Judy (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้
• ชื่อเรเน่ เซลเวเกอร์ ไม่ค่อยโผล่มาในลำดับแรก ๆ เวลานึกถึงนักแสดงสายรางวัลออสการ์ ทั้งที่ความจริงเธอเคยเข้าชิงออสการ์ 3 ปีติดต่อกัน ก่อนจะชนะจากบทสมทบหญิงใน Cold Mountain ซึ่ง Judy จะเป็นการประกาศศักดาความสามารถทางการแสดงของเธออีกครั้ง
• ดูแล้วก็แอบเศร้าในฐานะที่ยังไม่เคยดู The Wizard of Oz ว่าคงไม่มีทางบันเทิงกับหนังได้แน่ ๆ เมื่อได้เห็นว่าสตูดิโอตั้งใจทำร้ายเด็กคนหนึ่งขนาดไหน
• หลายครั้งเราเฝ้ามองด้วยความสงสัยว่าทำไมคนที่เคยรุ่งโรจน์ เคยมีรายได้มากมายถึงได้กลายเป็นคนยากไร้ได้เพียงนี้ หนังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน แค่พูดถึงผ่าน ๆ ว่าสามีจูดี้ การ์แลนด์ เอาเงินไปถลุงกับการพนัน
• สุดท้ายชีวิตคนเราอาจจะต้องการเพียงแค่ได้มอบความรักความห่วงใยให้คนใกล้ชิด และต้องการเวทีที่มีผู้คนให้การยอมรับเพื่อหล่อเลี้ยงคุณค่าในตัวเอง
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ถึงหนังจะแฟลชแบ็กแสดงให้เห็นช่วงวัยเด็กของเธอเพียงเล็กน้อยแต่มันรุนแรงมากพอที่จะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมชีวิตเธอถึงช่างน่าเศร้า เธอต้องทำงานตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ในช่วงวัยรุ่นได้แสดงหนังสตูดิโอใหญ่ โดยเซ็นสัญญา(ทาส) ที่เกลี้ยกล่อมว่าเธอไม่ใช่เด็กธรรมดาเหมือนคนอื่น เธอมีเสียงร้องที่วิเศษจึงต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วไป เธอต้องทำงาน 18 ชั่วโมงต่อวันจนแทบไม่มีเวลานอนและแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน ถูกบังคับให้ควบคุมอาหาร ห้ามกินนู่นกินนี่ และยังต้องพึ่งยาที่สตูดิโอจัดหามาให้เธอตื่นและหลับตามตารางงาน เบื้องหน้าที่ปรุงแต่งออกสื่อเธอคือ สาวข้างบ้าน ที่เพียบพร้อมชวนฝัน แต่เบื้องหลังตรงกันข้ามสิ้นดี น่าเศร้าที่เธอทำเพราะเชื่อว่าเหนื่อยวันนี้จะสบายวันหน้า แต่สุดท้ายเราก็เห็นว่าบั้นปลายชีวิตของจูดี้ การ์แลนด์ ห่างไกลจากคำว่าสุขสบายเหลือเกิน
.
หนังเล่าช่วงเวลาที่จูดี้ การ์แลนด์ (Renee Zellweger) มีปัญหาด้านการเงินจนต้องยอมห่างไกลจากลูกทั้งสองคนเพื่อรับงานแสดงคอนเสิร์ตที่ลอนดอนในปี 1968 โดยเป็นช่วงเวลาก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 6 เดือน จากประสบการณ์เลวร้ายในช่วงทำงานสตูดิโอจนถึงความรักกับสามีคนก่อน ๆ ที่จากกันไม่ดี จึงทำให้เธอมีความหวาดระแวงว่าคนอื่นจะเข้าหาด้วยความไม่จริงใจ เธอเคลิ้มกับคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเธอ แม้เราจะได้เห็นอีกมุมว่าเสียงของเธอไม่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว และพฤติกรรมความเป็นมืออาชีพของเธอก็สุ่มเสี่ยงที่นายจ้างจะไม่ไว้วางใจ เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นเธอนอนไม่หลับกระสับกระส่ายจนกระทั่งได้พบแฟนเพลงที่ดีต่อเธอด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง
.
เคยอ่านเจอหัวข้อหนึ่งที่พูดถึงว่าคนส่วนใหญ่มักเลือกจะกล่าวโทษในระดับปัจเจกบุคคล (ความบกพร่อง/ความดีความชั่ว/ความเห็นแก่ตัว/ความแตกต่าง) มากกว่าจะมองว่าปัญหาระดับบุคคลเกิดจากโครงสร้างและระบบบีบให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นเช่นนั้น เราว่ามันใช้กับ Judy ได้เหมือนกัน เราเชื่อว่าสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นปัญหาของเธอในช่วงวัยผู้ใหญ่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากภาวะความเครียดและการไม่เห็นค่าในตัวเองอันสะสมต่อเนื่องมาจากสมัยวัยรุ่นที่อยู่กับสตูดิโอ ฉากช่วงท้าย ๆ โดยเฉพาะเพลง Over the Rainbow คือสิ่งที่ตอกย้ำความกลัวของเธอว่าจะไม่มีใครรัก ดังนั้นเราเลยชอบฉากที่เธอเจอคู่เกย์เป็นการส่วนตัวมาก ๆ เพราะฉากนี้ฉากเดียวคือการตอกย้ำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เธอเผชิญและฝ่าฟันมาทั้งหมด(ที่หนังไม่ได้เล่า)ว่ามันได้มอบแรงบันดาลใจและพลังให้คนกลุ่มหนึ่งมากขนาดไหน
.
และฉากจบหนังมันก็สวยงามแบบโลกภาพยนตร์บนความเศร้าจริง ๆ
Director: Rupert Goold
based on the stageplay "End of the Rainbow" by: Peter Quilter
screenplay: Tom Edge
Genre: biography, drama
7.5/10
renee zellweger over the rainbow 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 八卦
Judy (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้
• ชื่อเรเน่ เซลเวเกอร์ ไม่ค่อยโผล่มาในลำดับแรก ๆ เวลานึกถึงนักแสดงสายรางวัลออสการ์ ทั้งที่ความจริงเธอเคยเข้าชิงออสการ์ 3 ปีติดต่อกัน ก่อนจะชนะจากบทสมทบหญิงใน Cold Mountain ซึ่ง Judy จะเป็นการประกาศศักดาความสามารถทางการแสดงของเธออีกครั้ง
• ดูแล้วก็แอบเศร้าในฐานะที่ยังไม่เคยดู The Wizard of Oz ว่าคงไม่มีทางบันเทิงกับหนังได้แน่ ๆ เมื่อได้เห็นว่าสตูดิโอตั้งใจทำร้ายเด็กคนหนึ่งขนาดไหน
• หลายครั้งเราเฝ้ามองด้วยความสงสัยว่าทำไมคนที่เคยรุ่งโรจน์ เคยมีรายได้มากมายถึงได้กลายเป็นคนยากไร้ได้เพียงนี้ หนังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน แค่พูดถึงผ่าน ๆ ว่าสามีจูดี้ การ์แลนด์ เอาเงินไปถลุงกับการพนัน
• สุดท้ายชีวิตคนเราอาจจะต้องการเพียงแค่ได้มอบความรักความห่วงใยให้คนใกล้ชิด และต้องการเวทีที่มีผู้คนให้การยอมรับเพื่อหล่อเลี้ยงคุณค่าในตัวเอง
-------------------------------------
ถึงหนังจะแฟลชแบ็กแสดงให้เห็นช่วงวัยเด็กของเธอเพียงเล็กน้อยแต่มันรุนแรงมากพอที่จะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมชีวิตเธอถึงช่างน่าเศร้า เธอต้องทำงานตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ในช่วงวัยรุ่นได้แสดงหนังสตูดิโอใหญ่ โดยเซ็นสัญญา(ทาส) ที่เกลี้ยกล่อมว่าเธอไม่ใช่เด็กธรรมดาเหมือนคนอื่น เธอมีเสียงร้องที่วิเศษจึงต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วไป เธอต้องทำงาน 18 ชั่วโมงต่อวันจนแทบไม่มีเวลานอนและแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน ถูกบังคับให้ควบคุมอาหาร ห้ามกินนู่นกินนี่ และยังต้องพึ่งยาที่สตูดิโอจัดหามาให้เธอตื่นและหลับตามตารางงาน เบื้องหน้าที่ปรุงแต่งออกสื่อเธอคือ สาวข้างบ้าน ที่เพียบพร้อมชวนฝัน แต่เบื้องหลังตรงกันข้ามสิ้นดี น่าเศร้าที่เธอทำเพราะเชื่อว่าเหนื่อยวันนี้จะสบายวันหน้า แต่สุดท้ายเราก็เห็นว่าบั้นปลายชีวิตของจูดี้ การ์แลนด์ ห่างไกลจากคำว่าสุขสบายเหลือเกิน
.
หนังเล่าช่วงเวลาที่จูดี้ การ์แลนด์ (Renee Zellweger) มีปัญหาด้านการเงินจนต้องยอมห่างไกลจากลูกทั้งสองคนเพื่อรับงานแสดงคอนเสิร์ตที่ลอนดอนในปี 1968 โดยเป็นช่วงเวลาก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 6 เดือน จากประสบการณ์เลวร้ายในช่วงทำงานสตูดิโอจนถึงความรักกับสามีคนก่อน ๆ ที่จากกันไม่ดี จึงทำให้เธอมีความหวาดระแวงว่าคนอื่นจะเข้าหาด้วยความไม่จริงใจ เธอเคลิ้มกับคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเธอ แม้เราจะได้เห็นอีกมุมว่าเสียงของเธอไม่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว และพฤติกรรมความเป็นมืออาชีพของเธอก็สุ่มเสี่ยงที่นายจ้างจะไม่ไว้วางใจ เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นเธอนอนไม่หลับกระสับกระส่ายจนกระทั่งได้พบแฟนเพลงที่ดีต่อเธอด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง
.
เคยอ่านเจอหัวข้อหนึ่งที่พูดถึงว่าคนส่วนใหญ่มักเลือกจะกล่าวโทษในระดับปัจเจกบุคคล (ความบกพร่อง/ความดีความชั่ว/ความเห็นแก่ตัว/ความแตกต่าง) มากกว่าจะมองว่าปัญหาระดับบุคคลเกิดจากโครงสร้างและระบบบีบให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นเช่นนั้น เราว่ามันใช้กับ Judy ได้เหมือนกัน เราเชื่อว่าสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นปัญหาของเธอในช่วงวัยผู้ใหญ่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากภาวะความเครียดและการไม่เห็นค่าในตัวเองอันสะสมต่อเนื่องมาจากสมัยวัยรุ่นที่อยู่กับสตูดิโอ ฉากช่วงท้าย ๆ โดยเฉพาะเพลง Over the Rainbow คือสิ่งที่ตอกย้ำความกลัวของเธอว่าจะไม่มีใครรัก ดังนั้นเราเลยชอบฉากที่เธอเจอคู่เกย์เป็นการส่วนตัวมาก ๆ เพราะฉากนี้ฉากเดียวคือการตอกย้ำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เธอเผชิญและฝ่าฟันมาทั้งหมด(ที่หนังไม่ได้เล่า)ว่ามันได้มอบแรงบันดาลใจและพลังให้คนกลุ่มหนึ่งมากขนาดไหน
.
และฉากจบหนังมันก็สวยงามแบบโลกภาพยนตร์บนความเศร้าจริง ๆ
Director: Rupert Goold
based on the stageplay "End of the Rainbow" by: Peter Quilter
screenplay: Tom Edge
Genre: biography, drama
7.5/10
renee zellweger over the rainbow 在 SJKen的浮光掠影 Facebook 八卦
耶誕大片電影《茱蒂》介紹--- 細膩吟唱美國音樂天后茱蒂‧嘉蘭,大起大落流星般的人生樂章!
https://petermurphey.pixnet.net/blog/post/228638021
不管你有沒看過《綠野仙蹤》(The Wonderful Wizard of Oz)1900年出版的漫畫,還是1939年改編上映的電影,你一定聽過這首由20世紀美國歌舞劇天后茱蒂·嘉蘭(Judy Garland,1922 ~ 1969)演唱的電影插曲《彩虹之上》(Over the Rainbow),它被美國電影學會評為電影歌曲之首,被翻唱的版本更是不計其數!
茱蒂·嘉蘭(Judy Garland茱蒂‧嘉蘭(Judy Garland,1922 ~ 1969)如慧星劃過天際般短暫的47年人生,橫跨樂壇、電視與電影不同領域發光發熱,1961年憑在卡內基音樂廳現場演唱的錄音專輯《Judy at Carnegie Hall》,成為第一位贏得葛萊美年度專輯獎的美國女性。
為了紀念美國女演員及歌唱家茱蒂‧嘉蘭(Judy Garland,1922~ 1969)逝世50週年,電影《綠野仙蹤》上映80週年,由《羅密歐與朱麗葉》英格蘭舞台和電視導演魯伯特‧古爾德(Rupert Goold)執導,芮妮‧齊薇格 (Renée Zellweger,1969年生)主演,向茱蒂‧嘉蘭(Judy Garland)致敬的電影《茱蒂》(Judy),將於2019年12月20日在台上映。
電影《茱蒂》(Judy)以20世紀音樂天后茱蒂‧嘉蘭(Judy Garland,1922 ~ 1969),以其能歌善舞又會演戲的天賦,在短短47年的歲月,橫跨電影、電視與音樂圈,紅遍美國好萊塢與英國倫敦,大起大落流星般的璀燦又黯然隕落人生樂章!
今天就先來跟大家分享電影的原型人物茱蒂‧嘉蘭(Judy Garland,1922 ~ 1969),與其扮演者芮妮‧齊薇格 (Renée Zellweger,1969年生)兩位影視歌舞三棲的傑出女性過往的輾轉起伏演藝人生經歷。
電影《茱蒂》(Judy),是一部由《黛妃與女皇》(The Queen,2006)、《鐵娘子:堅固柔情》(The Iron Lady,2011)金獎製作團隊,特別打造的歲末動人鉅獻,本片由導演魯伯特‧古爾德(Rupert Goold)與編劇湯姆‧艾吉(Tom Edge)聯手編導,將彼得‧奎爾特(Peter Quilter)創作的音樂舞台劇《彩虹的盡頭》(End of the Rainbow,2005)搬上大銀幕。
茱蒂 Judy
類 型:劇情
上映日期:2020年12月20日
片 長:1時58分
台灣發行:采昌國際多媒體
IMDb分數:7.2
導 演:《羅密歐與朱麗葉》魯伯特‧古爾德(Rupert Goold)
演 員:
芮妮‧齊薇格(Renee Zellweger)飾演茱蒂·嘉蘭(Judy Garland)
潔西‧伯克利(Jessie Buckley) 飾演Rosalyn Wilder
魯弗‧西維爾(Rufus Sewell) 飾演Sidney Luft