phoebe waller-bridge 007的八卦，Yahoo名人娛樂都在討論

來嘍～

25 部龐德電影，其中有一部名叫《You Only Live Twice》（雷霆谷），這部電影的主題曲唱著，龐德有兩條命，一條命是他自己的，另一條要獻給他的夢想。
　
南西辛納屈 (Nancy Sinatra) 的歌聲甜美，這句歌詞卻無法讓人不感到奇怪：龐德有夢想嗎？除了為國效忠與上床打砲（是真的砲）之外，他還有什麼夢想？甚至願意為了這個夢想犧牲性命？
　
《007：生死交戰》(No Time to Die) 是丹尼爾克雷格最後一次飾演龐德，他能告訴我們這個千古疑案的答案嗎？
　
你知道、我知道、大家都知道，而且大家也等了好幾年了，《007：生死交戰》是丹尼爾克雷格向龐德的最終告別，是他演過的四部龐德電影的總結。這就像漫威宇宙的《復仇者聯盟4：終局之戰》，如果你從未看過克雷格過去這四部電影，那麼這部電影，可能是你唯一需要補習的 007 電影：
　
你需要看過《007首部曲：皇家夜總會》(Casino Royale) 才知道薇斯朋是誰，她如何成為龐德的心魔；同時也才會知道，龐德如何結識 CIA 探員菲利斯萊特，成為莫逆之交；
　
你必須看過《007：空降危機》(Skyfall) 與《007：惡魔四伏》(Spectre)，才會知道龐德與上司 M 之間劍拔弩張的關係、以及龐德如何收編可愛的 Q 與曼妮潘妮成為小夥伴；
　
同時認識龐德畢生的宿敵惡魔黨 (Spectre) ……與其領袖布洛弗如何佈下前幾部電影的陰謀，試圖謀害龐德；而龐德又如何認識仇人之女瑪德琳，最終逮捕了布洛弗，並與瑪德琳雙宿雙飛、遠走他鄉。
　
《007：生死交戰》以一種既陌生又熟悉的方式，讓故事朝著結局前去。導演凱瑞福永的野心從一開始就看得出來，這不止是丹尼爾克雷格飾演的龐德的結局，某種程度上也是詹姆士龐德自身的結局。
　
《007：生死交戰》有你熟悉的 007 「槍管」開場，卻沒有你熟悉的 007 冷開場 (cold opening)。它沒有給你一段熱血澎湃的十分鐘動作戲，然後響起慷慨激昂的主題曲；相反地，我們要等將近半個小時，才聽得到怪奇比莉 (Billie Eilish) 哀傷的歌聲，而這半小時裡，有感情戲、有動作戲、還時時聽得見路易斯阿姆斯壯演唱的《we have all the time in the world》，隱隱透出不安。
　
《we have all the time in the world》是 007 史上最不祥的歌曲，它來自經典的 1969 年電影《007：女王密使》(On Her Majesty’s Secret Service)，龐德永遠地失去了他的摯愛，而在那個不幸的結局前幾分鐘，龐德告訴他的愛妻，「我們有全世界的時間」，幾分鐘後，龐德失去了全世界。
　
《007：女王密使》是我認為最偉大的龐德電影，它在這個風流無敵的電影系列裡敲下了最沈痛的節奏。而如果你一樣熟悉龐德 60 年來的銀幕歷史，當你聽到丹尼爾克雷格向蕾雅瑟杜 (Léa Seydoux) 說著「我們有全世界的時間」，我包準你會立馬頭皮發麻。
　
【《007：生死交戰》：不只告別丹尼爾克雷格，一口氣送終上個世紀「風流倜儻」「為國效忠」的龐德們】
【全文請參見下方留言連結】
　
◈◈◈觀影小提醒◈◈◈
1. 這部電影有部份IMAX鏡頭，所謂的部份是文中寫的 30 分鐘義大利開場戲，有你在預告裡看到的「越野機車猛虎硬爬山」。看IMAX會不會很爽呢？會；義大利美景看IMAX爽不爽呢？爽。所以你需要看IMAX。
　
但是！這部電影畢竟不比《沙丘》，它是部份片段IMAX，跟《沙丘》（或是湯姆電影）那種不看IMAX就少了一分感受劇情力道的程度是不同的，所以，假設沒看到 007 的 IMAX，我覺得還好——更何況這一集的奇觀畫面沒那麼多，這一集是賣情感的。
　
2. 一定要看完前四集（《量子危機》是黑歷史，可以徹底放棄）。最好看這一集之前一口氣重看一次，才能在你心裡建造一個情感高度，支撐這部電影的感傷。
　
3. 還是最好要看過《女王密使》。《第七號情報員》可以看，劇情架構上這部電影比較接近《第七號情報員》，但情感面上比較接近《女王密使》。
　
4. 其實有空的話，最好先看過影集《邋遢女郎/倫敦生活》（Fleabag），這劇的主創、編劇兼主演菲比沃勒布里奇 (Phoebe Waller-Bridge)，是這次劇本的共同編劇，她很擅長寫自剖橋段，就是她把 007 拉下神壇，從男神變成大叔的。

สงครามคู่รักสายลับ Mr.& Mrs. Smith ถูกสร้างเป็นซีรีส์

Donald Glover นักร้อง/นักแสดงมากความสามารถประกาศผ่าน Instagram stories ส่วนตัวว่าเขาและ Phoebe Waller-Bridge จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งด้วยการรับบทนำในซีรีส์ Mr.& Mrs. Smith ที่จะสร้างโดย Amazon ซึ่งทั้งสองเคยร่วมงานกันมาก่อนแล้วใน Solo: A Star Wars Story

โดยซีรีส์ฉบับนี้จะอ้างอิงมาจากหนังในปี 2005 ว่าด้วยเรื่องราวของสามีภรรยา Smith ที่ต่างฝ่ายต่างเก็บงำความลับเรื่องตัวตนที่แท้จริงว่าต่างฝ่ายต่างเป็นนักฆ่ามือฉมังแต่แล้วทั้งคู่ก็ได้รับภารกิจให้สังหารกันเอง

Jennifer Salke ประธาน Amazon Studios บอกว่า "ทั้ง Donald Glover และ Phoebe Waller-Bridge คือสองนักแสดงและทีมสร้างที่มีความสามารถมากที่สุดราวกับฝันเป็นจริงที่ทั้งสองคนนี้จะโคจรมาร่วมกันสร้างผลงานเพื่อผู้ชมทั่วโลก พวกเราตื่นเต้นมากว่า พวกเขาจะสร้าง Mr.& Mrs. Smith ออกมาในทิศทางไหน และมันก็น่าตื่นเต้นเป็นที่สุดที่เราจะได้ร่วมงานกับทั้งสองคน เช่นเดียวกันกับที่จะได้ร่วมงานกับ New Regency"

Donald Glover และ Phoebe Waller-Bridge จะควบคุมงานสร้าง Mr.& Mrs. Smith ฉบับซีรีส์ร่วมกับ Francesca Sloane โดยตอนนี้วางกำหนดสตรีมมิ่งไว้ที่ปี 2022

#จดอ #JUSTดูIT | ที่มา: https://variety.com/2021/tv/news/donald-glover-phoebe-waller-bridge-mr-mrs-smith-1234907452/

Fleabag ซีซั่น 1 (สามารถดูได้ใน Prime Video)

• น่าจะเป็นซีรีส์ไม่กี่เรื่องที่พูดเรื่องใต้สะดือได้เป็นปกติธรรมชาติเสมือนหนึ่งในความต้องการของมนุษย์ได้ถูกเปิดเผยแบบไม่ต้องเหนียมอาย
• ขำแทบจะทุกนาที ตลกจริงให้ดิ้นตาย จังหวะปากพล่อยหรือจังหวะตลกไม่คาดคิดนี่ทำเอาตั้งตัวไม่ทันหลุดฮาหลายรอบมาก
• น่าจะเป็นซีรีส์/หนัง ที่ใช้ Breaking the fourth wall ได้คุ้มค่าที่สุดอีกเรื่อง (ยิ่งกว่า Ferris Bueller's Day Off และ Deadpool)
• ท่ามกลางความตลกอย่างร้ายกาจ ซีรีส์มันก็มีมุมเศร้าและความเป็นมนุษย์ธรรมดา เสียใจเรื่องเพื่อนสนิท, คิดว่าตัวเองเป็นภาระให้พี่สาว, ขาดรักแท้ ประมาณนั้น
• ซีรีส์ดัดแปลงจาก one-woman play ของ Phoebe Waller-Bridge เอง พอมาเขียนบทและแสดงเองเลยจัดเต็มไม่ยั้ง
• โอลิเวีย โคลแมน เล่นได้น่าตบมาก แต่พอเห็นเธอหลายเรื่องแล้วรู้สึกว่าเธอขาดเอกลักษณ์ ด้วยหน้าตาและการแสดงคล้าย ๆ กันไปหมดเลย เช่น The Crown, The Favourite, The Night Manager, Broadchurch เวลาดูจะมีมุมให้นึกถึงเรื่องอื่นตลอดเลย สลัดไม่หลุด
• เชียร์ขั้นสุด ความยาวแค่ 3 ชั่วโมงเอง เป็น British comedy ที่ชอบมากนับตั้งแต่ซิตคอม Derry Girls

-------------------------------------

สารภาพเลยว่าไม่ได้ขำอะไรแบบนี้มานานละ ปกติไม่ค่อยเอนจอยกับคอเมดี้ได้รัวขนาดนี้ มุกเข้าถึงง่าย แทบไม่มีมุกที่ผลักเราออกมา(ประเภทสัปดนเกินไปหรือเหยียดจัดไรเงี้ย) ไม่มีมุกเฉพาะกลุ่มหรือต้องปีนบันไดหัวเราะด้วยซ้ำ มันเล่นมุกง่าย ๆ จังหวะจะโคนแม่นยำก็ทำให้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว จุดสำคัญคือ Fleabag ไม่ได้มาเวย์ขายขำอย่างเดียว เนื้อเรื่องความเศร้าและความเจ็บปวด บวกกับการโหยหาการยอมรับตัวตนมันเป็นอะไรที่สัมผัสจับต้องได้ ชวนให้เห็นอกเห็นใจความผิดพลาดและความเป็นมนุษย์ธรรมดาของนางเอกมากทีเดียว
.
'ฟีบี้' (Phoebe Waller-Bridge) เป็นหญิงสาวเจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ ในลอนดอนที่แทบไม่มีลูกค้า มีแฟนหนุ่มคนหนึ่งที่เธอคบ ๆ เลิก ๆ สลับกับมีความสัมพันธ์แบบ one-night stand ไปเรื่อย มีพี่สาวที่ประสบความสำเร็จในการงานจนอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ ส่วนตัวเธอยังจมอยู่กับความเสียใจที่เพื่อนสนิทเสียชีวิตเพราะจับได้ว่าแฟนมีอะไรกับคนอื่น ตลอดซีซั่นจะพาไปดูความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่แม้จะดูห่างเหินแต่ก็มีความห่วงใยลึก ๆ และความสัมพันธ์กับหนุ่มรอบตัวที่วนเวียนกันเข้ามา
.
จริง ๆ มันเป็นซีรีส์ที่พูดเหมือนจะทะลึ่งได้เป็นธรรมชาติจนไม่รู้สึกว่าทะลึ่งเลย กลับรู้สึกถึงความธรรมดาเพราะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ พอมองเรื่องบนเตียง, การช่วยตัวเอง, และเรือนร่างใต้สะดือเป็นเรื่องปกติ มันก็ปกติจริง ๆ ขึ้นอยู่กับคู่สนทนาและประเด็นที่หยิบมาพูด เวลาฟีบี้เล่นมันไม่รู้สึกคุกคามหรือสัปดน กลับกันเวลาคนอื่น ๆ พูดหลายครั้งชวนอึดอัดขึ้นมา เช่นสามีของพี่สาวตัวเองที่พูดจาคุกคามทางเพศมาก หรือแม่เลี้ยงที่โพล่งถึง sex ของสามี(พ่อของนางเอก) ขึ้นมาจนจังหวะกระอักกระอ่วน
.
ตลอด 3 ชั่วโมง ซีรีส์สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งที่เล่นตลกมาตลอดทางได้อย่างเนียนกริบ ยิ่งการไต่ระดับมิติความลึกของนางเอกคือดีงามมาก ค่อย ๆ มาในจังหวะไม่ทันตั้งตัว ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าซีรีส์ไม่ได้มาขายขำอย่างเดียว สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเสียงหัวเราะมันมีความเศร้าและความเป็นมนุษย์ธรรมดาแอบซ่อนอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ทำให้เราตกหลุมรักซีรีส์เรื่องนี้

Creator: Phoebe Waller-Bridge (ผู้สร้าง Killing Eve)

6 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 30 นาที)
A

#หนังโปรดxซีรีส์AmazonPrimeVideo