สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
同時也有11部Youtube影片,追蹤數超過204萬的網紅XE HAY,也在其Youtube影片中提到,XPeng G3 2019 - Chiếc Tesla Trung Quốc giá chỉ dưới 500 triệu | XE HAY Fanpage: http://facebook.com/xehay Facebook HÙNG LÂM: https://web.facebook.com/...
xpeng 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
William Li ใช้เวลา 6 ปี สร้างรถไฟฟ้า NIO ให้มูลค่าบริษัทมากกว่า BMW /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงแบรนด์รถหรู เชื่อว่าคำตอบในใจของหลาย ๆ คน
คงหนีไม่พ้น Mercedes-Benz กับ BMW
ซึ่งหากเราเอาอายุของทั้ง 2 แบรนด์มารวมกันจะอยู่ที่ 200 ปีพอดี
แต่รู้หรือไม่ว่า ? มีบริษัทรถยนต์ที่มีอายุได้เพียง 6 ปี
แต่กลับมีมูลค่าที่สูสีกับแบรนด์รถในตำนานทั้งสอง
บริษัทนั้นคือ “NIO Inc.” บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน โดยปัจจุบัน
- Daimler AG บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz มีมูลค่าอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท
- NIO Inc. มีมูลค่าอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
- BMW มีมูลค่าอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านบาท
โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NIO Inc. คือ “William Li” ซึ่งในวัยเด็กเขาไม่ได้เกิดมามีชีวิตที่สุขสบายนัก เขาเกิดมาท่ามกลางหุบเขาที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เลย
แต่วันนี้เขาสามารถพาบริษัท NIO Inc. ขึ้นมาจนมีมูลค่าเทียบเคียงกับ Mercedes-Benz และ BMW ได้
เรื่องราวนี้เป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
William Li หรือ Li Bin เกิดเมื่อปี 1974 ที่ Anhui จังหวัดทางฝั่งตะวันออกของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยภูเขา ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองที่ยากจน จึงทำให้ในช่วงที่เขาเกิด ที่บ้านเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้
กว่าที่บ้านเขาจะได้มีไฟฟ้าใช้ เขาก็อายุได้ 10 ขวบแล้ว
พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน ซึ่งมีระยะทางไกลจากบ้านถึง 300 กิโลเมตร เขาจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของตากับยายเป็นหลัก
ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างยากจน คุณตากับคุณยายจึงสอนให้ William Li รู้คุณค่าของการทำงานหนัก
ทำให้เขาเป็นคนที่มีความขยันและชอบทำงานตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นช่วยทำฟาร์ม หรือช่วยงานที่ร้านสะดวกซื้อของคุณตา
ด้วยความขยันและตั้งใจของ William Li ทำให้เขาสามารถเข้าเรียนที่ Peking University ได้ ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในจีน
ระหว่างเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาทำงานพาร์ตไทม์หลายงาน เช่น ติวเตอร์ เซลส์ขายของ และรับจ้างเขียนโปรแกรม เพื่อนำเงินมาช่วยจ่ายเป็นค่าเรียน
แม้จะทำงานและเรียนไปพร้อม ๆ กัน แต่เขาก็สามารถเรียนจบระดับปริญญาตรีได้ถึงสองสาขา
คือ สาขาสังคมวิทยา และ Computer Science ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่เขาถนัด ทำให้เขาอยากทำงานที่ได้ใช้ความสามารถในด้านนี้
ในช่วงปี 1989 เป็นช่วงเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตในประเทศจีน และเริ่มมีการใช้กันแพร่หลายมากขึ้นในปี 1994 ซึ่งเป็นช่วงปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยของเขาพอดี
เมื่อเขาเห็นโอกาสตรงจุดนี้ เขาจึงชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกคน มาก่อตั้งบริษัทชื่อ Beijing Antarctic Technology Development ซึ่งถือเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตแรก ๆ ในจีน
และต่อมา เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท Bitauto Holdings Limited ขึ้นมาในปี 2000
Bitauto Holdings Limited เป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนสามารถนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2010
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ William Li ถูกเรียกว่าเป็น “Serial Entrepreneur” ซึ่งเป็นคำที่มักใช้เรียกนักธุรกิจที่มีความคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและร่วมลงทุน มาแล้วมากถึง 40 บริษัท
และแม้ว่าเขาคือคนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว แต่ William Li ไม่ได้หยุดแค่นี้และเดินหน้าหาความท้าทายกว่าเดิม ครั้งนี้คือการเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์แบบเต็มตัว
ในปี 2014 เขาก่อตั้งบริษัท NIO Inc. ขึ้นมา
บริษัททำธุรกิจพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยรถรุ่นแรกที่ NIO พัฒนาขึ้นมาเป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าสองที่นั่ง
ชื่อรุ่น EP9 โดยชื่อย่อมาจาก Electric Performance 9
ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนมีบริษัทยักษ์ใหญ่และกองทุนขนาดใหญ่ทั้งหลายมาร่วมลงทุนด้วย เช่น Baillie Gifford, BlackRock, Temasek และ Tencent
จนในเดือนกันยายน ปี 2018 William Li ก็สามารถนำ NIO Inc. เข้าตลาดหลักทรัพย์ NYSE ได้สำเร็จ
แล้วปัจจุบัน NIO มีผลประกอบการเป็นอย่างไร ?
ปี 2018 รายได้ 23,500 ล้านบาท ขาดทุน 46,891 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 35,294 ล้านบาท ขาดทุน 54,288 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 77,595 ล้านบาท ขาดทุน 27,177 ล้านบาท
แม้ว่าผลประกอบการของ NIO จะกำลังเติบโตได้ดี แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจของ NIO อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นเมกะเทรนต์อย่าง รถยนต์ไฟฟ้า ก็เลยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้ไม่น้อย
ทำให้ปัจจุบัน NIO Inc. มีมูลค่าอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
และทุกวันนี้ แบรนด์รถเกือบทุกแบรนด์ กำลังมุ่งเข้าสู่เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า อย่างในจีนและฮ่องกงก็มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามากมาย เช่น XPeng, BYD และ NIO
ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ปัจจุบันมีการแข่งขันที่เรียกได้ว่าดุเดือดมาก ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้
แต่สำหรับ William Li ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NIO
ตอนนี้ เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลร่ำรวยของจีนและของโลกไปแล้ว
โดยมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกประเมินอยู่ที่ 230,000 ล้านบาท
หลายคนคงคิดว่า หากเราเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ และบริษัทหนึ่งที่กำลังอยู่ในสมรภูมิรบแห่งนี้ เราอาจมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา
แต่สำหรับ William Li แล้ว เขากลับมองว่าเรื่องยาก ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ถ้าผมสามารถทำสำเร็จได้ในจีน คงไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่สามารถทำมันสำเร็จในที่อื่นบนโลกนี้”
ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้ เขาได้วางแผนนำรถยนต์ไฟฟ้า NIO ไปเจาะตลาดนอร์เวย์ เป็นตลาดต่างประเทศแรก ๆ อีกด้วย
หากดูจากวิสัยทัศน์ และผลงานที่ผ่านมาของ William Li ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่วันนี้ เขาจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
และก้าวจากเด็กที่เกิดในหุบเขา ที่ไฟฟ้าเคยเข้าไม่ถึง มาเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญของโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.forbes.com/sites/ywang/2021/06/03/ev-billionaire-william-li-is-chasing-growth-overseas/?sh=5feaa5171a80
-https://www.youtube.com/watch?v=JmjvVTxcWAk&t=499s
-http://www.niocapital.com/index.php?m=content&c=index&a=show&catid=223&id=1
-https://en.wikipedia.org/wiki/NIO_(car_company)
-https://artsandculture.google.com/entity/william-li/g11fjwxjps5?hl=en
-https://companiesmarketcap.com
-https://en.wikipedia.org/wiki/Internet_in_China
-NIO Inc. Annual Report 2020
-https://www.nio.com/news/nio-announces-norway-strategy
xpeng 在 KIM Property Live Facebook 八卦
เมื่อ EVs จะไม่แพงอีกต่อไป ใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือยัง?
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วที่รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EVs เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่ามันจะเกิดขึ้นได้ไหม จะเข้ามาทดแทนรถเครื่องยนต์สันดาปน้ำมันได้หรือไม่ ในขณะนั้นค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ก็ยังมีท่าทีที่ไม่ชัดเจนมากนักในเรื่องการพัฒนา EVs
สาเหตุสำคัญหลัก ๆ นั่นคือเรื่อง “ความคุ้มค่าในการลงทุน” เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่ของ EVs นั้นเป็นต้นทุนของแบตเตอรี่ที่มีราคาสูงมากและด้วยเทคโนโลยีในเวลานั้น ทำให้การจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับรถเครื่องยนต์สันดาปนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่าหลายเท่าตัว มันจึงเป็นไปได้ยากที่ EVs จะทำได้ในเชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตามในเวลานั้นก็มีกลุ่มคนที่สังคมมองว่าเพี้ยน ๆ นำโดย Elon Musk ที่เชื่อว่า EVs นั้นเป็นไปได้จริง โดยพวกเขารู้ดีว่าโจทย์สำคัญคือเพวกเขาต้องพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีราคาถูกลงจนแข่งขันกับตลาดรถยนต์ทั่วไปได้
จนล่าสุดเมื่อปลายเดือนที่แล้ว Tesla ได้จัดงานอีเวนท์หนึ่งที่ชื่อว่า Battery Day เพื่อเป็นการบอกให้โลกได้รับรู้ว่า ต่อไปนี้ EVs จะไม่มีข้อครหาเรื่องราคาแพงอีกต่อไป เพราะ Tesla ได้พัฒนาแบตเตอรี่ให้มีราคาถูกจนสามารถสู้กับรถยนต์ทั่วไปได้แล้ว และ Tesla จะสามารถออก EVs ที่ราคาขายอยู่ที่ $25,000 (ประมาณ 775,000 บาท) ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ส่วนประเด็นเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนนั้น ผมไปเจอบทความหนึ่งใน Business Insider ได้พูดถึงบทวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ที่เปิดเผยว่าความจริงแล้ว EVs นั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปน้ำมันถึง 2 เท่าตั้งแต่ปี 2019 แล้ว
ในปี 2017-2019 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง General Motors นั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 10.7% โดยถ้าดูแค่ 2019 ปีเดียวนั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 9.8% เท่านั้น อย่างไรก็ตามค่าย BMW จากเยอรมันนั้นมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 16.7%
แต่รู้หรือไม่ครับว่ามันก็ยังน้อยกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ EVs จาก Tesla อยู่ดี เพราะในปี 2019 ที่ผ่านมานั้น อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของ EVs แต่ละรุ่นของ Tesla อยู่ที่ 20.8% แล้วจะเพิ่มเป็น 21.6% และ 24% ในปี 2020 และ 2021 ตามลำดับ เนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ลดลง
โดยการลดต้นทุนของแบตเตอรี่นั้นไม่ได้เป็นข่าวดีสำหรับ Tesla เท่านั้น แต่ยังเป็นข่าวดีกับบริษัทอื่น ๆ ที่มุ่งพัฒนา EVs เช่น Workhorse, NIO , XPeng ฯลฯ อีกด้วย เพราะส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้จะมีจุดเด่นด้านซอฟต์แวร์อัตโนมัติต่าง ๆ ที่ใช้ในรถยนต์ แต่ส่วนที่เป็นกลไกการขับเคลื่อนของรถยนต์จริง ๆ นั้นยังต้องอาศัยการพัฒนาของ Tesla นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่พัฒนา EVs ต่าง ๆ นั้นมีทิศทางล้อไปกับหุ้น Tesla ที่ขึ้นมากว่า 4 เด้งตั้งแต่ต้นปี
แต่ EVs ก็ยังเหลือปัญหาใหญ่อยู่อีกหนึ่งเรื่อง คือเรื่อง “ระยะเวลาการชาร์ตแบต” ที่แม้ว่าจะพัฒนาให้ชาร์ตได้เร็วแรงแค่ไหนได้ขนาดไหน แต่ปัจจุบันก็ยังต้องใช้เวลาชาร์ตไฟอย่างน้อยถึง 30 นาที ซึ่งคุณก็คงไม่ยอมเสียเวลาขนาดนั้นในระหว่างการเดินทางเพื่อรอชาร์ตไฟแน่ ๆ
ทาง NIO และ Elon Musk ก็ได้พยายามคิดวิธีแก้ปัญหาโดยใช้วิธีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่แทน แต่ก็ยังดูเป็นไปได้ยากที่จะนำวิธีนี้มาใช้จริงอย่างแพร่หลาย เพราะคุณก็ทราบดีว่ากว่า 50% ของราคา EVs นั้นเป็นราคาของแบตเตอรี่ ฉะนั้นถ้าคุณต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นนี้กันแบบรายวันก็คงจะมีเรื่องให้วุ่นวายใจตามมาไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ก็ต้องดูกันต่อไปครับว่า Elon Musk จะสามารถลบคำปรามาสเหล่านี้และทำให้โลกตะลึงได้อีกครั้งหรือเปล่า
ลองมาทายกันเล่น ๆ ไหมครับ เพื่อน ๆ ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถเข้ามาแทนที่รถเครื่องยนต์สันดาปได้จริง ๆ ในอีกกี่ปี พร้อมเหตุผลด้วยนะครับ
.
แอดปุง
xpeng 在 XE HAY Youtube 的評價
XPeng G3 2019 - Chiếc Tesla Trung Quốc giá chỉ dưới 500 triệu | XE HAY
Fanpage: http://facebook.com/xehay
Facebook HÙNG LÂM: https://web.facebook.com/tonypham.xehay
Chương trình XE HAY phát sóng trên kênh FBNC vào lúc:
FBNC
21h00 CHỦ NHẬT hàng tuần (phát chính)
Thứ 2: 18h30
Thứ 3, 6: 21h30
Thứ 4, 5: 17h30
Thứ 7: 18h00
Liên hệ: noidung@xehay.vn
#xPeng #Xiaopeng #xPengG3
xpeng 在 คุยการเงินกับที Youtube 的評價
อย่ามองแต่ด้านบวก หุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นโอกาสก็จริง แต่ต้องเลือกให้ถูก
เปิดมุมมองใหม่จกบทวิเคราะห์หุ้นเทค มุมมองการดูแนวโน้มฟองสบู่ และวิธีที่ใช้ในการมองหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งอุตสาหกรรม NIO, TESLA, LI AUTO, XPENG
ARK
สมัครเป็นสมาชิกของช่องนี้เพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ
https://www.youtube.com/channel/UC8qPSWixGtj9_Oz47-Y7wkQ/join
xpeng 在 Welldone Guarantee Youtube 的評價
#รถยนต์ไฟฟ้า #รถไฟฟ้า #Xpeng
Xpeng Motor หรือ เสี่ยวเผิง ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่มาแรง ที่มีอายุเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น สามารถขึ้นมาเป็นแบรนด์ระดับโลกที่คนยอมรับ เป็นรถที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีไอที และระบบ Auto Pilot ที่ถือว่า เป็นน้องๆ ของเทสล่าได้เลย แถมสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า
เรามาดูกันว่าจากจุดเริ่มต้น จนมาถึงจุดที่สามารถเป็นที่ยอมรับในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง มาติดตามดูกันในซีรีย์ Tesla Killer
?⚡สำหรับใครที่สนใจอยากเป็นส่วนหนึ่งของเมกกะเทรน เรื่องของความรู้การลงทุนในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า สามารถลงชื่อเพื่อสมัครเข้าเรียนได้ที่ (สอนโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ที่ลงทุนในกลุ่มนี้) รับจำนวนจำกัด!!
http://bit.ly/39R13Kq
??ตั้งใจจะเป็นช่องทางในผลักดัน รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้??
เข้ามาเป็นส่วนนึงในการผลักดันเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า??
http://bit.ly/32goZWI
Tik Tok: http://bit.ly/3goOcUU
IG: welldone_guarantee
ติดต่องานได้ที่
[email protected]
xpeng 在 XPENG - YouTube 的八卦
XPENG's vision of the future is one where mobility is more intelligent, intuitive and accessible to all. Not limited to road, sky or sea. ... <看更多>