กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/…/most-expensive-tv-shows-ever-made-…
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
同時也有6部Youtube影片,追蹤數超過70萬的網紅มิติที่ 6,也在其Youtube影片中提到,มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของงานวิจัยปริศนาชิ้นนี้ ความพยายามในการติดต่อกับพระเจ้า ของเหล่...
imdb 2018 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
กรณีศึกษา ความสำเร็จของ DISNEY ใน 10 ปีที่ผ่านมา / โดย ลงทุนแมน
ภาพยนตร์กำลังล้นโลก และมนุษย์โลกไม่มีเวลาดู
ถ้าให้นับภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดในโลกนี้
ในเว็บไซต์ IMDB มีทั้งหมด 500,000 เรื่อง
โดยในเว็บไซต์นี้จะมีภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 50,000 เรื่อง ต่อปี
แต่น่าแปลกใจที่
มีภาพยนตร์แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่เรามีโอกาสได้รับชม หรือประทับใจไปกับมัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีภาพยนตร์มากกว่า 49,900 เรื่อง ที่เราไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อในปีที่ผ่านมา
แล้ว Disney จัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง...
ในปัจจุบันมีสตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 7 แห่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า BIG7
ประกอบไปด้วย 20th Century Fox, Disney, Lionsgate, Paramount, Sony, Universal และ Warner Bros
BIG7 ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 85% ในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ถ้าปีที่ผ่านมาเราดูภาพยนตร์ 10 เรื่อง ประมาณ 8-9 เรื่องจะมาจากสตูดิโอ 7 แห่งนี้
โดยในแต่ละปี BIG7 จะทำภาพยนตร์รวมกันประมาณ 100-150 เรื่องเท่านั้น
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อของหนังอีกกว่า 49,900 เรื่องที่เหลือ
ในจำนวนภาพยนตร์กว่า 500,000 เรื่องตั้งแต่อดีตนั้น มี “หนังทำเงิน” อยู่ไม่มาก
หนังที่ทำเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,000 ล้านบาท) มีประมาณ 800 เรื่อง
มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15,000 ล้านบาท) มีประมาณ 200 เรื่อง
และมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30,000 ล้านบาท) มีเพียง 43 เรื่องเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมด 43 เรื่องเป็นของ BIG7
อันดับ 1 Disney 23 เรื่อง
อันดับ 2 Universal 7 เรื่อง
อันดับ 3 Warner Bros 6 เรื่อง
อันดับ 4 Paramount 3 เรื่อง
อันดับ 5 และ 6 คือ Fox และ Sony เท่ากันที่ 2 เรื่อง
โดยในปี 2019 เพียงปีเดียว Disney มีหนังพันล้านทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ Avengers: Endgame ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากที่สุดของโลก
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Disney ประสบความสำเร็จมากกว่า BIG7 ที่เหลือ
และที่น่าคิดคือ Disney ผลิตภาพยนตร์ในแต่ละปีน้อยกว่า BIG7 รายอื่นเสียอีก
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปประมาณ 20 ปีก่อน
ในช่วงปี 2000-2004 บริษัท Disney สร้างภาพยนตร์ปีละมากกว่า 40 เรื่อง
ในขณะที่ BIG7 รายอื่น สร้างภาพยนตร์เฉลี่ยปีละ 30 เรื่อง
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับไม่ได้โดดเด่น อยู่ที่ 13.5% เท่านั้น
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Disney ประสบปัญหา
บริษัทสร้างภาพยนตร์เยอะมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 2005 บริษัทตัดสินใจแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ชื่อ Bob Iger
Bob Iger เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ของ Disney ไปอย่างสิ้นเชิง
โดยลดจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีลง จากปีละ 40-50 เรื่อง เหลือปีละประมาณ 15 เรื่อง
การลดจำนวนลง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากร ทั้งเงินและทีมงานไปที่หนังแต่ละเรื่องได้มากขึ้น
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ..
นอกจากนี้ Iger ยังดำเนินกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการควบรวมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
หลังจากเขาเข้ามาเป็น CEO ได้เพียง 1 ปี บริษัทก็ตัดสินใจซื้อ Pixar ในปี 2006
ตามมาด้วย Marvel ในปี 2009
Lucasfilm เจ้าของ Star Wars ในปี 2012
และล่าสุดคือ 20th Century Fox ในปี 2018
กลยุทธ์ของ Iger ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา Disney มีส่วนแบ่งการตลาด 26% และเมื่อรวมกับ Fox แล้ว จะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 35%
Disney จึงเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจภาพยนตร์สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา..
จากเรื่องนี้ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Disney เป็นผู้นำในวงการภาพยนตร์
ทุกคนอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป
แต่ลงทุนแมนคิดว่า เวทมนตร์ที่ทำให้ Disney สำเร็จ เป็นคำสั้นๆ 2 พยางค์
คำนั้นคือคำว่า “โฟกัส”
Disney โฟกัสที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมากขึ้น และโฟกัสไปที่แฟรนไชส์ที่ดังระดับโลกจริงๆ ส่งผลให้ Disney สร้างภาพยนตร์ที่ทั้งมีคุณภาพ และมาจากเรื่องราวที่ผู้ชมคุ้นเคย
เรื่องที่น่าสนใจคือ
การแข่งขันในธุรกิจภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนไป
ในอดีต โรงภาพยนตร์คือช่องทางหลัก แต่ในปัจจุบันเรากำลังดูหนังผ่านมือถือ หรือแท็บเล็ตกันมากขึ้น
คู่แข่งของ Disney นอกจาก BIG7 แล้ว จึงต้องรวม Netflix เข้าไปด้วย
Disney จึงต้องร่ายเวทมนตร์ครั้งใหม่..
Disney ประกาศสร้าง Streaming ของบริษัทในชื่อ Disney+
โดยตั้งราคาถูกกว่า Netflix ประมาณ 20-25%
บริษัทยังประกาศสร้างซีรีส์จากแฟรนไชส์ชื่อดังทั้ง Pixar, Marvel และ Star Wars
โดยมีงบลงทุนถึง 450-600 ล้านบาทต่อซีรีส์ 1 ตอน
บางคนอาจนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนนี้สูงแค่ไหน
เราลองมาเปรียบเทียบกัน
Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก โดยในซีซันสุดท้ายใช้งบมากที่สุด อยู่ที่ตอนละ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ซีรีส์ดังๆ ของ Netflix อย่าง House of Cards หรือ Stranger Things ใช้งบตอนละ 120-240 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามที่ประกาศ ซีรีส์ของ Disney+ จะกลายเป็นซีรีส์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดของโลก
สังเกตได้ว่านี่คือกลยุทธ์เดียวกันกับที่ Disney ใช้ในธุรกิจภาพยนตร์
ไม่เน้นปริมาณ แต่โฟกัสที่คุณภาพ
และใช้พลังของแฟรนไชส์ระดับโลกที่ผู้ชมคุ้นเคย
ดังนั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะเห็นซีรีส์ Marvel หรือ Star Wars ที่คุณภาพไม่ค่อยดี แค่ใช้ชื่อมาแปะ เราอาจต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ Disney กำลังทุ่มทุนสร้างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ทุนสร้างไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเรตติ้งเสมอไป
Disney ต้องเปลี่ยนจากผู้ชนะในธุรกิจภาพยนตร์ มาเป็นผู้ท้าชิงในธุรกิจ Streaming ที่บริษัทไม่คุ้นเคย
ซึ่งเรื่องราวมันอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ Netflix เจ้าตลาด Streaming ปัจจุบันต้องหันมามอง
และเรา คนที่เป็นผู้บริโภค ก็คงต้องหันมามอง Disney ด้วยเช่นกัน..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.imdb.com/pressroom/stats/
-https://www.boxofficemojo.com/alltime/world/
-http://mentalfloss.com/article/559417/most-expensive-tv-shows-ever-made-game-of-thrones-the-crown
-https://www.gamesradar.com/marvel-shows-disney-plus-budgets/
imdb 2018 在 電影神搜 Facebook 八卦
#早入坑早享受😉
以一部 2018 年 3 月才開始連載的少年漫畫來看,《#咒術迴戰》目前取得的成績其實相當傲人──漫畫連載進入 131 話、單行本剛推出第 13 卷,總銷量已經突破一千萬冊;10 月才上線的動畫,日本當地收視率在深夜番中排行第五,B 站播放量超過七千萬,標記追番人數約 366 萬粉絲。目前豆瓣評分 9.2,IMDb 評分 8.6。
即便有《#鬼滅之刃》這種百年一遇的怪物大作在前,《咒術迴戰》仍然可以算是站上「#現象級」作品之列。
#神搜特派員 #潘光中
imdb 2018 在 มิติที่ 6 Youtube 的評價
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของงานวิจัยปริศนาชิ้นนี้ ความพยายามในการติดต่อกับพระเจ้า ของเหล่านักวิทยาศาตร์ผู้ยึดมั่นในศาสนาของพวกเขา ว่าแท้ที่จริงแล้ว... มันคืออะไรกันแน่ !?
ติดตามเวอร์ชั่นสำหรับนักอ่านได้ที่
http://www.mitithee6.com/2018/01/Gateway-of-the-Mind.html
-----------
อยากชมเรื่องอะไร แนะนำได้ที่นี่ครับ
http://www.mitithee6.com/p/blog-page.html
-----------
Facebook : https://facebook.com/Mitithee6/
Website : http://mitithee6.com/
Twitter : https://twitter.com/mitithee6
Google+ :https://goo.gl/DFmJmz
-----------
เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Creepypasta Wiki, IMDB, Spokedark.tv, Youtube/creepypaste, Youtube/Olivier de Sagazan และ Youtube/VampiroFumador
------------
ดนตรีประกอบโดย
Echo of Time
Dreams Become Real โดย Kevin MacLeod
ได้รับอนุญาตภายใต้ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution(https://creativecommons.org/licenses/...)
ที่มา: http://incompetech.com/music/royalty-...
ศิลปิน: http://incompetech.com/
-----------
imdb 2018 在 สอง สตูดิโอ Youtube 的評價
imdb 2018 在 美劇癮 Youtube 的評價
HBO 2018年新黑色荒誕喜劇 劇評推薦
《BARRY廉價殺手》第一季
現正於 HBO 播放,第一季共八集。
IMdb 8.1 爛番茄 98%正評認證
Saturday Night Live(SNL)笑匠BIll Hader 自編自導自演黑色喜劇《BARRY廉價殺手》
主角Barry - 一個沉悶頂透的殺手忽然愛上
演戲,在殺手生活與演技修行中爭扎。有趣的是由一個演技出眾的演員上演役一位不懂演技的呆萌殺手。
當你以為是爆笑喜劇時,劇組卻一次又一次投下黑暗大絕劇情,讓你一邊笑一邊心寒又心痛!