เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้มีโอกาสไปดูหนังสารคดีเรื่อง The Man Who Walked Around the World.วันนี้เลยอยากเอาเล่าให้ฟัง (ถึงแม้จะช้าไปนิด)
ก่อนอื่นขอเล่าถึงสถานที่ฉายหนัง นั่นคือ โรงหนังปริ๊นซ์ ที่เจริญกรุง ใครที่ผ่านช่วงวัยรุ่นมาในยุค 80’s เหมือนผมคงจะรู้จัก หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อโรงหนังนี้มาบ้าง ถึงแม้วันนี้ชื่อนี้จะหมายถึงแหล่งซื้อโจ๊กเจ้าอร่อย แต่ในยุคนั้นเรารู้กันว่าเราจะได้ดูหนังแบบไหนที่โรงนี้ สำหรับใครที่ไม่รู้ก็จะใบ้ให้ว่าเขาจะฉายอย่างน้อยสองเรื่องควบและไม่ค่อยบอกชื่อเรื่อง ส่วนใหญ่จะบอกแค่ ไทยควบฝรั่ง หรือฝรั่งควบจีน อะไรแบบนี้ เล่ามาถึงตรงนี้แล้วไม่รู้ว่าถ้าบอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ดูหนังที่นี่ คุณจะเชื่อไหม
The Man Who Walked Around the World. เป็นผลงานจาก SomethingTM Originals และ Partizan Films โดยได้ฝีมือของ Anthony Wonke ผู้กำกับสารคดีที่มีผลงานคว้ารางวัลระดับโลกมามากมาย ทั้ง BAFTA และ Emmy มาเป็นผู้กำกับ หนังเล่าเรื่องราวของการเดินทางของแบรนด์วิสกี้ยี่ห้อหนึ่งที่นอกจากจะเป็นที่รักในหมู่นักดื่มแล้วยังเข้าไปอยู่ในหลายส่วนของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมตลอด 200 ปีที่ผ่านมา วิสกี้ที่ว่านี้มีชื่อว่า Johnnie Walker
หนังเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงเหตุการณ์ในสงครามอันดุเดือดที่อิรัก แล้วอยู่ดีดีก็วกเข้าเรื่องวิสกี้ซะงั้น แล้วหลังจากนั้นก็วกเข้าเรื่องอื่นๆ อีกมากมายหลายมิติอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ร่วมกัน ในหนึ่งชั่วโมงกว่าๆได้ ตื่นเต้นและได้รู้ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องวัฒนธรรม การสร้างแบรนด์ และอย่างไม่น่าเชื่อ หนังปิดท้ายด้วยการให้แรงบันดาลใจให้เราอยากทำสิ่งที่ดีอยู่ให้ดีขึ้น และมุ่งมั่นในสิ่งที่เราเชื่อโดยไม่หวั่นไหว ต่ออุปสรรคใดใด ดูจบแล้วอยากจะเดินต่อไปข้างหน้าในท่าเดียวกับฉลากข้างขวดซะเดี๋ยวนั้น
ผมชอบเรื่องประวัติศาสตร์เป็นทุนอยู่แล้ว เลยดูหนังเรื่องนี้อย่างสนุกสนานตั้งแต่จนจบ คนที่เล่าก็มาจากหลากหลายวงการ มีทั้งนักร้อง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัฒนธรรม นักเขียน หรือคนจากแบรนด์เอง มันก็สร้างเสน่ห์ให้กับการเล่าเรื่อง เพราะเต็มไปด้วยเกร็ดเล็กน้อยทั้งที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นเรื่องของการก้าวไปสู่ยุคใหม่ของแบรนด์เอง ซึ่งนานๆ ที่จะมีแบรนด์ใหญ่ๆ มาเล่าเรื่องของตัวเองผ่านหลายมิติสนุกๆ แบบนี้ เกร็ดในเรื่องที่ผมชอบก็อย่างเช่น
1. ในซาอุดิอาระเบีย ผู้คนที่นั่นรัก Johnnie Walker จนตั้งชื่อเล่นให้ว่า Golden Coca Cola และเรียกท่าเต้นที่เกิดขึ้นหลังการดื่มนี้เครื่องดื่มนี้ว่า Coca Cola Swing ถือว่า iconic มากถึงกับมีคนตั้งชื่อเล่นให้โดยเฉพาะเลย
2. Whisky Blending คือการผสมวิสกี้ 40 ชนิดเข้าด้วยกัน ความยากคือผสมยังไงให้ได้รสชาติเหมือนเดิมได้ตลอด คนทำหน้าที่นี้จึงเป็นคนพิเศษมาก
3. คนทรงที่เมียนมาร์ เป็นอาชีพแรกที่ทำให้กลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่นั่นเป็นที่ยอมรับในสังคม และเครื่องบูชาเทพที่ได้รับความนิยมที่นั่นคือ Johnnie Walker ถวายกันตามแรงศรัทธา ไล่ไปตั้งแต่ Red Label ยัน Blue Label ผมเซอร์ไพร์สมากนะ นึกไม่ถึงว่า Johnnie Walker ได้เข้าไปอยู่ในมิติเชิงความเชื่อแบบนี้ด้วย
4. ทำไมขวดต้องเป็นทรงเหลี่ยม เพราะมันบรรจุลังขนส่งได้ง่ายกว่า และใช้พื้นทีได้คุ้มกว่า เพราะเมื่อก่อนจะขนไปทางเรือก็ต้องหาวิธีสร้างสรรค์มาช่วยตัวโปรดัค
5. คุณ Striding Man ในโลโก้นั้นเคยเดินจากขวาไปซ้าย แต่ปัจจุบันเดินจากซ้ายไปขวา ( น่าจะเป็นเพราะในทางจิตวิทยา การเดินจากซ้ายไปขวาจะเป็นการเดินไปข้างหน้า ส่วนขวาไปซ้ายคือเดินกลับไปข้างหลัง) ก็ถือว่าเป็นการแสดงจุดสำคัญในเรื่องของสปิริตของการ Keep Walking จริงๆ
6. ชาวเวนิสเป็นผู้คิดค้นการโฆษณาแฝงในแบบ Product Placement เป็นครั้งแรกในโลก โดยแอบวาดแก้วน้ำไว้ในรูปภาพ (ที่ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแก้วน้ำ) เพื่อจะบอกว่า ชาวเวนิสผลิตแก้วเก่งนะ ผมชอบนะเวลาได้รู้เกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ น้อยๆแบบนี้ มันสนุกมากๆ
7. มีวัดในอินเดียตั้งชื่อตามดาราดังที่นั่น / มีดาราอินเดียตั้งชื่อตาม Johnnie Walker / และมีคนอินเดียเชื่อว่า Johnnie Walker ตั้งชื่อตามดาราคนนั้นอีกที
เนี่ย อะไรแบบเนี้ย ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกได้ตลอดทั้งเรื่อง และยิ่งได้มานั่งดูในบรรยากาศของโรงหนังในตำนานในย่านเก่าๆของกรุงเทพยิ่งให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินบรรยาย
แต่ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้ฉายที่โรงหนังนั้นแล้ว คุณก็ยังเปิดดูใน True ID ได้ แต่ต้องรีบหน่อยนะ เพราะมีให้ดูถึงวันที่ 28 กุมภานี้เท่านั้น
ยิ่งช่วงนี้ต้อง WFH มีเวลาอยู่บ้านกันมากขึ้น หรือใครกำลังหาอะไรดู ก็ลองดูได้เผื่อได้ inspire อะไรจากหนังเรื่องนี้
ตามไปดูได้เลยที่ https://bit.ly/3oMcA6g
#Themanwho #200thyears #JohnnieWalker #KeepWalkingให้ไกลกว่าเดิม
