The Two Popes ทรงคุณค่ามาก หนังพาเราไปทำความเข้าใจกับศรัทธาได้อย่างมีเหตุผลมาก 9/10 (มีฉายใน Netflix แล้ว)
.
ผมเห็นโปรแกรมเรื่อง The Two Popes จะเอามาลงใน Netflix ครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน บอกกับตัวเองว่าจะต้องดูให้ได้ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวนักแสดงอย่างท่านเซอร์แอนโธนี ฮอปกินส์ คือแกจะแสดงเป็นใครเราก็เชื่อหมด และกับการมารับบทเป็นพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่16 นี่คือยอมรับว่ามันใช่ตั้งแต่ยังไม่ต้องเห็นหนังแล้ว และยิ่งมาเห็นภาพคู่กับ โจนาธาน ไพนซ์ นี่ยิ่งทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้มากก หนังพาเราไปพบกับเรื่องราวของความเชื่อในพระเจ้า ความศรัทธา ตลอดจนถึงศาสนาคริสต์ในยุคสมัยที่ต้องถึงเวลาปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อห้คำสอนเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ไปจนถึงการตีแผ่เรื่องราวของคริสต์จักรที่ถูกปิดบังอำพรางเอาไว้ หนังไม่ชี้นำ แต่หนังทำให้เราได้เปรียบเทียบและคิดเองได้อย่างแยบคายและหลักแหลม
.
The Two Popes เล่าถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของคริสต์จักรหลังจากพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 สิ้นพระชนม์ ก็ได้มีการเลือกพระสันตปาปาพระองค์ใหม่ ซึ่งพระคาดินัลด์โยเซฟ รัทซิงเงอร์ ได้รับเลือกให้เป็นสมเด็จพระสันตปาปาองค์ใหม่ ท่านเลือกพระนามตัวเองว่า เบเนดิกต์ที่16 ท่านเป็นชาวเยอรมันที่ใช้ชีวิตอยู่กับการเรียนพระคัมภีมาตั้งแต่เด็กจนโต ท่านไม่เคยศึกษาอะไรที่เกี่ยวกับทางโลกเลย และที่สำคัญท่านเป็นเยอรมันฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจสละตำแหน่งพระสันตปาปา ท่านเองก็ได้มีโอกาสได้สนทนาคุยกับพระคาดินัล เบร์โกกลิโอ ชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งท่านเป็นเหมือนพระนักพัฒนา ใจบุญ และเข้าถึงคนจนมาก และที่ท่านเบเนดิกต์ที่16เองก็คาดหมายว่า พระคาดินัลด์รูปนี้แหละจะได้ขึ้นมาเป็นพระสันตปาปาแทนท่าน ทั้งสองได้พูดคุยแลปเปลี่ยนทัศน และที่สำคัญทั้งสองได้สารภาพบาปกัน ก่อนที่ พระสันตปาปาเบเนดิกต์จะสละตำแหน่ง และ พระคาดินัลด์เบร์โกกลิโอ ก็ได้ขึ้นเป็นพระสันตปาปาฟรานซิส จนถึงปัจจุบัน
.
ขอสารภาพว่าตลอดเวลาที่ดูผมคาดเดาว่าหนังน่าจะเขียนขึ้นมาจากเค้าโครงเรื่องจริงแต่อาจจะไม่ทั้งหมด มันคงมีการแต่งบ้างอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีมากกกก็คือ หนังไม่ชี้นำให้เราเชื่อไปทางข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าเราติดตามจะทราบว่า เบเนดิกต์ที่16 จะไปทางสายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง และฟรานซิส จะมาทางประมาณสายเสรีนิยม หนังบอกเหตุผลความคิดสุดโต่งของตัวละครทั้งสองได้เป็นอย่างดี บทหนังบอกเล่าผ่านการสนทนาของพระทั้งสองรูปออกมาได้อย่างละเอียดและฉลาด นำคนดูพาไปรู้จักพระทั้งสองรูปได้เป็นอย่างดี นอกจากผ่านบทสนทนาแล้ว ยังผ่านการเล่าเรื่องที่พูดถึงชีวิต สิ่งแวดล้อม ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของพระทั้งสองรูปให้เราได้เห็นและได้รู้ทันทีว่าท่านทั้งสองต่างกันสุดขั้วขนาดไหน
.
คำหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากคือ จงสร้างสะพานอย่าสร้างกำแพง พระเบเนดิกต์เหมือนจะพยายามขีดจำกัดการนับถือเอาไว้ในกรอบ แต่พระฟรานซิสท่านบอกว่า ภายใต้กำแพงนี่แหละมันอาจจะมีแต่ความเลวร้ายที่เราปกปิดมันเอาไว้และเรามองไม่เห็น ปมในใจของท่านฟรานซิสคือเหตุการณ์ในช่วงสงครามอาร์เจนติน่า ที่มีคนมองว่าท่านไปเข้าข้างรัฐบาลทหารจนเป็นที่มาที่ไปของการเข่นฆ่าประชาชนนับหมื่ นันจึงเหมือนเป็นรอยบาปในใจที่ท่านมองว่าท่านไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ชีวิตที่เหลือของท่านจึงพยายามอุทิศเพื่อคนยากไร้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ท่านเบเนดิกต์องก็มีรอยบาปที่มาจากการพยายามปกปิดเรื่องราวของพระที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กเอาไว้เพราะไม่อยากให้คริสต์จักรเสียหาย ทั้งสองสารภาพบาปต่อกัน ฉากนี้ทำเอาน้ำตาซึมเลย
.
สิ่งที่ได้เห็นคือ พระชั้นผู้ใหญ่ที่ขึ้นมาจนถึงจุดนี้ ความปรารถนาต่อตำแหน่งยศบรรดาศักดิ์จะแทบไม่มีเลย(รึเปล่าไม่แน่ใจ) คือเอาจริงๆ นักบวชนี่สิ่งที่สำคัญคือการละวางทั้งหมด โดยเฉพาะอัตตา ตัวตน มันเป็นกิเลสตัวที่ร้ายที่สุด แต่ยศถาบรรดาศักดิ์นี่แหละที่มันเสริมอัตตาตัวตนมากมาย ไม่ต้องดูไกล ดูพระราชาคณะ พระชั้นสมเด็จบ้านเรานี่แหละ ความเป็นอยู่โคตรจะดี ปีใหม่ที่ข้าวของดีๆ ผลไม้นอก ดอกไม้ กระเช้า มาเป็นลังๆ กินจนต้องทิ้ง รับกิจนิมนต์ที่ก็ญาติโยมนี่แหละภายปัจจัย คนที่ไปเยี่ยมถึงกุฏิก็มีแต่คนใหญ่คนโต สุดท้ายยศถาทั้งหมดก็ของสมมุติทั้งนั้น จะทำอะไรเพื่อศาสนาไม่ได้จำเป็นต้่องมีตำแหน่งอะไรใหญ่โตเลย และการพยายามปิดล้อมให้คนเข้าถึงยากมันยิ่งสร้างแต่อัตตาๆๆๆๆๆๆให้มันแรงขึ้นๆ สุดท้ายความถือตัวตนนี่แหละ คือศัตรูที่ร้ายที่สุดของมนุษย์เราโดยเฉพาะนักบวช
.
แอนโธนี ฮอปกินส์ ในบทพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่16 นี่ขนลุกมากกกก แกแสดงได้แก่และตาบอดข้างนึงกิริยาท่าทีการพูดจา นี่เอาจริงๆคือขนลุกมาก ไม่ได้ติดตามผลงานหรือคลิปท่านเบเนดิกต์แต่เอาจริงๆเชื่อว่าท่านเซอร์เป็นสันตปาปาจริงๆ นี่มีลุ้นชิงออสการ์แบบไม่ยากเลย
.
โจนาธาน ไพรซ์ กับบทสันตปาปาฟรานซิส นี่คือดีมากกกดูอบอุ่น จากที่เคยเห็นในเรื่อง The Wife มาเรื่องนี้ บอกเลย ไพรซ์แสดงได้ดีมากกกกกก แต่นำชายปีนี้หินเยอะมากแบบสายโหด ก็เอาใจช่วย แต่มีแฟคเตอร์ได้ชิงออสการ์สูงมาก
.
บทภาพยนตร์โดย Anthony McCarten เจ้าของผลงาน
The Theory of Everything , Darkest Hour และก็
Bohemian Rhapsody เป็นหนังชีวประวัติหมด นำดาราชายของเรื่องไปคว้าออสการ์หมด แต่ปีนี้โอกาสที่ โจนาธาน ไพรซ์ จะได้ออสการ์นี่บอกเลยหินพอสมควรเลย สำหรับ The Two Popes นี่ McCarten เขียนบทได้ฉลาดมาก ทำหนังสนทนาทาทางศาสนาออกมาเป็นหนังที่มีบทสนทนาที่แสนจะฉลาด คมคาย และไม่น่าเบื่อเลย ดูเพลินตลอดเวลา 125 นาที ดูรวดเดียวจบเลยไม่มีกดพัก
.
The Two Popes นี่น่าจะเป็นการประกาศศักดาอีกครั้งของ Netflix ที่ตอกย้ำว่าปีหน้ากูมีหนังระดับคุณภาพหลายเรื่องนะมึง กรรมการออสการ์จะเขี่ยกูทิ้งอีกไหม สำหรับ The Two Popes นี่เปิดดูเถอะครับ คุ้มค่าไม่เสียเวลาแน่นอน หนังไม่ได้น่าเบื่อเลยครับ ดูเพลินมากครับ 9/10 ครับ
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過2,120的網紅Riha Jamil,也在其Youtube影片中提到,in this sit-down and talk video i shared some of my favourite movies that you can watch and enjoy during the RMO, or if you're watching this when the ...
the theory of everything netflix 在 อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก Facebook 八卦
The Two Popes ทรงคุณค่ามาก หนังพาเราไปทำความเข้าใจกับศรัทธาได้อย่างมีเหตุผลมาก 9/10 (มีฉายใน Netflix แล้ว)
.
ผมเห็นโปรแกรมเรื่อง The Two Popes จะเอามาลงใน Netflix ครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน บอกกับตัวเองว่าจะต้องดูให้ได้ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวนักแสดงอย่างท่านเซอร์แอนโธนี ฮอปกินส์ คือแกจะแสดงเป็นใครเราก็เชื่อหมด และกับการมารับบทเป็นพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่16 นี่คือยอมรับว่ามันใช่ตั้งแต่ยังไม่ต้องเห็นหนังแล้ว และยิ่งมาเห็นภาพคู่กับ โจนาธาน ไพนซ์ นี่ยิ่งทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้มากก หนังพาเราไปพบกับเรื่องราวของความเชื่อในพระเจ้า ความศรัทธา ตลอดจนถึงศาสนาคริสต์ในยุคสมัยที่ต้องถึงเวลาปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อห้คำสอนเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ไปจนถึงการตีแผ่เรื่องราวของคริสต์จักรที่ถูกปิดบังอำพรางเอาไว้ หนังไม่ชี้นำ แต่หนังทำให้เราได้เปรียบเทียบและคิดเองได้อย่างแยบคายและหลักแหลม
.
The Two Popes เล่าถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของคริสต์จักรหลังจากพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 สิ้นพระชนม์ ก็ได้มีการเลือกพระสันตปาปาพระองค์ใหม่ ซึ่งพระคาดินัลด์โยเซฟ รัทซิงเงอร์ ได้รับเลือกให้เป็นสมเด็จพระสันตปาปาองค์ใหม่ ท่านเลือกพระนามตัวเองว่า เบเนดิกต์ที่16 ท่านเป็นชาวเยอรมันที่ใช้ชีวิตอยู่กับการเรียนพระคัมภีมาตั้งแต่เด็กจนโต ท่านไม่เคยศึกษาอะไรที่เกี่ยวกับทางโลกเลย และที่สำคัญท่านเป็นเยอรมันฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจสละตำแหน่งพระสันตปาปา ท่านเองก็ได้มีโอกาสได้สนทนาคุยกับพระคาดินัล เบร์โกกลิโอ ชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งท่านเป็นเหมือนพระนักพัฒนา ใจบุญ และเข้าถึงคนจนมาก และที่ท่านเบเนดิกต์ที่16เองก็คาดหมายว่า พระคาดินัลด์รูปนี้แหละจะได้ขึ้นมาเป็นพระสันตปาปาแทนท่าน ทั้งสองได้พูดคุยแลปเปลี่ยนทัศน และที่สำคัญทั้งสองได้สารภาพบาปกัน ก่อนที่ พระสันตปาปาเบเนดิกต์จะสละตำแหน่ง และ พระคาดินัลด์เบร์โกกลิโอ ก็ได้ขึ้นเป็นพระสันตปาปาฟรานซิส จนถึงปัจจุบัน
.
ขอสารภาพว่าตลอดเวลาที่ดูผมคาดเดาว่าหนังน่าจะเขียนขึ้นมาจากเค้าโครงเรื่องจริงแต่อาจจะไม่ทั้งหมด มันคงมีการแต่งบ้างอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีมากกกก็คือ หนังไม่ชี้นำให้เราเชื่อไปทางข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าเราติดตามจะทราบว่า เบเนดิกต์ที่16 จะไปทางสายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง และฟรานซิส จะมาทางประมาณสายเสรีนิยม หนังบอกเหตุผลความคิดสุดโต่งของตัวละครทั้งสองได้เป็นอย่างดี บทหนังบอกเล่าผ่านการสนทนาของพระทั้งสองรูปออกมาได้อย่างละเอียดและฉลาด นำคนดูพาไปรู้จักพระทั้งสองรูปได้เป็นอย่างดี นอกจากผ่านบทสนทนาแล้ว ยังผ่านการเล่าเรื่องที่พูดถึงชีวิต สิ่งแวดล้อม ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของพระทั้งสองรูปให้เราได้เห็นและได้รู้ทันทีว่าท่านทั้งสองต่างกันสุดขั้วขนาดไหน
.
คำหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากคือ จงสร้างสะพานอย่าสร้างกำแพง พระเบเนดิกต์เหมือนจะพยายามขีดจำกัดการนับถือเอาไว้ในกรอบ แต่พระฟรานซิสท่านบอกว่า ภายใต้กำแพงนี่แหละมันอาจจะมีแต่ความเลวร้ายที่เราปกปิดมันเอาไว้และเรามองไม่เห็น ปมในใจของท่านฟรานซิสคือเหตุการณ์ในช่วงสงครามอาร์เจนติน่า ที่มีคนมองว่าท่านไปเข้าข้างรัฐบาลทหารจนเป็นที่มาที่ไปของการเข่นฆ่าประชาชนนับหมื่ นันจึงเหมือนเป็นรอยบาปในใจที่ท่านมองว่าท่านไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ชีวิตที่เหลือของท่านจึงพยายามอุทิศเพื่อคนยากไร้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ท่านเบเนดิกต์องก็มีรอยบาปที่มาจากการพยายามปกปิดเรื่องราวของพระที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กเอาไว้เพราะไม่อยากให้คริสต์จักรเสียหาย ทั้งสองสารภาพบาปต่อกัน ฉากนี้ทำเอาน้ำตาซึมเลย
.
สิ่งที่ได้เห็นคือ พระชั้นผู้ใหญ่ที่ขึ้นมาจนถึงจุดนี้ ความปรารถนาต่อตำแหน่งยศบรรดาศักดิ์จะแทบไม่มีเลย(รึเปล่าไม่แน่ใจ) คือเอาจริงๆ นักบวชนี่สิ่งที่สำคัญคือการละวางทั้งหมด โดยเฉพาะอัตตา ตัวตน มันเป็นกิเลสตัวที่ร้ายที่สุด แต่ยศถาบรรดาศักดิ์นี่แหละที่มันเสริมอัตตาตัวตนมากมาย ไม่ต้องดูไกล ดูพระราชาคณะ พระชั้นสมเด็จบ้านเรานี่แหละ ความเป็นอยู่โคตรจะดี ปีใหม่ที่ข้าวของดีๆ ผลไม้นอก ดอกไม้ กระเช้า มาเป็นลังๆ กินจนต้องทิ้ง รับกิจนิมนต์ที่ก็ญาติโยมนี่แหละภายปัจจัย คนที่ไปเยี่ยมถึงกุฏิก็มีแต่คนใหญ่คนโต สุดท้ายยศถาทั้งหมดก็ของสมมุติทั้งนั้น จะทำอะไรเพื่อศาสนาไม่ได้จำเป็นต้่องมีตำแหน่งอะไรใหญ่โตเลย และการพยายามปิดล้อมให้คนเข้าถึงยากมันยิ่งสร้างแต่อัตตาๆๆๆๆๆๆให้มันแรงขึ้นๆ สุดท้ายความถือตัวตนนี่แหละ คือศัตรูที่ร้ายที่สุดของมนุษย์เราโดยเฉพาะนักบวช
.
แอนโธนี ฮอปกินส์ ในบทพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่16 นี่ขนลุกมากกกก แกแสดงได้แก่และตาบอดข้างนึงกิริยาท่าทีการพูดจา นี่เอาจริงๆคือขนลุกมาก ไม่ได้ติดตามผลงานหรือคลิปท่านเบเนดิกต์แต่เอาจริงๆเชื่อว่าท่านเซอร์เป็นสันตปาปาจริงๆ นี่มีลุ้นชิงออสการ์แบบไม่ยากเลย
.
โจนาธาน ไพรซ์ กับบทสันตปาปาฟรานซิส นี่คือดีมากกกดูอบอุ่น จากที่เคยเห็นในเรื่อง The Wife มาเรื่องนี้ บอกเลย ไพรซ์แสดงได้ดีมากกกกกก แต่นำชายปีนี้หินเยอะมากแบบสายโหด ก็เอาใจช่วย แต่มีแฟคเตอร์ได้ชิงออสการ์สูงมาก
.
บทภาพยนตร์โดย Anthony McCarten เจ้าของผลงาน
The Theory of Everything , Darkest Hour และก็
Bohemian Rhapsody เป็นหนังชีวประวัติหมด นำดาราชายของเรื่องไปคว้าออสการ์หมด แต่ปีนี้โอกาสที่ โจนาธาน ไพรซ์ จะได้ออสการ์นี่บอกเลยหินพอสมควรเลย สำหรับ The Two Popes นี่ McCarten เขียนบทได้ฉลาดมาก ทำหนังสนทนาทาทางศาสนาออกมาเป็นหนังที่มีบทสนทนาที่แสนจะฉลาด คมคาย และไม่น่าเบื่อเลย ดูเพลินตลอดเวลา 125 นาที ดูรวดเดียวจบเลยไม่มีกดพัก
.
The Two Popes นี่น่าจะเป็นการประกาศศักดาอีกครั้งของ Netflix ที่ตอกย้ำว่าปีหน้ากูมีหนังระดับคุณภาพหลายเรื่องนะมึง กรรมการออสการ์จะเขี่ยกูทิ้งอีกไหม สำหรับ The Two Popes นี่เปิดดูเถอะครับ คุ้มค่าไม่เสียเวลาแน่นอน หนังไม่ได้น่าเบื่อเลยครับ ดูเพลินมากครับ 9/10 ครับ
the theory of everything netflix 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
The Two Popes (2019) สามารถดูได้ใน Netflix
• ในมุมหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นหนังชีวประวัติสร้างภาพลักษณ์คริสต์นิกายคาทอลิกสมัยใหม่ว่าเปลี่ยนแปลงทันโลกผ่านพระสันตะปาปาหัวก้าวหน้า (อารมณ์เหมือน The Queen ที่สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ควีนเอลิซาเบ็ธ)
• ครึ่งแรกของหนังพูดถึงการปะทะกันระหว่างหัวอนุรักษ์นิยมที่เคร่งศาสนามากจนไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการหย่าร้าง/คุมกำเนิด/LGBTQ กับคนหัวก้าวหน้าที่คลุกคลีกับคนชั้นล่างมายาวนานจนเห็นความเหลื่อมล้ำและความทุกข์ในสังคม
• ส่วนครึ่งหลังเป็นการสารภาพบาปของพระสันตะปาปาและพระคาร์ดินัล ที่ทำให้เห็นว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ผิดพลาดได้และเฝ้ามองหาการไถ่บาปให้ตัวเอง
• หนัง 3 เรื่องล่าสุดที่ แอนโทนี่ แม็คคาร์เทน เป็นคนเขียนบท สามารถพานักแสดงนำชายเป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ได้ทั้งหมด (แกรี่ โอลด์แมน จาก Darkest Hour, รามี มาเลก จาก Bohemian Rhapsody, และ เอ็ดดี้ เรดเมย์น จาก The Theory of Everything)
• อาจจะยังดูหนังของ เฟอร์นันโด เมเรียเลส ไม่หมด แต่เขาคือหนึ่งในผู้กำกับที่เราชอบเหมือนกัน ทั้ง City of God, The Constant Gardener, 360, และเรื่องนี้
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
เคยเขียนถึงการชนะประชามติทำแท้งเสรีที่ไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศเคร่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกมาก มากจนรัฐธรรมนูญที่นั่นออกแบบให้การทำแท้งอย่างถูกกฎหมายมีเพียงกรณีเดียวคือเมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าการตั้งครรภ์เป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้ตั้งครรภ์ ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปเป็น Legal on request หมดแล้ว คือให้เป็นการตัดสินใจของผู้ตั้งครรภ์เอง (http://bit.ly/34EbJcN) ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่โลกเคร่งศาสนาสมัยเก่าปรับตัวไม่ทันต่อเหตุผลด้านสังคม ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมในการเลี้ยงดู, การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์, ถูกข่มขืน, หรือทารกในท้องพิการ/ดาวน์ซินโดรม
.
หรือกลุ่ม LGBTQ ซึ่งสมัยก่อนคนยังไม่มีความรู้และมองเป็นโรคที่รักษาหายได้ (ทัศนคติทำทอมให้เป็นหญิง/พาตุ๊ดแต๋วไปฝึกทหารให้แมน) หรือคำสอนในศาสนาที่ยังมองว่า sex มีไว้เพียงกรณีเดียวคือการสืบพันธุ์ การมี sex กรณีอื่นคือความผิดเป็นบาป เป็นผลสืบเนื่องให้เกิดการไม่ยอมรับ LGBTQ สำหรับคนหัวโบราณเคร่งศาสนา กระทั่งเรื่องการหย่าร้างก็มีตัวอย่างให้เห็นในซีรีส์ The Crown ว่าเป็นเรื่องใหญ่เสื่อมเสียสำหรับราชวงศ์ตัวแทนศาสนาจนไม่อาจยอมรับได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือความหัวเก่าตกยุค ไม่ทันต่อการเปลี่ยนของสังคม
.
ซึ่งในครึ่งแรกของ The Two Popes ก็เป็นการปะทะกันของคนอนุรักษ์นิยม vs. หัวก้าวหน้า หนังพูดชัดเจนว่า 'โป๊ป ฟรานซิส' (Jonathan Pryce) ก็เคยอยู่ในจุดที่ทำตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดมาก่อน แต่การได้ออกไปใช้ชีวิต ได้สัมผัสใกล้ชิดผู้คนจึงทำให้เขาเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัว ยังคงเผยแพร่ศาสนาเหมือนเป็นเซลล์แมนที่แม้จะไม่อินกับของที่ขายแต่ก็พยายามหาข้ออ้างไปบอกเจ้านายว่าเป็นความเมตตา ในขณะที่ 'โป๊ป เบเนดิค' (Anthony Hopkins) คือหนอนหนังสือ เคร่งคำสอนแต่ไม่เคยได้ออกไปใช้ชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับกรอบของศาสนาอายุเป็นร้อยปีโดยไม่ปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง หลายครั้งจึงเป็นการผลักคนให้หมดศรัทธาในศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเคสบาทหลวงล่วละเมิดทางเพศเด็ก โดยที่วาติกันช่วยปกปิดและยึดหลักโบราณว่าการสารภาพบาปคือการชำระล้างเรียบร้อย ทั้งที่ไม่ได้เยียวยาอะไรเหยื่อ แค่ให้อภัยก็เพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องลงโทษ (จะให้อินต้องดู Spotlight ต่อ หนังสร้างจากเรื่องจริงการตีแผ่เรื่องอื้อฉาวของบาทหลวงนิกายคาทอลิกที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็กจำนวนมากโดยที่คริสตจักรทราบเรื่องแต่นิ่งเฉยและปกปิดมาตลอด 30 ปี เปิดโปงโดยทีมข่าวสืบสวน Spotlight ประจำนสพ. The Boston Globe ซึ่งรายงานข่าวนี้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์สาขาบริการสาธารณะ)
.
จริง ๆ ท่าทีของหนังก็วิพากษ์แนวคิดเชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน เราเพิ่งสังเกตว่าศาสนาคริสต์มองพระเจ้าในมุมของการเยียวยาช่วยเหลือ ยามสิ้นหวังคนจะนึกถึงพระเจ้า แต่หลายครั้งที่คนเห็นกันอยู่ว่ายามเดือดร้อนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของพระเจ้า ในขณะที่ฝั่งพุทธใกล้ตัวเราจะเป็นทำนองของความเชื่อเรื่องเวรกรรมตามทัน เชื่อว่าคนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องปลอบประโลมความสิ้นหวัง สิ่งที่หนังมุ่งเน้นจึงเป็นการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยตัวเอง โป๊ป ฟรานซิส จึงกลายมาเป็นนักเคลื่อนไหว พูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ พูดเรื่องการกดขี่ พูดถึงทรัพยากรในโลก ใช้ความเป็นผู้นำขับเคลื่อนทัศนคติในสังคมนิกายคาทอลิกให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้แม้หนังจะประนีประนอมกับความศรัทธาในพระเจ้าแต่ก็ยังเห็นความก้าวหน้าชัดกว่า
.
ความที่หนังมันเล่าเป็นธรรมชาติ ไดอะล็อกคมดี ไม่ยกตัวเองให้สูงส่งด้วย เลยน่าจะเป็นสิ่งที่เราดูจบแล้วชอบหนังมาก
การคงอยู่ของพระสันตะปาปาในยุคใหม่ คือการเชื่อมโลกเข้าหากัน และพยายามยกระดับสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
Director: Fernando Meirelles
screenplay: Anthony McCarten
Genre: biography, drama
8.5/10
the theory of everything netflix 在 Riha Jamil Youtube 的評價
in this sit-down and talk video i shared some of my favourite movies that you can watch and enjoy during the RMO, or if you're watching this when the pandemic is over, then you can watch the movies during your spare time :)
movies mentioned are:
Gifted
Hidden Figures
The Imitation Game (available on Netflix MY)
Miracle in Cell Number 7
Spirited Away (available on Netflix MY)
honourable mentions:
The Theory of Everything
A Brilliant Mind