“ทำไมคนชอบเยสด หรือกินยาต้านเอชไอวีจึงไม่ควรบริจาคเลือด”
.
หลายคนคงจะมีข้อสงสัยกันว่า เลือดที่เอาไปให้ผู้ป่วยไม่มีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรึไง ใครจะเยสด ไปเสี่ยงมา กินยาต้านอยู่ หรือมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่สามีภรรยาตัวเอง ก็ปล่อยให้เขาบริจาคไปสิ ห้ามทำไม
.
เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ จริงอยู่ ก่อนที่จะให้เลือดแก่ผู้ป่วย ทางห้องแล็บจะมีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุกถุง ไม่เว้นแม้แต่ถุงเดียว ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดในโลกที่บ้านเราใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน ก็คือการตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อเอชไอวีเลย
.
แต่ๆๆ ถึงเราจะมีเครื่องที่ดีที่สุดในโลกมันมีข้อจำกัดอยู่ว่า เครื่องนี้จะสามารถตรวจเจอเชื้อได้เร็วที่สุดเฉลี่ยประมาณ 11 วันหลังจากเรารับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
.
ผมกำลังจะบอกว่า ถ้าวันนึง ผมไปได้เสียกับคนที่มีเชื้อเอชไอวีแบบสดๆ ไม่ใส่ถุง จะได้กันทางรูไหนก็แล้วแต่ แล้วเกิดได้รับเชื้อเอชไอวีมาหมาดๆ เครื่องที่ดีที่สุดในโลกก็ตรวจไม่เจอครับ ทางการแพทย์เรียกว่าช่วง “วินโด้วพีเรียด”
ที่ตรวจไม่เจอเพราะเชื้อที่เราเพิ่งได้รับเข้าไปแค่นิดเดียวจริงๆ สมมติว่าเรารับเชื้อเข้ามาแค่ 10 ตัว เครื่องจะตรวจไม่เจอและแปลผลเป็น “ลบ” เพราะเครื่องที่ดีที่สุดก็มีข้อจำกัด คือมันมีศักยภาพในการตรวจหาเชื้อในเลือดเจอที่ 20 ตัว/ซีซี ขึ้นไป
.
ปัจจุบันนี้ยิ่งไปใหญ่ ยาต้านไวรัสเอชไอวีมันมีประสิทธิภาพดีมาก คนที่กินยาต้านเป็นประจำ ในเลือดของเขาจะมีเชื้อไม่ถึง 20 ตัว/ซีซี เพราะยามันกดเชื้อเอาไว้ สมติว่ามีเชื้อในเลือด 10 ตัวละกัน เวลาที่เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลผลตรวจก็เลยเป็นลบ แต่เขายังมีเชื้อในร่างกายนะ บางคนที่กินยาต้านอยู่มีความเลยเถิดถึงขนาดที่ว่าไปบริจาคโลหิต เครื่องมันก็ตรวจไม่เจอน่ะสิคร้าบ
แล้วผู้ที่ได้รับเลือดถุงนี้จะเป็นยังไงต่อ ทุกซีซีมีเลือดอยู่ 10 ตัว ถ้ารับเลือดไป 400 ซีซี ก็แสดงว่าได้รับเอชไอวีไป 4,000 ตัว เฮ้ออออออ
.
ตะนี้มีคนอีกกลุ่มนึงครับ อยากตรวจเอชไอวีฟรีๆ จะไปโรงบาลขอตรวจเอชไอวีก็อายเขา ก็เลยทำเนียนไปบริจาคโลหิต อะสมมติว่าเพิ่งรับเชื้อมาแค่ 2-3 วัน แบบสอบถามก่อนบริจาคโลหิตเขามีคำถามว่า คุณไปเสี่ยงมาหรือไม่ ก็เลือกที่จะตอบว่าไม่เสี่ยง พฤติกรรมแบบนี้อย่าไปทำนะครับ!!! เครื่องไหนก็ตรวจหาเชื้อไม่เจอ เพราะมันจะเจอประมาณวันที่ 11 ไงครับ แล้วเลือดคุณก็จะถูกนำไปให้เด็ก ให้ผู้ป่วยตาดำๆ สุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นเอดส์
.
อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะครับ ถ้าเรายังเยสด กินเปร๊ป กินเป๊ป หรือกินยาต้านอยู่ นั่นคือเราไม่พร้อมให้เลือดกับใคร อย่าหาทำ
ปล. นอกจากเชื้อเอชไอวี ถ้าเราเยสดเราจะได้รับเชื้ออีกมากมายที่จะถ่ายทอดให้ผู้ป่วยทางเลือดได้อีกนะครับ
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過87萬的網紅ขุนเขามีคําตอบ - Answers from Khunkhao,也在其Youtube影片中提到,จริงอยู่... ว่าการเดินลงเขาสบายๆ ย่อมง่ายกว่าการปีนเขาที่สูงชัน แต่อย่าลืมว่า "ถ้วยรางวัล" ไม่เคยถูกตั้งไว้ที่ "ตีนเขา"! -ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร- ...
「จริงอยู่」的推薦目錄:
- 關於จริงอยู่ 在 หมอแล็บแพนด้า Facebook
- 關於จริงอยู่ 在 Carabao Official Facebook
- 關於จริงอยู่ 在 โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ Facebook
- 關於จริงอยู่ 在 ขุนเขามีคําตอบ - Answers from Khunkhao Youtube
- 關於จริงอยู่ 在 Healthy Natural นานา สมุนไพร Youtube
- 關於จริงอยู่ 在 บัญชีอย่างง่าย Youtube
- 關於จริงอยู่ 在 ถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ แถวนี้แม่งเถื่อน! | บริษัทฮาไม่จำกัด(มหาชน) 的評價
จริงอยู่ 在 Carabao Official Facebook 八卦
โลกมีไว้ให้เหยียบหรือ?
โลกคือที่เกิดและเป็นที่ดับของสรรพชีวิต มีกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นและจากไปบนดาวดวงนี้ เพราะนี่คือดาวเคราะห์ที่เอื้อแก่ชีวิตทั้งหลายทั้งปวงมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ชีวิตที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไปถึงใหญ่จนอยู่บนบกไม่ได้ เพราะรับนํ้าหนักตัวเองไม่ไหว
มองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามราตรีที่แสนกว้างใหญ่ตระการตาซึ่งดารดาษไปด้วยหมู่ดาว และมักจะมีคำถามที่มากกว่าคำตอบเสมอ
มีดาวอย่างโลกเรานี้อีกไหม? มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอย่างโลกใบนี้ไหม?
ถ้าจะกล่าวว่า การเกิดบิกแบงซึ่งก็คือการที่พลังงานเริ่มเปลี่ยนเป็นสสารครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดเวลาและเอกภพ แล้วก่อนเกิดบิกแบงล่ะ? คือความว่างเปล่าหรือ? แล้วก่อนเกิดความว่างเปล่าล่ะมันคืออะไร?
ยุคโบราณนั้น ไม่คิดว่าโลกมีลักษณะกลมด้วยซ้ำไป และเชื่อกันว่าโลกคือศูนย์กลางจักรวาล ดาวทุกดวงโคจรรอบเราทั้งสิ้นแม้ดวงอาทิตย์ก็ด้วย
ความเชื่อนี้ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อใหม่ๆเสมอ เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคิดชอบเรียนรู้ เดี๋ยวนี้เราจึงรู้ว่าโลกนั้นกลม และเป็นหนึ่งในดาวบริวารของดวงอาทิตย์
แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ในความเชื่อใหม่ๆเห็นพ้องต้องกันว่าจักรวาลมีการเคลื่อนตัวตลอด แล้วจักรวาลเป็นบริวารของใคร?
กลับมาที่โลกของเรากันดีกว่าเดี๋ยวจะง่วงนอนเสียก่อนถึงเรื่องที่อยากจะพูด
เรามีคุณสมบัติพอที่จะเรียกว่าโลกใบนี้เป็นโลกของเราไหม?
โดยส่วนตัวผมแล้วถ้าเรามีคุณสมบัติพอ ก็คงไม่ต้องแก่งแย่งฆ่าฟันกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ เพราะฉนั้น นี่จึงเป็นโลกของทุกชีวิต ซึ่งหมายถึงแมลงต่างๆ จิ้งกือ ไส้เดือน หนอนแมลงสาบ เชื้อโรคทั้งหลาย และที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมายหลายสายพันธุ์
เราไม่ได้ทำสงครามแต่เพียงมนุษย์กันเองเท่านั้น แต่เราทำสงครามกับทุกสิ่งที่ขัดแย้งกับเรา
เรามีอาวุธมากมายที่ออกแบบมาไว้สำหรับใช้ในการนี้ ซึ่งหลายอย่างหาซื้อได้ตามศูนย์การค้าทั่วไป เช่นยาฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อโรคยาฆ่าวัชพืชเป็นต้น
แน่นอนว่ามีการสู้กลับเสมอมา เราจึงมักได้ยินคำว่าดื้อยา
เห็นหรือไม่ว่าชีวิตไม่ว่าเล็กแค่ไหนต้อยต่ำแค่ไหนก็ไม่อยากจากโลกนี้ไป โลกจึงเป็นสถานที่แห่งการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
ทุกชีวิตบนโลกมีวิถีการดำรงอยู่ที่ต่างกันออกไป บ้างอยู่บนพื้น บ้างอยู่ในน้ำ บ้างโบยบิน มีไม่น้อยที่อยู่ใต้ดิน อยู่แม้กระทั้งบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลลึกที่มีอุณหภูมิของน้ำสูงกว่าร้อยองศา นั่นหมายความว่าชีวิตเหล่านั้นอยู่ในน้ำเดือดได้
ชีวิตบางชนิดไม่ต้องการแม้แสงอาทิตย์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นโลกจึงเป็นสิ่งเดียวที่ให้ชีวิตพวกมัน
กลับมาที่ความเป็นมนุษย์ เรื่องของมนุษย์นั้นซับซ้อนยิ่งนัก เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการปัจจัยในการดำรงอยู่มากกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ เราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเพื่อให้เหมาะกับชีวิตเรา ไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์มือถือ เพราะมันแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและของการมีชีวิตไปแล้ว
แต่ที่กล่าวมาแล้วทั้งหลายทั้งปวง ล้วนต้องอาศัยโลกเป็นแกนหลักทั้งนั้น
โลกคือดาวดวงเดียวที่เราคุ้นเคยที่สุด และมีคุณต่อเราที่สุด ซึ่งจะว่ากันให้ถึงแก่นก็ต้องบอกว่า มีพระคุณต่อเผ่าพันธุ์ของเราอย่างไม่มีวันตอบแทนได้หมดสิ้น
ความเชื่อในหลายๆศาสนาจึงมีการกราบไหว้ฟ้าดิน นั่นไม่เพียงเป็นการเคารพยำเกรงอย่างถ่อมตน แต่เป็นการรู้คุณต่อผู้ที่ให้ทุกสิ่งแก่ชีวิตนั่นเอง
เราจึงเรียกโลกนี้ว่า “แม่” เราเรียกแผ่นดินว่า แม่เช่นกัน
จริงอยู่ ในทางตรรกวิทยา เรายืนและเหยียบย่ำอยู่บนพื้นโลก ทำทั้งสิ่งที่ดีและร้ายอย่างน่าใจหายให้กับโลกใบนี้
เราใช้จมูกหายใจ ใช้ตามองดู ใช้หูในการฟัง ใช้ปากในการกิน อย่างหลังใช้พูดด้วย โดยมีใจและสติปัญญาเป็นผู้บงการตามความเชื่อของเรา
หากโลกเปรียบได้ดั่งมารดา คนที่มีความคิดว่า “โลกมีไว้ให้เหยียบ” นั้นแปรว่าอย่างไร?
เราสร้างมลภาวะมากมายให้กับโลกใบนี้ เราจึงต้องช่วยกันเยียวยาท่านแม่กันบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
การกล่าวว่า “โลกไม่ได้มีไว้ให้แบก” จึงเป็นคำพูดของคนที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้อย่างที่สุดครับ
ติดตามได้ที่ facebook Lek Carabao Solo
อัพเดททุกวัน
#เล็กคาราบาว #LekCarabaoSolon
จริงอยู่ 在 โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ Facebook 八卦
นางสุชาดา มหาอุบาสิกา ทำบุญด้วยข้าว มธุปายาส ใส่ถาดทองคำ มูลค่าเป็นแสนเป็นล้าน มีมาแต่ครั้งพระพุทธกาล ด้วยศรัทธา ปราณีต มิได้เสียดาย อาลัย ในเงินทอง
"ความปรารถนาของนางสุชาดา"
ณ หมู่บ้านอันตั้งอยู่ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ยังมีธิดาของเศรษฐีผู้หนี่งนามว่า สุชาดาในวัยสาวนางเคยอธิษฐานต่อเทวดาอันสิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งว่า
“ถ้าข้าพเจ้าได้สามีอันมีฐานะและชาติตระกูลเสมอกันกับได้บุตรคนแรกเป็นผู้ชาย
จะกระทำบวงสรวงต่อรุกขเทวดา”
เมื่อนางได้สมความประสงค์ทุกประการในเวลาต่อมา จึงปรารถนาที่จะกระทำพลีกรรม คือบวงสรวงตามปฏิญาณหรือคำสัตย์ที่ตั้งไว้
ประวัติ นางสุชาดา (มารดาพระมหาสาวก ยสะ)
เอตทัคคผู้ถึงสรณะก่อน
นางสุชาดาเป็นธิดาของเสนียะ(เสนานิกุฏุมพี) ผู้มีทรัพย์ซึ่งเป็นนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา และเป็นมารดาของพระยสมหาสาวก.
ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ ได้มาตรัสรู้ในกรุงหังสวดี ในครั้งนั้นนางสุชาดาได้ไปฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถึงสรณะ(พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์) ก่อนอุบาสิกาทั้งปวง เมื่อนางเห็นอุบาสิกานั้นได้รับการยกย่องนางจึงปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อให้สมปรารถนาในตำแหน่งนั้น
นางเวียนว่ายอยู่ในภพเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป บังเกิดในครอบครัวของกุฎุมพีชื่อเสนียะ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด เจริญวัยแล้วได้ทำความปรารถนาไว้ ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า
“ถ้าข้าพเจ้าได้สามีอันมีฐานะและชาติตระกูลเสมอกันกับได้บุตรคนแรก
เป็นผู้ชายจะกระทำบวงสรวงต่อรุกขเทวดา”
เมื่อนางได้สมความประสงค์ทุกประการในเวลาต่อมา จึงปรารถนาที่จะกระทำพลีกรรม คือบวงสรวงตามปฏิญาณหรือคำสัตย์ที่ตั้งไว้ #องฺ.อ. ๑/๒/๘๓-๘๖; วินย. ๔/๒๗-๒๙; อป.อ. ๘/๑/๑๓๗-๑๔๐
"นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส"
ครั้นถึงเช้าวันเพ็ญวิสาขะ พระองค์ทรงทำทุกรกิริยาครบปีที่ ๖ ในวันวิสาขปุณณมีหรือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ อันเป็นวันครบรอบพระชันษา ๓๕ พรรษาของพระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษ
ซึ่งในครั้งนี้นางสุชาดามีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ นางจึงได้สั่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันจัดแจงหุงข้าว มธุปายาส คือ หุงข้าวด้วยนมโค โดยวิธีการเตรียมทำข้าวมธุปายาสของนางมีดังนี้ นางให้เลี้ยงแม่วัวนมไว้ในป่าชะเอมจำนวน ๑,๐๐๐ ตัว แล้วให้แม่วัวนม ๕๐๐ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑,๐๐๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่วัวนม ๒๕๐ ตัว ดื่มกินน้ำนมของแม่วัวนม ๕๐๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่วัวนม ๑๒๕ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๒๕๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่วัวนม ๖๓ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑๒๕ ตัวนั้น แล้วให้แม่วัวนม ๓๒ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๖๓ ตัวนั้น แล้วให้แม่วัวนม ๑๖ ตัว ดูดกินน้ำนมของแม่วัวนม ๓๒ ตัวนั้น และในท้ายที่สุดนางให้แม่วัวนม ๘ ตัว ดื่มกินน้ำนมของแม่วัวนม ๑๖ ตัวนั้น หลังจากนั้นนางก็จะนำแม่วัวนมทั้ง ๘ ตัว มารีดเอาน้ำนม และนำน้ำนมมาเคี่ยวจนข้นเป็นนมข้นหวาน ทำให้มีรสอร่อยมาก เรียกว่า "ขีรปริวรรต" และในวันที่นางให้รีดนมนั้น ลูกวัวไม่กล้าเข้าใกล้แม่วัวเหล่านั้นเลย พอนางสุชาดาน้อมภาชนะเข้าไปรองใต้ท้องแม่โคเท่านั้น น้ำนมก็หลั่งออกมาจากเต้านมของแม่วัวเอง นางเห็นความอัศจรรยดังนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างยิ่ง จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง
เมื่อนางกำลังหุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกจากกัน แม้สักหยาดเดียว ก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ
ในยามนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตน ๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาต้นน้ำหวานฉะนั้น จริงอยู่ ในเวลาอื่น ๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุก ๆ คำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณ และวันปรินิพพานได้ใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตน ณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า
"นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใส่ยิ่งนัก เพราะว่าเราไม่เคยเห็น
ความอัศจรรย์เห็นปานนี้ ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถาน
โดยเร็ว นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้
ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบินนิมิตร ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร
พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์
ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์ นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่สุชาดา
นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา
และก็เพราะเหตุปัจจัยของพระองค์ท่านที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน ด้วยเหตุปัจจัยนั้นจึงทำให้นางสุชาดาทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทองนางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมา เพื่อใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุมฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่.
บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไปพระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ พระองค์ทรงแลดูนางสุชาดา กำหนดพระอาการ นางจึงได้ทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว
ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความชอบใจเถิด ถวายบังคมแล้วทูลว่า
"มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้ว ฉันใด แม้มโนรถของท่านก็จงสำเร็จ ฉันนั้น
นางบริจาคถาดทองซึ่งมีราคาตั้งหนึ่งแสน เหมือนบริจาคใบไม้เก่าไม่เสียดายเลย
แล้วหลีกไป"
ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ถือเป็น ภัตตาหารมื้อแรก หรือ การถวายอันสำคัญ ก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อนางสุชาดาทูลลากลับไปแล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึงเสด็จจากร่มนิโครธพฤกษ์ ทรงถือถาดมธุปายาสนั้นเสด็จสู่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เมื่อทรงพระวรกายแล้วจึงประทับนั่งริมฝั่งแม่น้ำนั้น บ่ายพระพักตร์สู่ถิ่นบรูพา คือตะวันออก ทรงปั้นข้าวมธุปายาสเป็นปั้น ๆ ได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยจนหมด ซึ่งถือเป็นอาหารทิพย์อันจะคุ้มได้ถึง ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน ในการเสวยวิมุตติสุขภายหลังการตรัสรู้
(องฺ.อ. ๑/๒/๘๓-๘๖; วินย. ๔/๒๗-๒๙; อป.อ. ๘/๑/๑๓๗-๑๔๐)
จริงอยู่ 在 ขุนเขามีคําตอบ - Answers from Khunkhao Youtube 的評價
จริงอยู่... ว่าการเดินลงเขาสบายๆ
ย่อมง่ายกว่าการปีนเขาที่สูงชัน
แต่อย่าลืมว่า "ถ้วยรางวัล"
ไม่เคยถูกตั้งไว้ที่ "ตีนเขา"!
-ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร-
ติดตามผมได้ที่
Official Line:
@kskhunkhao (มีเครื่องหมาย @ ด้วยนะครับ)
ลิ้งก์ https://lin.ee/1VT3k3oPo
Facebook: K.S. Khunkhao
ลิ้งก์ https://bit.ly/2Set3Cz
Instagram: ks_khunkhao
ลิ้งก์ https://bit.ly/2S7lwWm
จริงอยู่ 在 Healthy Natural นานา สมุนไพร Youtube 的評價
สูตรสครับผิวจากน้ำตาลทรายแดง อวดผิวเนียนใสในราคาสุดประหยัด!!
น้ำตาลทรายแดง เครื่องปรุงรสชาติสุดหวานที่อยู่ในครัวบ้านเรา สาวๆ รู้มั้ยคะว่า เราสามารถนำมาเป็นสูตรสครับผิวได้ดีทีเดียวค่ะ
ซึ่ง สูตรสครับผิวด้วยน้ำตาลทรายแดง นี่แหละค่ะ ที่นับเป็นสูตรปรนนิบัติผิวสวยทั่วเรือนร่าง อย่างใครที่มีปัญหาผิวด่างดำค่ะ
ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียนสดใส วันนี้ลองหยิบน้ำตาลทรายแดงมาทำเป็น สูตรสครับผิว กันดีกว่าค่ะ
โดยเรามีมาฝากให้ลองทำตามแล้ว 3 สูตร สาวคนไหนรักการสครับผิวเป็นประจำ รับรองจะต้องหลงใหลในการมีผิวสวยแบบประหยัดแน่นอนค่ะ
สูตรสครับผิวจากน้ำตาลทรายแดง ทำได้อย่างไรบ้าง?
เพราะ การสครับผิว เป็นการดูแลผิวอีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้ผิวพรรณสะอาดเกลี้ยงเกลา และขาวเนียนใสได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
ยิ่งถ้าเป็น สูตรสวยด้วยน้ำตาลทรายแดง ที่หาได้จากในครัวอยู่แล้ว จะพลาดได้ไงจริงมั้ยคะ?
สูตรที่ 1 : น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ และนมสดแช่เย็น 1/4 ถ้วย
วิธีทำ นำน้ำตาลทรายแดงมาผสมกับนมสด จากนั้นนำมาขัดลงบนผิวขณะที่เปียก (แนะนำให้ขัดขณะอาบน้ำค่ะ)
โดยค่อยๆ ขัดวนเป็นวงกลมอย่างเบามือจนทั่วเรือนร่าง เน้นจุดที่มีปัญหาหยาบกร้านและดำคล้ำมากที่สุด เช่น ใต้รักแร้ ข้อศอก ข้อพับ หัวเข่า ตาตุ่มและส้นเท้า จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างตัวให้สะอาด ควรขัดด้วยสูตรนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งค่ะ
เซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วจะหลุดออก ทำให้ผิวพรรณที่เคยหมองคล้ำขาวกระจ่างใสและเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
สูตรที่ 2 : น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 2 ช้อนชา + น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาขัดลงบนผิวด้วยปลายนิ้วมืออย่างเบามือ เน้นจุดที่หยาบกร้านตามต้องการค่ะ
เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้ เป็นสูตรสครับผิวขาวโดยเฉพาะค่ะ
เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาผิวดำคล้ำ และหยาบกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอเรียบเนียนสดใส แนะนำให้หมั่นสครับ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
รับรองกรด AHA จากน้ำมะนาวจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว น้ำตาลทรายจะช่วยขจัดขี้ไคล ให้หลุดออก ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ หยาบกร้าน และทำให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใสได้ดั่งใจ ในขณะที่น้ำผึ้งจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นอย่างใจต้องการค่ะ
สูตรที่ 3 : น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกัน แล้วนำมาสครับลงบนผิวอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการสครับอย่างรุนแรงนะคะ
เพราะอาจจะทำให้เกิดการเสียดสี ผิวจะระคายเคืองอักเสบ และมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเร็วขึ้นได้ หลังจากขัดจนทั่วเรือนร่างตามต้องการเสร็จแล้ว ให้พอกทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นจึงอาบน้ำตามปกติ แนะนำให้สครับผิวด้วยสูตรนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งค่ะ
ก็จะช่วยฟื้นบำรุงผิวที่แห้งหยาบกร้านให้นวลนุ่มชุ่มชื้นขึ้น เพราะน้ำมันมะกอกเป็นแหล่งของวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระ โดยจะช่วยบำรุงผิวแห้งให้มีน้ำมีนวลชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก แถมผิวยังเนียนกระจ่างใสแบบสาวผิวสวยสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ
เคล็ดลับเลือกน้ำตาลทรายแดงขัดผิวอย่างเหมาะสม
จริงอยู่ ที่การ สครับผิวด้วยน้ำตาลทรายแดง จะทำให้ผิวเราสวยได้ แต่การเลือกใช้น้ำตาลทรายแดงเราจะต้องเลือกใช้อย่างเหมาะสม ด้วยเช่นเดียวกันค่ะ
โดยควรเลือกใช้น้ำตาลทรายชนิดเม็ดละเอียดที่บรรจุในห่อสะอาด ไม่มีเศษผงใดๆ เจือปน และควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายแดงเม็ดใหญ่ค่ะ
เพราะอาจจะทำให้สครับแล้วบาดผิวหรือเกิดการเสียดสีกับผิว จนระคายเคืองเป็นแผลตามมาได้
นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องการใช้น้ำตาลทรายแดงสครับผิวหน้า แนะนำให้ปั่นหรือบดส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเนียนละเอียดขึ้นก่อนค่ะ จึงค่อยนำมาใช้สครับบนผิวหน้าอย่างเบามือ เพื่อป้องกันการบาดผิวจนทำให้มีรอยแผล และริ้วรอย ตลอดจนอาการระคายเคืองผิวนั่นเองค่ะ
ไม่ว่าจะเป็น สูตรสครับผิวด้วยน้ำตาลทรายแดง สูตรใดก็ตาม เชื่อว่าย่อมทำให้สาวๆ มีผิวสวยในราคาประหยัดได้อย่างง่ายดายค่ะ
สาวคนไหนสะดวกใช้สูตรไหนก็หยิบสูตรที่สะดวกไปทำตามกันเป็นประจำทุกสัปดาห์นะคะ
รับรองผิวของคุณจะสวยเนียนใส และขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องลงทุนแพงเลยล่ะค่ะ
ทำแล้วเป็นยังไงก็อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ แล้วอย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆ หรือคนที่เพื่อนๆ ห่วงใยด้วยคะ..
เพราะความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือการเป็นผู้ให้ ขอให้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ร่ำรวยความสุข ถ้วนหน้ากันทุกท่าน ตลอดไปเลยนะคะ..
อย่าลืม! ถ้าคุณชอบโปรดกด like. ถ้าคุณถูกใจโปรด subscribe! เพื่อเป็นกำลังใจ ให้แก่พวกเราด้วยคะ..ขอบคุณค่า..
Subscribe to Healthy Natural นานา สมุนไพร
Youtube : https://goo.gl/urmvNp
Twitter : https://goo.gl/HKZaG4
Facebook : https://goo.gl/urmvNp
Google Plus : https://goo.gl/E1ku0J
pinterest : https://goo.gl/TB7RkC
PLEASE SHARE THIS VIDEO :)
Share
subscribe (สับตะไคร้) : https://goo.gl/hpKUtI
แชร์บน facebook คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/qhkpyK
แชร์บน google + คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/IG9i7h
แชร์บน twitter คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/fZcRzW
แชร์บน pinterest คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/drjCgd
แชร์บน tumblr คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/cDDXFD
แชร์บน reddit คลิ๊กที่นี่ : https://goo.gl/7CxOJx
จริงอยู่ 在 บัญชีอย่างง่าย Youtube 的評價
ความรู้ภาษีอะไร ที่คุณควรรู้?
จริงอยู่ บางความรู้อาจมียอดลงทุน
แต่ถ้าไม่ลงทุนแล้วเสียหาย
เสียเงินตอนไหนมากกว่ากัน
#ทักเพื่อรับโปรได้ทางอินบ็อกซ์และไลน์
ทั้งหลักสูตรสัมมนาบัญชีภาษีเพื่อเจ้าของกิจการที่ไม่มีความรู้บัญชี
สมัครmemberเพื่อรับบริการตอบคำถามจากผู้เชียวชาญภาษี
อัพเดตข้อมูลบัญชี-ภาษี อย่าลืมกดติดดาวให้เพจด้วยนะคะ
รับทราบข้อมูลข่าวสารบัญชี - ภาษี
https://line.me/R/ti/p/%40bunchee.easy
จริงอยู่ 在 ถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ แถวนี้แม่งเถื่อน! | บริษัทฮาไม่จำกัด(มหาชน) 的八卦
สร้างสรรค์ผลงานโดย บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัดPowered by ZENSE Entertainment Co., Ltd.http://www.zense.co.th/ ... <看更多>