กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/…/most-expensive-tv-shows-ever-made-…
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過4,190的網紅美劇癮,也在其Youtube影片中提到,願原力與你同在! 星戰最新動畫劇集 曼達落人幕後班底,再創佳作! Imdb 9.0,RT 93% #DaveFiloni 經過創作 #Mandlorian, #starwarsrebels 之後,再次創作另一套令fans滿足的作品 #TheBadBatch。剛剛在#Starwarsday 推出的動畫...
star wars 5 imdb 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/article/559417/most-expensive-tv-shows-ever-made-game-of-thrones-the-crown
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
star wars 5 imdb 在 Facebook 八卦
First Time Menonton Lord Of The Rings
Alkisahnya, Selain Harry Potter, ada satu lagi movie popular yang saya langsung tak rasa minat nak menonton, iaitu Lord Of The Rings.
Teringkat kali pertama kawan ajak tonton DVD, saya yang masih bujang, tahun 2001, waktu tonton, permulaan yang sangat perlahan, ada babak ahli sihir ke kampong orang kerdil, lepas tu ada perayaan, berborak di meja, dan saya tertidur.
Adohai..,
Can’t go kata orang putih.
Dua tiga tahun kemudian, filem ini masuk TV, ada malay sub okey kot , jom tonton, tapi masih sama, permulaan yang sangat perlahan, babak ahli sihir ke kampong orang kerdil, lepas tu ada perayaan, berborak di meja, dan bila iklan, saya keluar rumah, mengeteh dengan kawan, filem tu tak membuatkan saya rasa dahaga atau lapar untuk tonton. Tapi buat saya dahaga untuk keluar rumah.
Walau bagaimanapun filem tu sangat popular, markah rottens tomato tinggi, Imdb pun tinggi, lepas tu kawan-kawan cakap best, mereka ajak tengok wayang, saya tolak, serius tak minat cerita purba yang terlalu banyak watak dan terlalu banyak sembang mambang.
Bila filem ini menang Oscar, saya azam nak tonton, tapi tak tahu bila? Masa berlalu tiba tiba ada filem Hobbit pulak, okey baiklah, saya bagi peluang tengok di panggung wayang bersama rakan rakan yang lain, katanya bagus tengok filem ini dari Hobbit, sebab dia macam Star Wars episode one, tapi babak bosan berulang kembali, ahli sihir pergi ke kampong orang kerdil, dan borak di meja makan, lama gila mereka borak, dan saya tertidur! Bosan gila! Tak kena dengan jiwa, adohai..
Lain waktu masa lepak mengeteh dengan kawan, tengok ada naga yang cantik CGInya di kaca TV, tapi Naga itu bercakap Bahasa English, macam filem Disney chicken sahaja? Cerita apa ni?, Naga bercakap? kata sahabat saya: Itulah filem The Hobbit part three, what? naga bercakap? ha ha, mujur saya tak minat.
Namun sebagai kaki movie, saya azam satu hari nanti, saya akan beri peluang untuk tonton filem ini bila saya bosan gila, atau, satu hari nanti jika umur saya panjang, saya dah tua, lepak dengan cucu, maka saya akan tonton filem ini dengan cucu.
Tapi niat saya tak sampai, bila Malaysia kena PKP akibat Covid, anak anak saya sendiri yang ajak menonton filem ini.
Terperangkap dalam PKP, memang perlukan filem yang panjang sebegini, maka muncul juga seorang saya seorang berumur 40-an yang First time layan Lord Of The Rings.
Lepas tonton Lord Of The Rings saya tonton pulak Hobbits dan saya buat kesimpulan..
Jika korang suka filem fantasi yang ada banyak watak, (sangat banyak) dan jika korang penonton yang sabar, (dialog panjang meleret), dan korang suka tengok raksasa bercakap, orang kerdil bercakap, dewa bunian bercakap, binatang pelik bercakap, pokok balak bercakap, naga bercakap, hantu bercakap, dan lepas tu suka tengok perang lawan pedang, suka tengok orang tak bercukur, suka tengok orang tak mandi, maka filem ini untuk anda.
Babak aksinya sangat baik, sama macam waktu dialog, babak aksinya juga panjang, puas hati dengan aksi, walau geng hero selalu bernasib baik sampai tak masuk akal tapi inikan filem fantasi. Nasib baik terlau baik bagi geng hero, buatkan aksinya Panjang dan okeylah!
Tapi saya tak pelik kenapa filem ini ramai orang suka sebab novelnya orang dah baca sejak zaman berzaman, tahun 1937 lagi, maka kisah fantasi ini telah bersarang dalam jutaan pembaca. Di zaman itu yang jauh dari TV dan panggung wayang, maka membaca novel fantasi adalah hiburan indah. Masuk zaman perang dunia, novel ini masih dibaca orang hinggalah perang dunia berakhir, dan bila dunia filem tercetus lepas perang, maka cubaan demi cubaan telah di buat untuk filemkan novel ini, namun kesan khas masih belum mampu dicapai buatkan tertangguh sekian lama.
Akhirnya muncullah Peter Jackson yang membaca novel ini dalam 12 jam perjalanan dari Wellington ke Auckland, dan beliau terinprasi dan cuba buat satu filem purba yang baru tapi walau bagaimanapun ideanya dikembangkan, akhirnya tetap mewnjadi mirip kepada Lord Of The Rings, dari kena kutuk meniru novel LOTR, lebih baik adaptasi sahaja novel itu ke dalam bentuk filem, dan oleh sebab terlalu banyak watak maka filem ini pecah kepada enam episode. Then the rest is history.
Filem ini akhirnya sangat Berjaya di pasaran, walau saya tak minat, tapi bila tonton, masih enjoy sebab Peter Jackson pandai buat filem yang disulami aksi dan emosi, antara pengarah yang terbaik, rujuk karyanya yang lain seperti King Kong dan lain lain.
Sedikit Trivia dari filem LOTR
1. Saruman lakunan Sir Christopher Lee telah mebaca novel ini setiap tahun semenjak diterbitkan, beliau adalah satu satunya pelakon dalam filem ini yang pernah berjumpa dengan penulis novel, J.R.R. Tolkien.
2. Cincin dalam filem ini dihadiakah oleh pengarah kepada Fredoo sebagai kenangan.
3. Boromir sangat takut naik helicopter, bila filem ada babak atas gunung, Boromir mendaki dari bawah dalam keadaan lengkap berpakaian purba.
4. Gimli walaupun berlakon orang kerdil, tapi beliau paling tinggi dalam geng Fellowship. 6' 1"
5. Aragon tak boleh berenggang dengan pedang, waktu jalan minum di pekan pun bawa pedang, hingga polis selalu tegur bagi nasihat akan bahaya bawa pedang di khalayak ramai.
6. 200 Juta keuntungan telah mengalir dalam ekonomi New Zealand kerana lokasi filem ini, maka New Zealand telah lantik Menteri hal ehwal Lord of the Rings untuk terus rangsangkan ekonomi negara.
7. Patung mayat Boromir sangat sempurna, hingga ada kru filem selalu tegur dan ajak bercakap.
8. 300 ekor kuda berlakon dalam keseluruh filem ini .
9. Replika gajah raksasa adalah prop paling besar dalam movie ini, namun pengarah cakap, patutnya lebih besar.
10. "Well, I'm back", adalah ayat terakhir dalam filem, juga ayat terakhir dalam novel.
11. Movie ini untung 1000 peratus!
12. The Lord of the Rings trilogy adalah filem paling banyak tercalon dalam Academy Award dengan 30 pencalonan, berbanding Godfather trilogy (28) dan Star Wars film franchise (21). Lepas tu menang besar pulak! Pevah rekod!
13. Filem normal kesan khas sebanyak 200 visual effects shots. Tapi movie ini sebanyak 1,487 kesan khas!.
14. Tentera hantu adalah babak yang saya rasa tak best, bila baca perjalanan filem, Peter Jackson pun rupanya tak suka babak tentera hantu itu, sebab dah masuk elemen tahyul, tapi terpaksa diadakan sebab tak nak kecewakan peminat novel.
15. 100,000 orang berbaris di jalan Wellington, New Zealand untuk tayangan perdana. Jumlah itu adalah 1/4 dari penduduk bandar.
16. Tujuh tahun pengembaraan filem, 6 juta kasut digunakan,;48,000 bilah pedang, kapak, dan perisai. 20,602 background;19,000 costumes 10,000 pelakon ekstra; 2,400 kru; 1,600 pasang kaki Hobbit, 300 ekor kuda, 180 pakar kesan khas, 140 pelakon; 100 lokasi di New Zealand, 50 tailors, cobblers, designers, di Wardrobe department; dan 30 aktor dipkasa belajar bercakap Bahasa bunian, perghhhh!
17. James Cameron lepas tonton film ini terus dapat ilham nak buat filem Avatar, teknologi CGI dari file mini adalah penanda aras untuk sempurnakan Avatar.
18. Okey, dah nama sayapun keretamayat, maka ada sikit tazkirah..
19. Tazkirah dari movie: Dunia ni ada jin, sebelum manusia di cipta, malaikat cakap ada mahkluk telah berperang dan menumpahkan darah, ada riwayat mengatakan iblis mengetuai tentera malaikat usir makluk ni ke alam jin, ada yang kata makhluk itu adalah adam sebelum adam, ada yang kata mahluk itu adalah jin berdaging, tapi ianya bukan bunian, atau Hobbit, atau apa apa watak dari Lord Of The Rings, lalu turunlah Nabi adam ke bumi, eh? Macam tak kena tazkirah ini, adohai. Ok next!
20. Cerita LOTR adalah tentang cincin, di riwayatkan Nabi Sulaiman ada memiliki sebentuk cincin sakti yang menjadi lambang cop mohor pemerintahan kerajaannya. Kaum jin pernah mencuri cincin ini lalu menyebarkan ilmu Sihir buat seketika sebelum cincin ini diambil semula oleh Nabi Sulaiman. Setelah kewafatan baginda, tidak diketahui dimana keberadaan cincin Nabi Sulaiman ini. Sudah pasti cincin ini tiada kaitan dengan cincin milik Gollum serta Smeagol, jangan nak buat teori konspirasi.
21. Cincin dalam LOTR ada tulisan: One Ring to rule them all, One Ring to find them, One Ring to bring them all and in the darkness bind them, Apa yang tertulis pada cincin Nabi Muhammad?
22. Nabi Muhammad SAW ada cincin sebagi cop untuk tanda tangan kerana baginda tidak tahu membaca, Saidina Anas Bin Malik R.a berkata: Ukiran pada cincin Nabi S.A.W terdapat tiga baris. Baris yang pertama tertulis kalimah Muhammad. Baris yang kedua tertulis kalimah Rasul dan baris yang ketiga tertulis kalimah Allah.
23. Haram lelaki memakai cincin emas, tapi harus jika memakai Cincin perak. Haram juga jika memakai cincin Lord of The ring jika dibuat dari emas.
24. Seorang Raja telah memanggil kesemua bijak pandai dalam istananya, dan mengarahkan mereka mencipta sesuatu barang yang mana jika Raja dalam kesedihan lihat benda itu maka akan hilanglah kesedihan, jika dalam kegembiraan bila lihat barang itu maka hilanglah kegembiraan.
25. Maka berpakatlah para bijak pandai untuk mencipa 'benda' tersebut. Dan setelah di nasihati oleh seorang pemandu kederaan jenazah@kereta mayat maka terciptalah benda itu…
26. Dan hasilnya, Raja cukup berpuas hati...
27. Apa benda tu?
28. Sebentuk cincin yang cukup cantik dan halus pertukangannya dan tertulis perkataan di atasnya: "Semua orang akan menjadi mayat, semua mayat akan menjadi tanah, semua tanah adalah millikNYA"
Woha!
Sekian ulasan LOTR filem dari Hamka Kereta Mayat.
star wars 5 imdb 在 美劇癮 Youtube 的評價
願原力與你同在! 星戰最新動畫劇集
曼達落人幕後班底,再創佳作!
Imdb 9.0,RT 93%
#DaveFiloni 經過創作 #Mandlorian, #starwarsrebels 之後,再次創作另一套令fans滿足的作品 #TheBadBatch。剛剛在#Starwarsday 推出的動畫新星戰作品 The Bad Batch,除了動畫質素高之外,亦有延續#TheCloneWars 複製人小隊99,五位身有缺陷的複製人特別部隊的故事,填補了一些星戰正傳沒有涉及故事,好像是複製人士兵續漸被淘汰,共和國變左帝國後平民生活轉變等,都是有十分多星戰原素,可以說是 Dave Filoni 在 #Disney+ 上更擴大自己的星戰宇宙。