี้ยงเพื่อนเก่านี่คือตลกตอนที่เพื่อนเก่าอวยไวท์เยอะแยะมากมายจนคนฟังถามว่าสอนมหาวิทยาลัยไหน มันตลกที่ดูระดับความสามารถของเขาน่าจะประสบความสำเร็จไปไกลและการเงินมั่นคงได้กว่านี้ เลยเดาว่านอกจากความคลุมเครือประเด็นภรรยาเพื่อน น่าจะมีเรื่องติดเซฟโซนหรืออะไรสักอย่าง ที่พอมีความตายเข้ามาแทรกเลย Breaking Bad ไปเลย
.
ส่วนเรื่องเคมีนี่ทำให้ Breaking Bad ได้รสชาติที่หาคนเลียนแบบยากจริง ๆ ในขณะที่หนัง/ซีรีส์อาชญากรรมทั้งหลายยังติดอยู่กับแนวใช้อาวุธ ในฐานะที่เราไม่เคยเรียนเคมีและไม่ได้ศึกษาด้านนี้บอกเลยว่าอึ้งมาก ซีรีส์ฉลาดและเก่งในการพลิกแพลงหรือสร้างสถานการณ์เอื้อให้วิชาเคมีกลายมาเป็นอาวุธเอาตัวรอด หรือกระทั่งเอามาเป็นจุดขายทำเงินก้อนโต ไปไกลถึงขนาดซ่อนศพกันเลยทีเดียว (คือแบบซีรีส์เรื่องอื่นคงเอาไปฝังละ เจอพี่ไวท์ใช้เคมีกำจัดหน่อยเป็นไง) พอรสชาติมันมาทางวิทยาศาสตร์ด้วย เขียนบทสนุกด้วย เลยชอบส่วนนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ
.
เห็นว่าซีซั่นต่อ ๆ ไปยังไปไกลขึ้นอีก ไว้ดูต่อละกัน
Creator: Vince Gilligan
7 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
A
#หนังโปรดxซีรีส์Netflix
หนังโปรดxซีรีส์netflix 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
Peaky Blinders ซีซั่น 1 (สามารถดูได้ใน Netflix)
ดูแล้วคิดถึงยุคทองของหนังมาเฟียช่วงยุค 70's แน่นอนว่าโครงเรื่องหลวม ๆ ของ Peaky Blinders แทบจะถอดมาจาก The Godfather ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกที่เป็นอดีตทหารระดับได้รับเหรียญกล้าหาญที่เพิ่งกลับจากสงครามโลก พร้อมบาดแผลในใจ, พี่น้องไม่แกร่งเท่า แต่ยังมีคนอาวุโสที่ไว้วางใจได้, ต้องการเปลี่ยนธุรกิจจากผิดกฎหมายไปยังถูกกฎหมาย, แต่มีปัญหาต้องรับมือกับแก๊งอื่น ๆ มากมาย, เพิ่มเติมด้วยปัญหาจากตำรวจ เรียกว่าเปิดศึกรอบด้านแถมยังต้องรับมือกับสายลับที่ปลอมตัวมาใกล้ชิดพวกเขา ด้วยเซ็ตติ้งที่พูดถึงความขัดแย้งระหว่างอังกฤษกับกลุ่ม IRA ที่ต้องการปลดแอกไอร์แลนด์เหนือจากอังกฤษ และยังพูดถึงกลุ่มแรงงานหัวคอมมิวนิสต์ ซึ่งหลายจุดมันทำให้เซ็ตติ้งเรื่องราวมาเฟียในปีค.ศ. 1919 ช่างเข้มข้นรอบทิศจริง ๆ
.
จะว่าไปแล้วนี่เป็นหนึ่งในซีรีส์มาเฟียที่คู่ควรกับการขึ้นไปเทียบชั้นหนัง gangster สุดคลาสสิกทั้งหลาย อย่าง The Godfather 1-2, Once Upon a Time in America, และ Goodfellas แบบไม่ต้องมีข้อโต้แย้งใด ๆ ด้วยแพทเทิร์นแบบหนังมาเฟียที่คนดูได้ลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกใช้มันสมองคิดการใหญ่ เลือกสร้างสงครามและสร้างสันติกับศัตรูที่เก่งกาจและแข็งแกร่งไม่แพ้กัน เราจะได้เห็นความฉลาดของ 'โธมัส เชลบี้' (Cillian Murphy) หัวหน้าแก๊งพีคกี้ ไบลน์เดอร์ ในการตัดสินใจที่ยากเย็นและเด็ดขาด หมากที่เขาคิดไว้อย่างเฉียบแหลมไม่ได้เดินตามแผนเป๊ะ ๆ เพราะมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุม เช่น ความหัวดื้อของ 'เฟรดดี้' (Iddo Goldberg) หัวหน้ากลุ่มปลุกระดมคอมมิวนิสต์ที่ตำรวจต้องการตัว, หนอนบ่อนไส้ที่อยู่ใกล้ตัว, ความพูดมากของ 'อาร์เธอร์' (Paul Anderson) พี่ชายของเขา, หรือปัจจัยจากเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะทำให้มีปัญหากับพวกอิตาเลียน พอมีอะไรต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดทางเราเลยชอบซีรีส์เรื่องนี้มาก แม้จะรู้สึกอย่างหนึ่งว่าโธมัสมองขาดทุกอย่าง แต่ดันตกม้าตายมองอะไรง่าย ๆ ใกล้ตัวไม่ออก
.
ส่วนตัวเป็นแฟนคลับของสตีเฟน ไนท์ ผู้สร้าง Peaky Blinders แต่ด้วยความที่สมัยก่อนไม่ค่อยดูซีรีส์เลยติดตามแต่งานเขียนบทหนังของเขา พอมาดู Peaky Blinders ปุ๊บต้องบอกว่านี่คือผลงานอันดับหนึ่งของเขาในแง่คุณภาพของบท ที่อาจจะไม่ได้มีประเด็นตามยุคสมัยแบบแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองใน Dirty Pretty Things. หรือภัยก่อการร้ายใน Closed Circuit, อย่างพวก Eastern Promises และ Redemption มันก็ยังพูดถึงลอนดอนด้านมืดที่มีมาเฟียต่างชาติเข้ามามีอิทธิพล แต่ Peaky Blinders คือย้อนยุคไปไกลแล้วงานบทคือละเอียดเนี้ยบแทบจะทุกเม็ด คุณภาพซีรีส์ดีกว่าตอนเขียนบทหนังเยอะมาก
.
ถ้าเป็นแฟนหนังแนว gangster อยู่แล้วก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Creator: Steven Knight
6 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 55 นาที)
A
#หนังโปรดxซีรีส์Netflix
หนังโปรดxซีรีส์netflix 在 Netflix Thailand - YouTube 的八卦
ขอต้อนรับสู่ Netflix Thailand ศูนย์รับฝากความเซ็ง แลกเปลี่ยนเป็นความฟิน ด้วยความบันเทิงเต็มพิกัดจากหนังดีๆ และซีรีส์โดนๆ ❓แล้ว YouTube ช่องนี้เค้ามีอะไ. ... <看更多>