เวเนซุเอลา ประเทศที่ “เคยรวยกว่า” ไทย / โดย ลงทุนแมน
เมื่อ 60 ปีที่แล้ว คนเวเนซุเอลามีรายได้ต่อหัวมากกว่าคนไทย 11 เท่า
ปี 1960 คนเวเนซุเอลามีรายได้ต่อปี 24,130 บาท
ในขณะที่คนไทยมีรายได้ต่อปีเพียง 2,140 บาท
ถามว่าคนเวเนซุเอลา “รวย” ขนาดไหน เมื่อ 60 ปีที่แล้ว
รายได้ต่อหัว 24,130 บาทต่อปี ของคนเวเนซุเอลา
มากกว่ารายได้ต่อหัวของคนเนเธอร์แลนด์ และคนอิตาลีในช่วงเวลาเดียวกัน
และมากกว่ารายได้ต่อหัวของคนญี่ปุ่นในเวลานั้นถึง 2 เท่า
เวเนซุเอลาส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลักมาตั้งแต่ปี 1917 หรือกว่า 102 ปีมาแล้ว
และเวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ OPEC
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นหลายต่อหลายครั้งนำรายได้มหาศาลมาให้ประเทศนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องนี้กลับทำให้เวเนซุเอลาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายครั้ง จนนำมาสู่สภาวะล้มละลายในปัจจุบัน
หลายคนคงพอทราบเรื่องราว การคอร์รัปชันและการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของผู้นำประเทศ ซึ่งแน่นอนว่ามีส่วนสำคัญในความล้มเหลวของเวเนซุเอลาในวันนี้
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ
ในอดีตช่วงหนึ่ง ประชาชนเวเนซุเอลาไม่ได้ยากจน
ในทางตรงกันข้าม คนเวเนซุเอลาในอดีต ส่วนใหญ่แล้วมีความสุขอยู่บนความมั่งคั่ง
แล้วในตอนนั้น ผู้คนในประเทศเวเนซุเอลา นำเงินจากความมั่งคั่งนี้ไปทำอะไร?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ ซีรีส์บทความ ประเทศที่ “เคยรวยกว่า” ไทย ตอน เวเนซุเอลา
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
ที่มีแต่ความรู้มากมาย
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
ถ้าถามว่าผู้นำประเทศทำอะไรผิด นอกจากคอร์รัปชัน อาจเป็นสิ่งที่ทุกคนนึกไม่ถึง
เรื่องแรกก็คือ “การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่” หรือ Fixed Exchange Rate
จุดเริ่มต้นหายนะของประเทศนี้ เริ่มในช่วงปี 1964 - 1983 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลเวเนซุเอลาได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่
โดยตั้งค่าเงินของประเทศไว้สูงกว่าความเป็นจริงเป็นระยะเวลานาน
ซึ่งเรียกในทางเศรษฐศาสตร์ว่า Prolonged Currency Overvaluation
สาเหตุสำคัญคือ ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงอย่างมาก
น้ำมันเป็นสินค้าส่งออกหลักในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา
รัฐบาลจึงมีเงินตราต่างประเทศมากพอที่จะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
การที่ค่าเงินสูงกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาถูกกว่าความเป็นจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้
ชาวเวเนซุเอลาจึงไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าเอง
เอาเงินที่ได้จากการขายน้ำมัน มาจับจ่ายใช้สอยสินค้านำเข้าจากต่างประเทศในราคาถูก
รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยจากยุโรป และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่น
การใช้จ่ายที่มากเกิน ทำให้อัตราการออมของชาวเวเนซุเอลาลดต่ำลง
เพราะเชื่อว่าเขาจะมีอำนาจซื้อสินค้าคุณภาพดีจากทั่วโลกแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้การลงทุนภาคเอกชนของเวเนซุเอลาก็แทบไม่เกิดขึ้น..
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การลงทุนภาคเอกชน คือปัจจัยสำคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตในระยะยาว
ตลอดเวลาในช่วงทศวรรษ 1970 อัตราการลงทุนภาคเอกชนของเวเนซุเอลา อยู่ที่อัตราต่ำกว่า 25% ของ GDP
ปัจจัยที่ทำให้อัตราการลงทุนต่ำ มีหลายสาเหตุ ทั้งอัตราการออมต่ำ และภาคเอกชนไม่มั่นใจในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ลงทุนผลิตอะไรไป ก็อาจขายไม่ออก
แม้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ราคาถูก จะทำให้วัตถุดิบมีราคาถูกไปด้วย แต่สินค้าสำเร็จรูปก็มีราคาถูกไม่แพ้กัน
นั่นหมายความว่า หากเอกชนสักแห่งต้องการลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้า เช่น สบู่ หรือเสื้อผ้า
ต้องมั่นใจว่าจะสามารถผลิตออกมาแล้วสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนอย่างมากก็คือ นโยบายประชานิยมของรัฐบาล..
เมื่อน้ำมันมีราคาสูง รัฐบาลได้ใช้เงินอย่างมหาศาลไปกับการลงทุนในสาธารณูปโภค สร้างถนน สร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า กำหนดราคาพลังงานในราคาถูก เพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการ และจ้างข้าราชการเพิ่มเป็นจำนวนมาก
รวมไปถึงการออกกฎหมายแรงงาน ทั้งการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และการปกป้องแรงงาน
หากนายจ้างจะพักงานหรือไล่ลูกจ้างจากงาน จะต้องเสียค่าชดเชยสูงมาก
เมื่อฝั่งนายจ้างต้องแบกรับค่าแรงที่สูง แต่แลกมากับแรงงานไร้ประสิทธิภาพที่ไม่สามารถไล่ออกได้ บวกกับผลิตสินค้าออกมาก็ไม่สามารถสู้ราคากับสินค้านำเข้าได้
สิ่งที่เกิดขึ้น ภาคเอกชนจึงเลือกที่จะไม่ผลิตอะไรเลย
ประสิทธิภาพในภาคการผลิตของประเทศนี้จึงลดลงเรื่อยๆ
สินค้าในท้องตลาดของเวเนซุเอลา ส่วนใหญ่จึงเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
โดยรายได้หลักของประเทศ มาจากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งคิดเป็น 95% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
ทุกอย่างพึ่งพิงน้ำมันเพียงอย่างเดียว ทำให้เรื่องนี้เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่นับถอยหลังรอวันหายนะ
แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น
ราคาน้ำมันลดต่ำลง
จากราคา 35.5 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ในปี 1980
ลดลงอยู่ที่ 13.5 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ในปี 1985
ในขณะที่อัตราการลงทุนภาคเอกชนก็ลดต่ำลงเรื่อยๆ
จาก 25% ของ GDP ในช่วงทศวรรษ 1970
เหลือไม่ถึง 15% ของ GDP ในช่วงทศวรรษ 1980
ในช่วงแรก บริษัทน้ำมันของรัฐยังมีกำไรหลงเหลืออยู่ รัฐบาลจึงยังมีเงินมาใช้จ่ายในสวัสดิการต่างๆ แต่เนื่องจากปัญหาคอร์รัปชันที่ฝังรากลึก รวมกับโครงการประชานิยมมากมาย
ท้ายที่สุด รัฐบาลก็ต้องไปขอกู้เงินจาก IMF
แต่ IMF ไม่ให้กู้ง่ายๆ IMF ย่อมต้องอยากได้เงินต้นคืน ซึ่งต้องมีเงื่อนไขให้รัฐบาลที่กู้ปฏิบัติตาม
ดังนั้น รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงจำเป็นต้องมีมาตรการปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจ
คือการควบคุมค่าใช้จ่าย ลดสวัสดิการ และลดค่าเงินเพื่อสะท้อนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
การลดค่าเงินในตอนนั้น ทำให้ค่าเงินโบลิวาร์อ่อนค่าลงทันที
สินค้านำเข้าที่เคยมีราคาถูกจึงมีราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ “ภาวะเงินเฟ้อ”
อัตราเงินเฟ้อปี 1985 อยู่ที่ระดับ 11.4%
อัตราเงินเฟ้อปี 1989 อยู่ที่ระดับ 84.5%
ภาวะเงินเฟ้อส่งผลร้ายแรง จนก่อให้เกิดการจลาจลในปี 1989 จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน
และเมื่อไม่ตัดสวัสดิการกับคนส่วนใหญ่
ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความเหลื่อมล้ำ..
ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่มีมานานในสังคมเวเนซุเอลา
การคอร์รัปชันอย่างหนัก ทำให้รายได้หลักจากน้ำมันตกอยู่ในมือของกลุ่มผู้นำ ข้าราชการ และเครือข่ายเอกชนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล
ผลลัพธ์ก็คือ ประเทศเวเนซุเอลามีผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนถึง 55.6% ของประชากรทั้งประเทศ ในปี 1997
ซึ่งจริงๆ แล้วในจุดนั้น ถ้ารัฐบาลเลือกเดินทางที่ถูกต้อง ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ และไม่สายเกินไป
แต่เหมือนโชคชะตาทำให้ประเทศนี้ต้องกลับไปเดินในทางที่ผิดอีกครั้ง..
ในปี 1998 ประชาชนได้เลือก อูโก ชาเบซ นักการเมือง “ขวัญใจคนจน” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
ช่วงเวลานั้นทุกอย่างเป็นใจให้เวเนซุเอลา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
จากราคา 12.3 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ในปี 1998
เพิ่มมาที่ 105.9 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ในปี 2013
ความได้เปรียบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยอีกครั้ง ทั้งสวัสดิการต่างๆ และการนำเข้าสินค้า
โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยวอยู่แล้ว
ถูกซ้ำเติมด้วยการกำหนดราคาสินค้าพื้นฐานในระดับต่ำ ทำให้ภาคเอกชนยิ่งอยู่ไม่ได้
การลงทุนภาคเอกชนลดลงไปมากกว่าเดิม จนอยู่ต่ำกว่า 10% ของ GDP ในช่วงทศวรรษ 2000
จำนวนบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจกว่า 13,000 แห่ง ในปี 1999
เหลือเพียง 4,000 แห่ง ในปี 2016
บัดนี้ เวเนซุเอลาต้องนำเข้าแม้แต่สินค้าพื้นฐาน อย่างอาหารและยา
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ทำการยึดเปโตรเลออส เดอ เวเนซุเอลา บริษัทผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มาเป็นของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขาดการลงทุนในระบบการผลิตและสำรวจ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง
และแล้ว ประธานาธิบดีชาเบซก็จากไปในปี 2013
โดยมีผู้สืบทอดตำแหน่ง คือ ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร
มรดกของประเทศที่บิดเบี้ยวถูกทิ้งไว้ให้ มาดูโร พร้อมกับฝันร้ายครั้งใหญ่สุดของประเทศนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในปี 2016 ราคาน้ำมันลดลงอย่างหนักมาอยู่ที่ระดับ 40.7 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล
แล้วทุกอย่างก็วนมาที่ลูปเดิม และหนักกว่าเดิม..
เวเนซุเอลาเผชิญภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก เพราะรัฐบาลแทบไม่เหลือเงินตราต่างประเทศแล้ว
ค่าเงินโบลิวาร์จึงอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง
ในขณะที่สินค้าแทบทุกอย่าง จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
อัตราเงินเฟ้อ ปี 2017 อยู่ที่ระดับ 493.6%
อัตราเงินเฟ้อ ปี 2018 อยู่ที่ระดับ 929,789.5%
อัตราเงินเฟ้อ ปี 2019 คาดว่าอยู่ที่ระดับ 10,000,000%
ลองนึกภาพว่าถ้าเราตื่นขึ้นมา ทุกคนไม่ว่าจะเป็น หมอ ครู วิศวกร นักบิน พนักงาน ทุกๆ คนในประเทศนี้ เงินที่ฝากอยู่ในบัญชีธนาคารไม่มีค่า ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์ เอาเงินไปซื้ออะไรก็ไม่ได้
สิ่งที่ตามมาก็คือ ประชาชนกว่า 4.5 ล้านคนต้องอพยพออกนอกประเทศ
และประชาชนที่อยู่ในประเทศก็แทบไม่เหลืออะไร
ไม่เหลือแม้แต่ความหวัง..
เรื่องราวทั้งหมดคือบทเรียนของประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งเคย “รวย” กว่าไทย ถึง 11 เท่า
แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นประเทศล้มละลาย
ซึ่งเราคนไทยสามารถเรียนรู้เพื่อไม่ให้ประเทศเดินทางไปสู่จุดนั้น
นอกจากเวเนซุเอลาแล้ว
ยังมีอีก 1 ประเทศในทวีปแอฟริกา ที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเช่นเดียวกัน
ทั้งที่ประเทศนี้ก็อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย
ประเทศที่ชื่อว่า “สาธารณรัฐซิมบับเว”..
ติดตาม ซีรีส์ ประเทศที่ “เคยรวยกว่า” ไทย ตอนต่อไปได้ในสัปดาห์หน้า
โหลดแอป Blockdit เพื่ออ่านซีรีส์ตอนก่อนหน้านี้ ได้ที่ Blockdit.com/download
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
ที่มีแต่ความรู้มากมาย
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-Inflation and hyperinflation in Venezuela (1970s-2016), Marta Kulesza
-เล่าเรื่องเมืองน้ำมัน, ดร.ไสว บุญมา
-https://en.wikipedia.org/…/List_of_countries_by_past_and_pr…
-https://fred.stlouisfed.org/series/FXRATEVEA618NUPN
-https://www.statista.com/…/change-in-opec-crude-oil-prices…/
-https://data.worldbank.org/indicator/NE.GDI.FPRV.ZS…
-https://data.worldbank.org/indicator/SI.POV.NAHC…
-https://www.statista.com/…/371…/inflation-rate-in-venezuela/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過67萬的網紅Kim Property Live,也在其Youtube影片中提到,ชอบมาก อยากเลี้ยงกาแฟผม : https://ko-fi.com/kimpropertylive แจกคอร์สเรียนฟรี : http://line.me/ti/p/%40spc2852x บทความอสังหา : http://www.properth.com/...
venezuela hyperinflation 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
ทำไม มาตรการ QE ของสหรัฐ ไม่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ขั้นรุนแรง /โดย ลงทุนแมน
Quantitative Easing หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า QE
คือเครื่องมือหนึ่ง ที่ธนาคารกลาง ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยการอัดฉีดเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
...Continue ReadingWhy U.S. QE measures don't cause severe inflation / by investman
Quantitative Easing aka QE
Is one tool that central banks use to stimulate the economy.
By pumping money to increase liquidity for the economic system in slowing economic progress.
But the result that many people worry about is.
Amount of money will rise in the economic system which will bring inflation.
And may be severe to severe inflation aka ′′ Hyperinflation
We have seen many countries do QE hard.
Will this lead to severe inflation in the future?
Investing man will try to analyse it.
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
First, let's understand the meaning of Hyperinflation.
Hyperinflation is a condition where product prices rise quickly.
Makes the country's money value go down dramatically
Why the value of money goes down
As a result, lots and lots of money flowing into the economy.
Compared to the same amount of goods and services in the economic system.
Price increases product prices quickly
An example of past severe Hyperinflation incident.
Such as in Hungary and Venezuela
Hyperinflation in Hungary happened in 1946
During that time, Hungary was heavily damaged by WWI.
Especially various infrastructure systems.
The Hungarian Government has shortage of budgets in economic revival.
So I decided to print a lot of money to repair the city's home and stimulate the economy.
Making money in Hungary's system is increasing tremendously.
As much as the amount of money increases, the domestic products are still the same.
So it makes inflation rise quickly
Hungary average product prices increase to 2 times in 15 hours.
By the moment of Hyperinflation
Hungary inflation rate rises to 150,000 % within one day.
Venezuela part of year 2019
Venezuelan inflation rises to 10,000,000
The cause of this story is similar to the case of Hungary
Well there is excessive economic system injection
Both to stimulate a slowing economy from low petrol prices.
Including to use for government's populist policies
We'll see that all 2 events have one thing in common.
Well there is a huge economic system injection.
Which leads to hyperinflation
Back at present COVID crisis-19
Many countries have measures to stimulate the economy.
With lots of money pumping into the economic system
US Central Bank
Using unlimited amount of QE measures
From the original designated price of about 22 trillion baht per year.
Central Bank of Japan
It's another country that uses unlimited amount of QE measures.
From the original designated, about 24 trillion baht per year.
European Central Bank announces more projects
In acquisition of emergency assets worth over 27 trillion baht.
It will see that many countries are now pumping a lot of money into the system.
And in many countries, I used to do heavy QE before.
For example, the case of the USA.
There has been a lot of money pumping into the economic system in the past 10 years.
Since the 2008 US Real Estate Bubble crisis.
Interesting is that US inflation rates aren't adjusted to much higher like the cases of Hungary and Venezuela.
2010 US average inflation rate equates to 1.6 %
2019 US average inflation rate equates to 1.8 %
Japan is another country where xỳāng h̄nạk measures are taken.
But inflation is still at low near 0 % as well.
Why is the story like this?
This phenomenon is partly because
US and Japan central banks make QE through asset purchases.
Both bonds, shares, loan from commercial banks.
And commercial banks are responsible for re-releasing money into the economy.
But what happens is that commercial banks don't forward the money they get from central banks.
To the business and household sector as everyone thought at first.
The cause is because during economic recession or slowdown.
Household sector tends to save money rather than bring money to spend.
Due to insecure future economic
For example, in USA.
The deposit amount in the COVID-19 pre-birth system is around 416 trillion baht.
But when COVID-19 goes viral, deposits in the system increase to almost 500 trillion baht.
Within just a few months
Meanwhile, a bad economic situation.
Making selling business sector products and services difficult.
Making production and service still very much available.
Business sector may not require a loan to expand business.
Enough demand for products and services doesn't increase higher.
Well, things don't go much higher.
Even with lots of money in the system
Another point is.
Countries with large economies like USA and Japan
Own the world's main currency with high credibility.
Most people still believe and still demand to hold these currency.
In conclusion, if you ask for QE making of big countries today.
Will it lead to severe inflation in the future?
I have to say that this problem can be difficult for big countries like USA and Japan.
But the point is, this plague crisis doesn't know when it ends.
And countries inject money log in
For a country which is economically stable as a big country, it might be careful.
Because those countries may have severe inflation, different from this case..
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow up to invest manly at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Hyperinflation
-https://nomadcapitalist.com/2014/04/20/top-5-worst-cases-hyperinflation-history/
-https://www.businessinsider.com/hungarys-hyperinflation-story-2014-4
-https://en.wikipedia.org/wiki/Hyperinflation_in_Venezuela
-https://www.thestreet.com/investing/federal-reserve-unveils-unlimited-qe-to-confront-coronavirus
-https://www.schroders.com/en/bm/asset-management/insights/economic-views/bank-of-japan-ramps-up-qe-again-amid-dismal-outlook/
-https://www.federalreserve.gov/monetarypolicy/bst_recenttrends.htm
-https://www.focus-economics.com/countries/japan/news/inflation/core-consumer-prices-hold-steady-in-june-in-annual-terms
- https://www.ecb.europa.eu/pub/projections/html/ecb.projections202006_eurosystemstaff~7628a8cf43.en.html#toc3
-https://www.economicshelp.org/blog/2900/inflation/inflation-and-quantitative-easing/
-https://fred.stlouisfed.org/series/DPSACBW027SBOGTranslated
venezuela hyperinflation 在 Jonathan Quek - Vietnam Facebook 八卦
BÀI DIỄN THUYẾT CỦA JONATHAN QUEK VỀ ĐẦU TƯ VÀNG BẠC TẠI VIỆT NAM.
Đầu tư bạc - từ Jonathan Quek (Malaysia – CEO của FYI) – Chuyên về đầu tư vàng và bạc- Tỷ phú khi chưa đến 30 tuổi
Giá vàng trên thế giới đã đi từ mức $1000 (2009) tới $1900 rồi quay về $1400 (2014).
Bạn có biết sự khác nhau nào giữa tiền (money) và tiền tệ (currency)?
Tôi là một kỹ sư IT, không biết gì về kinh tế. Khi đi vào kinh doanh vàng và bạc, tôi bắt đầu tìm hiểu sâu hơn về thế giới tài chính và vàng bạc; và phát hiện ra nhiều điều vô cùng khủng khiếp.
Nợ hiện tại của nước Mỹ là $17,6 nghìn tỷ (xem trên trang www.usdeptclock.org ). Mỹ có một kho lưu trữ vàng lớn nhất thế giới ở Fort Knox, lưu trữ thuê vàng cả cho quá nưả số quốc gia trên thế giới. Đây là nơi mà tổng thống Mỹ cũng không có quyền đi vào.
Nơi in tiền cho nước Mỹ là FED (Federal Reserve – là Cục dự trữ liên bang của Mỹ - hay chính là ngân hàng trung ương của Mỹ), nhưng vấn đề ở đây là, FED không thuộc sở hữu của chính phủ Mỹ hay bất kỳ ai như cách hiểu thông thường của chúng ta. CEO của FED đã từng nói khi bị hỏi giờ ai đang sở hữu FED: “FED là 1 cơ quan độc lập”.
Vậy thực sự thì ai sở hữu FED? Là các công ty in tiền? Họ thu lợi bằng cách nào?
FED thu lợi qua thuế (năm 1913 đạo luật thuế thu nhập ra đời ở Mỹ) và lạm phát.
FED bề ngoài trông giống hầu hết các doanh nghiệp thông thường, có CEO và các cổ đông. Nhưng thực tế, từ lúc sinh ra đến giờ, nó nằm trong sở hữu của vài nhân vật quyền lực nhất thế giới. ???Rothschild – 1 trong các cha đẻ của FEB đã nói: “Hãy cho tôi quyền kiểm soát in tiền của 1 quốc gia. Không cần quan tâm đến luật phát, lịch sử đổi thay hay biến động nào, tôi sẽ vẫn điều khiển cả quốc gia đó.” Rothschild là ai, bạn nên đọc thêm sách để biết về gia tộc thống trị nền tài chính và tiền tệ thế giới hùng mạnh nhất trong lịch sử cận và hiện đại này.
Và FED bị điều khiển bởi 1 vài người quyền lực và siêu giàu ẩn trong bóng tối – thông qua điều khiển việc phát hành tiền của nước Mỹ, họ điều khiển cả thế giới.
Bạn biết về qui luật Paretto (80/20) rồi chứ? 20% số người trên thế giới kiểm soát 80% tiền bạc và tài sản của nhân loại. Nhưng hiện nay nó đã sai. 0,001% số người siêu quyền lực và siêu giàu kiểm soát 99,9% lượng tiền và tài sản trên thế giới.
Dù chiến tranh hay xuất hiện, biến mất của các quốc gia, thì tài sản vẫn không biến mất, nó chỉ truyền từ người này sang người khác, từ nơi này sang nơi khác.
Thời đại của Obama có gì tốt hơn các thời đại khác? Obama đã cho in 6,5 nghìn tỷ USD tiền giấy trong những năm ông ta đang làm tổng thống, nhiều hơn tổng lượng tiền đã được in ra bởi hơn 40 đời tổng thống Mỹ trong hơn 100 năm qua.
Lạm phát là gì? Nó có ý nghĩa gì với bạn không?
Nguyên nhân (Cause): giá trị tiền tệ giảm => kết quả (effect): giá vàng, dầu… tăng.
Bạn đang nhìn thấy biểu đồ cung tiền của Mỹ và biểu đồ giá vàng, giá dầu theo thời gian đều tương ứng giống nhau đúng không?
Như vậy, chúng ta đã thấy, khi nước Mỹ in thêm tiền, các quốc gia khác cũng phải in thêm tiền theo Mỹ => từ đó làm giá vàng, dầu …. Tăng lên. Lạm phát thực tế đã đánh cắp thời gian của chúng ta. Thế giới còn chứng kiến cả Siêu Lạm Phát (hyperinflation): ví dụ như Zimbabue, hay Đức…
Tại sao tôi lại tìm cơ hội đầu tư vào Bạc?
Để tôi nói cho các bạn một chút về bản thân. Tôi sinh ra ở Malaysia, trong 1 gia đình bình thường. Mẹ tôi người gốc Hoa, bị bệnh không thế chữa (HTL???- thoái hóa xương), bà sau đó quyết định đến nhà thờ làm tình nguyện, và gặp cha tôi – người Malai, một người làm công chức thuế nhỏ. Sau đó bố mẹ cưới nhau, mở 1 cửa hàng nhỏ ở nhà cho mẹ tôi làm. Thuở bé, tôi rất nghịch, nên học khá dốt. Khi lên cấp 3 tôi không muốn đi học nữa. Bố tôi đã đánh tôi. Sau đó, mẹ tôi đã khóc và nói với tôi, “Jonas – con có biết tại sao bố mẹ luôn làm việc vất vả không? Không phải để con được đi học, không phải vì mong nhà mình giàu có, mà để cho tương lai của con sau này – sẽ không như bố mẹ.” Tôi đã quay lại trường học, cố gắng học và đỗ đại học, ngành IT. Tôi trở thành sinh viên xuất sắc nhất ở trường đại học – báo chí và nhà trường đưa tôi trở thành biểu tượng của trường. Sau đó, ra trường, sang Singapore, tôi vào làm ở 1 công ty CNTT với mức lương đều đặn mỗi tháng. Sau 6 tháng tôi được tăng lương và lên chức. Nhưng mức lương và công việc đều đặn khiến tôi thấy nhàm chán. Sau 4 năm làm việc ở Singapore, tôi bỏ việc và trở về Malaysia. Tôi mở công ty đầu tiên lúc 24 tuổi và phá sản sau 8 tháng vì cãi nhau với các bạn. Tôi lang thang và thử vài nghề. Rồi có 1 lần, tôi cần tìm ít bạc cho linh kiện điện tử, tôi đi hỏi mua, không ai ở đâu bán. Dần tìm hiểu, tôi phát hiện cả Malaysia không ai bán bạc. Taị sao một kim loại sử dụng phổ biến như bạc mà không ai bán? Ti vi của nhà bạn, điện thoại của bạn, radio, máy tính, tủ lạnh, máy giặt, điều hòa… có thứ đồ dân dụng hay điện tử nào không dùng đến bạc? Và tôi bước vào ngành kinh doanh bạc như thế. Tôi là người đầu tiên đã xây dựng và tạo ra 1 ngành mới - ngành kinh doanh bạc và các ngành phụ cận ở Malaysia. Công ty tôi đã tăng trưởng vài nghìn lần, kể từ lúc bắt đầu tôi đã kiếm được 2 triệu USD trong 2 năm. Tôi sau đó viết sách về đầu tư bạc và sau này nó tạo ra một cuộc cách mạng trong giáo dục tài chính ở Malaysia-khi đó tôi 27 tuổi. Tôi Phá vỡ kỷ lục về lượng sách bán chạy nhất ở Malaysia khi 21 tuổi- lúc đó còn đang dẫn dắt các câu lạc bộ ở trường đại học, trở thành tỷ phú ở Malai khi 28 tuổi, thắng cuộc đua marathon 42km lúc 25 tuổi, 27 tuổi bắt đầu mua chiếc Audi và các bất động sản kinh doanh đầu tiên.28 tuổi là tác giả có sách bán chạy nhất Malaysia.
Khi tôi còn bé, tôi phải đi làm thêm để kiếm thêm tiền cho bố mẹ. Tôi làm thu ngân ở một hiệu sách. Khi đó tôi thấy rất nhiều người mua cuốn sách “Rich dad poor dad” (Cha giàu cha nghèo / Dạy con làm giàu). Tôi hỏi chủ cửa hàng, đó là sách gì. Ông ấy bảo: Đó là sách hướng dẫn nuôi con dành cho các bậc cha mẹ. => Vì vậy, bài học cho chúng ta là; “Hãy thận trọng khi tiếp nhận lời khuyên của người khác”.
Về vàng và bạc, tôi nghĩ bạn nên đọc cuốn sách “the battle of USD and gold” (Cuộc chiến của đồng đô la và vàng).
Năm 2012, Venezuela đòi lại vàng từ Mỹ. Ngay sau đó, Đức cũng đòi lại vàng từ Mỹ (đức có 1000 tấn vàng gửi nhờ Mỹ, nhưng Mỹ đã từ chối, sau đó thương lượng sẽ trả đức 800 tấn trong 7 năm). Như vậy Mỹ có còn vàng không? Sau đó, 1 loạt các quốc gia Thụy Sỹ, Hà Lan, …. Đều đòi lại vàng từ Mỹ. Giá vàng đang từ $1900, nhưng năm 2012 đã giảm mạnh. Vì sao? Vì Mỹ cần tìm cách hạ giá vàng để mua vào đủ lượng vàng để trả cho Đức. Đây là trò chơi của các ngân hàng trung ương. Vậy các ngân hàng trung ương đang làm gì? Bạn phải hiểu họ đang làm gì để tìm cơ hội cho mình trong thế giới của vàng và bạc.
Justin Yifu Lin (chuyên gia kinh tế cao cấp của NH thế giới): “Đã đến lúc cần phải thay đồng Đô la mỹ bằng một đồng tiền khác.” Tại sao 1 người trong nội bộ WB lại nói như vậy?
Hãy nhìn vào Trung Quốc. Dân số Trung Quốc tăng 5% trong 10 năm qua, nhưng lượng vàng họ mua vào tăng hơn 3000% trong 10 năm đó ( từ 12 tấn lên 400 tấn). Tham vọng của Trung quốc là thống trị thế giới. Trước hết, họ muốn thống trị thị trường vàng. Họ đã tạo ra 1 thị trường giao dịch quốc tế về vàng và các hàng hóa khác không thuế tại Thượng Hải.
Còn ở Singapore, chính phủ không ngừng mua vàng vào và khuyến khích người dân giữ và mua vàng.
Ở Nga, NHTW liên tục mua vàng vào và muốn cấm USD, vì họ dự báo khủng hoảng USD sẽ xảy ra vào năm 2017.
Châu Phi:… Zambia bắt đầu cấm USD.
Ở ngay nước Mỹ, 1 số tiểu bang, chính quyền đang khuyến khích người dân mua và giữ vàng.
Khổi BRICS (5 nước đang phát triển nhanh nhất thế giới chiếm 40% dân số và 20% GDP thế giới), đầu năm 2014 đã thành lập 1 ngân hàng chung đi ngược lại lợi ích của Ngân Hàng thế giới.
ð Các chính phủ đang giấu chúng ta điều gì?
ð USD hay Vàng tốt hơn?
ð Hầu hết các chuyên gia kinh tế đều dự báo sắp có khủng hoảng đồng USD. Đồng tiền này sẽ là giấy vô giá trị không lâu nữa.
Còn Việt Nam, Tiền đồng (VND) thì thế nào? Đồng USD đã mất 98% giá trị của nó kể từ khi FED ra đời đến nay. VND là một đồng tiền yếu, yếu hơn cả USD. Trong 10 năm qua, VND đã mất hơn 24% giá trị so với USD => VND đã mất 73% giá trị so với vàng trong 10 năm qua.
Thực tế thì tất cả đồng tiền của các quốc gia đều sẽ mất giá so với vàng. Nhưng tại sao lại đầu tư vàng và bạc? Tôi bắt đầu nghiên cứu về vàng từ 2007, nhưng lại thấy 1 điều thú vị hơn, là bạc.
Ngày nay, ở Australia, Sing, Malay… dân chúng phổ biến đầu tư bạc, nhưng ở Việt Nam thì rất hiếm. Tại sao là bạc?
Hãy nhìn bảng thống kê này: năm 1990 khối lượng bạc thế giới tiêu thụ nhỏ hơn vàng; nhưng năm 2007, khối lượng bạc thế giới tiêu thụ đã lớn hơn vàng. Vì nhu cầu tiêu thụ vàng tăng do đầu tư và trang sức, người ta sau đó không vất vàng đi – vì đầu tư và tiết kiệm. Nhưng bạc thì khác, chúng chủ yếu được sử dụng trong các đồ điện tử, dân dụng, … mà nhu cầu này thì tăng cực nhanh. Hãy nhìn và thống kê cung – cầu của bạc theo các năm. Tới 2013, cung của bạc dần dần giảm, nhưng lượng cầu thì ngày một tăng => giá bạc tăng sẽ là tất yếu.
Chi phí để đào mỏ bạc là $19-22; nhưng vàng lại là $1100-1200. Biến động giá bạc cũng tương tự giá vàng.
Giá vàng: $1900 - > $1400 (2012-> 2013) Do FED thao túng giá
Giá bạc: $49 -> $16
ð Chưa bao giờ có cơ hội lớn như vậy trong bạc.
Robert Kiyosaki (tác giả của Rich Dad Poor Dad): “Tôi đang đầu tư vào vàng, bạc, dầu. Bạc là đầu tư số 1 hiện nay mà giới đầu tư thế giới đang sôi sục. Tôi đã mua bạc từ khi nó có giá $5, nay là $15. Mà bạc lại rẻ hơn vàng 50 lần. Ngày nay, FED vẫn đang kiểm soát thế giới. Nếu chính phủ không bảo lãnh, thì đồng USD và các tiền tệ khác chỉ là rác. Vàng và bạc có ý nghĩa hơn. Obama đang điều hành nước Mỹ theo cách nào? Tôi biết. Ông ta điều hành theo thuyết âm mưu, còn tôi theo nguyên lý kiếm tiền của Rich Dad Poor Dad.”
Các mỏ bạc ở Australia đang bắt đầu đóng cửa. Giá bạc hiện tại đã xuống thấp quá mức do bị thao túng, nó sẽ như 1 cái lò xo bị nén. Chính phủ Nga và giới tài phiệt dự đoán: lò xo này sẽ bật lên vào 2016, 2017. Tôi đã xây dựng nhóm đầu tư bạc ở Malaysia. Năm ngoái tôi đến việt nam và cũng bắt đầu xây dựng 1 nhóm kinh doanh bạc tại việt nam.
Vì sao là 1 nhóm? Muốn giàu phải học từ người giàu. Người giàu không bao giờ làm việc một mình, họ luôn làm việc với 1 nhóm.
Ở Việt Nam, thị trường Vàng bị chính phủ kiểm soát rất chặt. Nhưng thị trường bạc thì không, vì nó chưa tồn tại ở Việt nam.
Tôi muốn kể cho các bạn nghe câu chuyện này: chuyện bán giày ở châu Phi – chắc nhiều người đã biết. Một ông chủ công ty giày ở Mỹ muốn mở rộng thị trường sang châu Phi, ông ta cử 2 nhân viên sang đó nghiên cứu thị trường. Khi trở về, 1 người nói: “Thật khủng khiếp, chúng ta không thể kinh doanh gì ở đó được cả, vì không ai đi giày.” Còn người kia nói: “Thật tuyệt vời, chúng ta sẽ kiếm bộn tiền”. Ông chủ hỏi “vì sao?” “ Vì không ai đi giày”.
Bạn thấy đấy, vấn đề chỉ là bạn có nhận ra cơ hội hay không thôi. Và cơ hội không biến mất, nó chỉ truyền từ người này sang người khác.
Tôi viết ra 1 dreamlist (những điều cần đạt được) khi tôi 21 tuổi. Tôi muốn trở thành tý phú thế giới khi 30, lập kỷ lục thế giới về sách bán chạy nhất khi 35. … http://www.jonathan-quek.com/my-dream-list/ Vài điều trong đó tôi đã đạt được. Giờ tôi có thể cho bố mẹ tôi một cuộc sống giàu có, an nhàn vui vẻ. Bệnh của mẹ tôi vẫn chưa chữa được. Tôi cùng bố mẹ và bạn bè đi khắp nơi trên thế giới. Tôi hạnh phúc khi thấy bố mẹ tôi hạnh phúc.
Học viên của tôi tại Hà Nội tại Việt Nam, Ms.Nguyễn Thị Vân Anh về chủ đề đầu tư vàng bạc. Nếu bạn thực sự muốn tìm hiểu kỹ hơn về kênh đầu tư này, với những bằng chứng sắc bén và giá trị, Ms. Vân Anh sẽ giúp bạn. Truy cập trang: http://lamgiaunhanhtuvangvabac.com/
venezuela hyperinflation 在 Kim Property Live Youtube 的評價
ชอบมาก อยากเลี้ยงกาแฟผม : https://ko-fi.com/kimpropertylive
แจกคอร์สเรียนฟรี : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
บทความอสังหา : http://www.properth.com/
สนใจสัมมนา : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
จากราชา สู่ยาจก ด้วยฝีมือรัฐบาล.. | บทเรียน วิกฤตเวเนซุเอลา
ดูเเล้วชอบ อยากดูต่อ ติดตามด้วยเน้อ
ตรงนี้ https://goo.gl/segwTS
รับความรู้ฟรี
LINE : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
มีคำถาม / สอบถาม
LINE : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
★☆★ เรียนรู้เพิ่มเติม ★☆★
บทความอสังหา : http://www.properth.com/
รับความรู้ผ่าน LINE : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
สำหรับติดต่อ : kim.chatchawan[at]gmail.com
★☆★ SOCIAL MEDIA ★☆★
Facebook : https://www.facebook.com/kim.properth/
LINE : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
Blog : http://www.properth.com/
Instagram : https://www.instagram.com/kimpropertylive
★☆★ สนใจสัมมนา ★☆★
LINE : http://line.me/ti/p/%40spc2852x
คอร์สทั้งหมด : https://goo.gl/gQyd4i
รายละเอียดสัมมนา : http://www.properth.com/property-investment
#วิกฤตเศรษฐกิจ
References
https://www.longtunman.com/13752
https://www.bbc.com/thai/international-47927397
https://www.bbc.com/thai/features-45879926
http://www.investerest.co/economy/venezuela-crisis/
https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=57668&filename=index
https://themomentum.co/hyperinflation-venezuela/
https://tradingeconomics.com/venezuela/gdp
https://economictimes.indiatimes.com/news/international/business/imf-sees-venezuela-inflation-at-10-million-per-cent-in-2019/articleshow/66139421.cms
https://www.longtunman.com/21974
https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-01-04/venezuela-s-international-reserves-reach-a-thirty-year-low
https://www.bbc.com/thai/international-46994549