รู้จัก ลี กาชิง จากเด็กโรงงาน สู่มหาเศรษฐี 1 ล้านล้าน /โดย ลงทุนแมน
ในปัจจุบัน หากพูดถึงชื่อมหาเศรษฐีเชื้อสายจีน
หลายคนคงนึกถึง Jack Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Alibaba
หรือ Pony Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Tencent
แต่อีกคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของทวีปเอเชียมาอย่างยาวนาน คือ คุณ “ลี กาชิง” หรือ “Li Ka-shing”
เขาคนนี้ เริ่มต้นจากศูนย์ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์, ท่าเรือขนส่ง, สื่อสารโทรคมนาคม, ร้านค้าปลีก หรือแม้กระทั่ง แพลตฟอร์มออนไลน์
ความสำเร็จต่างๆ ที่ผ่านมา ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ซูเปอร์แมน” แห่งเกาะฮ่องกง
และถูกยกย่องให้เป็นเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ แห่งเอเชีย เลยทีเดียว
เรื่องราวชีวิตของชายคนนี้ น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Li Ka-shing เป็นนักธุรกิจและนักลงทุน ชาวฮ่องกง
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1928 ปัจจุบันมีอายุ 93 ปี
เขามีชีวิตวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก โดยครอบครัวอาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
แต่พอเกิดสงครามระหว่าง ญี่ปุ่น-จีน เขาและครอบครัวจึงต้องอพยพไปอยู่ที่เกาะฮ่องกง ในปี 1940
หลังจากย้ายมาได้ไม่นาน พ่อของเขาก็เสียชีวิตลง ทำให้คุณ Li Ka-shing จำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อหางานทำเลี้ยงครอบครัว ทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น
เขาเริ่มทำงานในโรงงานผลิตพลาสติกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานหนักถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน
แต่มันก็กลายเป็นโอกาสให้เขาเรียนรู้ขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมดภายในโรงงาน
ซึ่งต่อมาในปี 1950 คุณ Li Ka-shing ก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทโรงงานผลิตสินค้าพลาสติกเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Cheung Kong
ตอนแรก เขาเลือกผลิตสินค้าของเล่นพลาสติก
แต่ต่อมาได้เห็นข่าวความนิยมในดอกไม้พลาสติกที่ประเทศอิตาลี
จึงเปลี่ยนมาผลิตดอกไม้พลาสติกราคาถูก ที่มีคุณภาพดีสีสันเหมือนจริงแทน
ปรากฏว่า ธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้ Cheung Kong กลายเป็นผู้ผลิตดอกไม้พลาสติกรายใหญ่ของเอเชีย
และทำให้คุณ Li Ka-shing มีฐานะร่ำรวยขึ้น
พอเริ่มมีเงินทุนในมือมากขึ้น เขาก็ลองมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่นบ้าง
ในปี 1967 ได้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฮ่องกง
ซึ่งบานปลายไปสู่เหตุจลาจล และลอบวางระเบิด
ประชาชนจำนวนมากในฮ่องกง ยอมทิ้งบ้านเรือนและธุรกิจ ย้ายออกจากฮ่องกงเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม คุณ Li Ka-shing มองว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวที่สักวันต้องจบลง จึงหาจังหวะเข้าซื้อที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่ราคาตกต่ำลง และนำมันไปพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้
นอกจากนั้น ในปี 1979 บริษัท Cheung Kong ที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็ได้เข้าซื้อหุ้น Hutchison Whampoa บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ประกอบธุรกิจหลากหลายในฮ่องกง เช่น ท่าเรือขนส่ง ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70%, ค่ายสัญญาณโทรศัพท์ และร้านค้าปลีกสินค้าความงาม Watsons
ซึ่งในขณะนั้นเอง เศรษฐกิจฮ่องกงก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากความได้เปรียบเชิงทำเลที่ตั้งและภาคการเงินที่แข็งแกร่ง
จนทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ปี 1971-1980 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 9.1% ต่อปี
ปี 1981-1990 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 6.8% ต่อปี
และแน่นอนว่าทุกธุรกิจที่คุณ Li-Ka shing ซื้อกิจการมา
ก็ได้รับประโยชน์ล้อไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจฮ่องกง
ส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของฮ่องกงและทวีปเอเชีย นับตั้งแต่นั้นมา
มาถึงปัจจุบัน ฮ่องกงกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่
จากเหตุชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่รุนแรงและยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019
ประกอบกับการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ GDP ฮ่องกงในปี 2020 หดตัวถึง 6.1%
ซึ่งมีการประเมินว่า ธุรกิจในฮ่องกงของคุณ Li Ka-shing ได้รับความเสียหายไปไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจส่งผลกระทบแค่เพียงเล็กน้อย
เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้กระจายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่เป็นเทรนด์หลักของโลกยุคใหม่
โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ชื่อว่า Horizons Ventures ขึ้นเมื่อปี 2002 เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้ไม่นานแต่มีศักยภาพที่น่าสนใจ
ตัวอย่างของบริษัทที่ Horizons Ventures ไปลงทุนด้วย ก็อย่างเช่น
- Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในปี 2007 ที่ตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานทั่วโลกแค่ 50 ล้านคน
- Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง และพอดแคสต์ ในปี 2009 ที่ในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งกิจการมาแค่ 3 ปี
- Siri ระบบสั่งการอัจฉริยะ ในปี 2009 ก่อนที่จะถูก Apple ซื้อกิจการไป
แต่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุด คงจะเป็น “Zoom” แพลตฟอร์มประชุมออนไลน์
ซึ่งกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท สัดส่วน 8.6% ในการระดมทุนเมื่อปี 2015
ซึ่งในปีที่ผ่านมา Zoom กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากการระบาดของโควิด 19 ทำให้ผู้คนต้องติดต่อสื่อสารกันผ่านออนไลน์แทน
ผลจากการลงทุน ส่งผลให้หุ้นที่คุณ Li Ka-shing ถือครองอยู่ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 330,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเขา
โดยจากการประเมินทรัพย์สินล่าสุด โดย Forbes
คุณ Li Ka-shing มีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 1,020,000 ล้านบาท
ถือเป็นบุคคลที่รวยอันดับ 2 ของฮ่องกง และอันดับ 39 ของโลก
เรื่องราวนี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีว่า
ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีต้นทุนชีวิตมากน้อยเท่าไร
หากตั้งใจเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานจริง และคอยปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
เหมือนอย่างคุณ Li Ka-shing
ที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัว เรียนไม่จบ และต้องทำงานในโรงงานตั้งแต่เด็ก
แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะสร้างและลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
จนสามารถพัฒนาจากศูนย์ มาสู่ 1 ล้านล้าน ได้ในวันนี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-28/hong-kong-faces-difficult-road-to-recovery-after-record-slump?sref=x0EQiAMH
-https://en.wikipedia.org/wiki/Li_Ka-shing
-https://www.techinasia.com/li-ka-shing-story
-https://empirics.asia/from-factory-worker-to-richest-man-in-asia-the-story-of-li-ka-shing/
-https://www.forbes.com/profile/li-ka-shing/?list=hong-kong-billionaires&sh=4b98bf3e523f
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-02/one-third-of-li-ka-shing-s-wealth-is-an-11-billion-zoom-stake
-https://en.wikipedia.org/wiki/Hutchison_Whampoa
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=HK
同時也有9部Youtube影片,追蹤數超過14萬的網紅賢賢的奇異世界,也在其Youtube影片中提到,想要学习如何在youtube赚钱请按这:http://goo.gl/fTJRcY 十大最賺錢Youtuber :https://www.youtube.com/watch?v=TL7djYcabfo&t=5s 最賺錢youtuber:https://www.youtube.com/watch?v=...
forbes richest 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 八卦
เมื่อพูดถึงชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน หรือเกษตรกร หลายคนก็คงนึกภาพคงที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับสวน ทุ่งนา เพื่อให้ได้ผลผลิตอย่างที่พวกเขาต้องการด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ แต่ในขณะเดียวกันในปัจจุบันเกษตรสมัยใหม่ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีรวมถึงวิสัยทัศน์ในการมองให้เป็นธุรกิจมากขึ้น และแน่นอนว่ามีหลายคนที่เริ่มต้นจากการทำฟาร์มเล็กๆ จนประสบความสำเร็จกลายเป็นมหาเศรษฐีได้
.
วันนี้เลยได้นำเอาตัวอย่างของเกษตรกรที่รวยที่สุดในโลก ที่พวกเขาได้เปลี่ยนการทำการเกษตรที่ต้องอยู่แต่ในไร่นามาเป็นการนั่งบริหารกิจการและการเกษตรของพวกเขาอยู่ที่สำนักงานแทน
.
1. Liu Yongxing
เกษตรกรที่ไม่มีเงินลงทุนจนต้องขายจักรยานและนาฬิกาทรัพย์สินติดตัวของเขาและพี่น้องที่ได้เงินมาเพียง 3 พันกว่าบาท ก่อนจะตัดสินใจนำเอาเงินก้อนนั้นมาเริ่มทำฟาร์มไก่และนกกระทาขนาดเล็ก ค่อยๆ ช่วยกันดูแลจนประสบความสำเร็จ หลังจากที่จะแยกย้ายกันออกไปตั้งบริษัทของตัวเองแล้ว Liu Yongxing ก็ได้เปิดบริษัท East Hope Group ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นในด้านการผลิตอาหารสัตว์ที่มีผลิตภัณฑ์แล้วมากกว่า 100 รายการ ซึ่งทำให้เขาได้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในจีนมาแล้วด้วยรายได้กว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 205,260 ล้านบาท
.
2. Stewart and Lynda Resnick
หลังจากที่แต่งงานกันทั้งคู่ได้ตัดสินใจลงทุนในพื้นที่กว่า 64,000 เอเคอร์ (ประมาณ 161,920 ไร่) ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อทำฟาร์มถั่วอัลมอนด์และถั่วพิสตาชิโอ ซึ่งมีรายงานว่ารายได้หลักของครอบครัว Resnick นั้นมีมูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 130,620 ล้านบาท มาจากฟาร์มถั่วแห่งนี้นี่เอง โดยที่พวกเขายังลงทุนเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 3,100 ล้านบาท ในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ของถั่วพิสตาชิโอที่สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งของแคลิฟอร์เนียเพื่อจะได้สามารถทำฟาร์มได้ในฤดูแล้งนั่นเอง
.
3. Liu Yonghao
อีกหนึ่งบุคคลที่ถูกจัดว่ารวยที่สุดในประเทศจีนโดย Forbes ด้วยทรัพย์สินมูลค่ากว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 127,510 ล้านบาท พี่น้องของ Liu Yongxing ที่เริ่มต้นทำฟาร์มไก่และนกกระทามาด้วยกันแต่ตั้งแรก โดยหลังจากที่พี่น้องตระกูล Liu ต่างแยกย้ายกันไปทำธุรกิจของตัวเอง เขาก็ได้เปิดบริษัท New Hope Group ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจัดหาอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน
.
4. Harry Stine
ชายผู้ถูกจัดอันดับโดย Forbes ให้เป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในรัฐไอโอวาปี 2015 ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัท Stine Seed บริษัทเกี่ยวกับการคิดค้นและผลิตเมล็ดพันธุ์อิสระที่สร้างรายได้ให้เขาไปกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 111,960 ล้านบาท ถึงแม้เขามีความผิดปกติทางการอ่านและออทิสติกอ่อนๆ แต่เขาก็สามารถทำให้บริษัทนั้นเติบโตกลายเป็นบริษัท เมล็ดพันธุ์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้เพาะพันธุ์เมล็ดถั่วเหลืองที่มีความแข็งแรงทางพันธุกรรมที่มากที่สุดอีกด้วย
.
5. Blairo Maggi
ชายผู้มีเลือดความเป็นเกษตรกรอย่างเข้มข้นจากการเข้าดูแลธุรกิจบริษัท ผลิตถั่วเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อจากผู้เป็นพ่อ โดยมีรายงานว่าเขาสามารถทำรายได้ไปมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 93,300 ล้านบาท ทำให้เขากลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกประจำปี 2555 ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเข้าสู่วงการการเมืองเพื่อหาหนทางให้เกษตรกรนั้นลดการตัดไม้ทำลายป่าลง
.
6. Tony Perich
หลังจากที่ได้รับมรดกฟาร์มโคนมพร้อมกับพี่ชาย เขาก็มุ่งมั่นในการดูแลกิจการต่อโดยเริ่มจากรีดนมวัวทั้งฟาร์มทั้งหมด 25 ตัว จนปัจจุบันฟาร์มของพวกเขามีโคนมมากกว่า 2,000 ตัว และยังมีบริษัทปลูกธัญพืชและคลังสินค้าอยู่ที่ออสเตรเลียอีกด้วย ทำให้เขามีทรัพย์สินกว่า 750 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 23,325 ล้านบาท
.
7. Colin and Dale Armer
สองสามีภรรยาที่ได้รับตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในนิวซีแลนด์ด้วยฟาร์มโคนม Dairy Holdings ฟาร์มโคนมที่ใหญ่และประสบความสำเร็จที่สุดในนิวซีแลนด์ซึ่งมีมูลค่ากว่า 535 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 16,638 ล้านบาท จากเริ่มต้นที่ฟาร์มเล็กๆ จนปัจจุบันพวกเขาดำเนินการเปิดฟาร์มโคนมทั่วประเทศแล้วกว่า 58 แห่ง
.
8. Howard Buffett
ลูกชายคนกลางของนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffett ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ต้องทำอะไรก็สามารถอยู่ได้สบายๆ ทั้งชีวิต แต่เขากลับสนใจเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งธุรกิจ การเมือง การถ่ายภาพ ไปจนถึงการเกษตรและการอนุรักษ์ โดยที่เขาตัดสินใจที่จะเป็นเกษตรกรปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง รวมไปถึงการเข้าดูแลฟาร์มขนาดใหญ่ของครอบครัวอย่าง Buffett Farms ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจอย่างมากที่สามารถดูแลฟาร์มได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งคนในครอบครัว ทำให้เขานั้นมีทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 200 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 6,220 ล้านบาท
.
ที่มา : https://luxatic.com/top-8-richest-farmers-in-the-world/
.
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan #อายุน้อยร้อยล้านNEWS #เกษตรกร #SME #มหาเศรษฐี #Business #ธุรกิจ #ไอเดียธุรกิจ
forbes richest 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
forbes richest 在 賢賢的奇異世界 Youtube 的評價
想要学习如何在youtube赚钱请按这:http://goo.gl/fTJRcY
十大最賺錢Youtuber :https://www.youtube.com/watch?v=TL7djYcabfo&t=5s
最賺錢youtuber:https://www.youtube.com/watch?v=6huUwgqXfx0
最高收入youtuber:https://www.youtube.com/watch?v=xOt-Gufln98
pewdiepie:https://www.youtube.com/watch?v=YJZzNsXaAvA
各位大家好,歡迎收看HenHenTV,我是Tommy。
福布斯雜誌公佈了最新的2016年10大最賺錢Youtuber,在公佈十大之前,先與大家說一下Forbes雜誌是如何得到這個結果。
1. 福布斯雜誌是經尼爾森,Nielsen Survey全球領先的資訊與測量調查公司所提供的資料,和經過訪問Youtuber的經理人,中介人,和youtuber本身所得出來的結果,Youtuber的年收入包括google adsense的廣告費,其他商家的廣告,代言和其他收入,還沒扣除了營運費用的年收入。但有些Youtuber選擇不公開的Forbes,因此沒有被列在10大裡面。Vanoss Gaming,Nigahiga,等等非常出名的youtuber並沒有十大裡面,並不代表他們不賺錢,ok?
2. 其他國家的Youtuber也沒有被邀請。因此不要再問我為什麼Hajime社長沒有在裡面
3. Forbes 福布斯雜誌是世界權威財經雜誌,他們公佈的收入是有根據的,當然他們不可能知道全部的youtuber收入。
那好了,我們來看看2016年10大最賺錢的youtuber有那幾位!
並列第九位 Rhett & Link,年收入 = 500萬美金。比上一年收入多了50萬,但排名下跌了四位,可以相信其他十大的Youtuber的收入應該更厲害!Rhett & link在2016年上傳了大概八個影片而已,其中最新的是叫Tough Decisions & The Nose-Looker,訂閱人數 420萬。
並列第九位,新入榜Colleen Ballinger,頻道叫Psycho Soprano,年收入 =500萬美金,她是搞笑藝人,演員和歌手,最出名的是她創造的網絡角色Miranda Sings,訂閱人數更是超過他自己的Youtube頻道。自己的頻道 450萬訂閱,Miranda Sings 700萬訂閱。
你們不敢想像是同一個人吧?差很大啦~她的三個頻道觀看次數加起來是21億。
第七位,新入榜Markiplier,年收入 550萬美金,他是一位遊戲實況主,分享實況電玩加上自己獨特的旁白,吸引了1600萬的訂閱,頻道總觀看此數達65億!好誇張哦!除了做Youtuber,他也多次以游戏实况形式为慈善机构筹款,到今天為止一共籌得110萬美金。
並列第七名,新入榜 German Garmendia,年收入 550萬美金,他是十大裡面唯一以西班牙話來主持的,當然有英文字幕,經常自嘲和上傳一些搞笑影片,加上他說話的速度實在是太快了(我看字幕也來不及,吸引了大量的訂閱,兩個頻道HolySoyGerman 3千萬訂閱和Juega German 1700萬的訂閱,兩個頻道加起來總觀看此數達60億
並列第五名, Rosanna Pansino,年收入 600萬美金,比上一年多了350萬美金,上升了三位,訂閱人數770萬,她是一名美食料理人,除了在youtube分享烹飪心得,她也透過Youtube頻道去銷售自己的食譜和烹飪書籍,所以Youtuber並不只是單單靠廣告費而已。
並列第五名,新入榜Tyler Oakley,年收入 600萬美金,這位youtuber憑著他三八搞笑加上超自信和獨有的搞笑技巧,加上他超快的語速和維護同性婚姻,更被同志視為精神領袖,吸引了800萬的訂閱。除此以外,他也還出版書籍和辦講座會等等。
第四名,Smosh,年收入,700萬美金,比上一年少了150萬美金,排名下跌了兩位。訂閱人數上升到2200萬,總觀看此數61億,還是像往年一樣,以搞笑影片為主,最新的影片是說如果人是車的話。。。。上傳兩天,就有69萬的觀看次數,他們真的太有才了~
第三位,Lilly Singh,年收入 750萬美金,比上一年多了整整500萬,哇!厲害,上升了五位。頻道Superwoman訂閱人數達一千萬,她也和化妝品牌公司合作推出Bawse的唇膏和推出自己的書籍,how to be a bawse,bawse是她創造的語言,和Boss同音,意思是超屌的意思。
第二名,Roman Atwood, 年收入800萬美金,比上一年多了整整600萬,從第八位跳到第二位,超厲害的,大家也非常認識他了,就是惡搞專家,兩個頻道的訂閱人數加起來一共是2200萬,除了惡搞之外,他也有分享他的生活Vlog。
來到第一名,大家也猜得到是誰了,沒錯,還是他!
第一名,Pewdiepie,年收入1500萬,比第二名多整700萬,比起上一年多了300萬收入,訂閱人數剛剛突破了5200萬,總觀看次數,大家猜猜看是多少??321
145億,這是天文數字啊!
當然很多人沒有看到他在背後付出了多少,他一共上傳了3000個影片,到這個四月剛好七年,如果要算起來,他大概是每一天都至少上傳一個到兩個影片。之前的訪問他也有很多人都在看他賺多少錢,但很少人關心他是真的很享受製作影片。賺錢的方法有很多,如果你可以做自己想做的事,而且又可以賺到錢(很多錢),我覺得那是很多人夢寐以求的生活吧!
好了,今天的影片就到此為止,在我做上一集10大youtuber到現在已經七個月了,好的不好的留言我都有看,但是對於一些酸民沒有建設性的留言,我還是選擇刪除,頻道是我的,我喜歡怎樣就怎樣,你都不會尊重人,那我幹嘛要和你客氣啊?我很謝謝很多網民的善意留言,我會繼續的努力,做更多更好的影片給大家看的。如果你喜歡這個影片,就給我一個Like和分享出去吧!
也記得訂閱HenHenTV時,不要忘記按這個小玲,這個會提醒你有影片更新哦~
謝謝大家的支持,我們下個影片見,bye bye
1位 PewDiePie 1500万美元(约合人民币103174500元)
2位 Roman Atwood 800万美元
3位 Lilly Singh 750万美元
4位 Smosh 700万美元
5位 Tyler Oakley 600万美元
5位(并列) Rosanna Pansino 600万美元
7位 German Garmendia 550万美元
7位 Markiplier 550万美元
9位(并列)Colleen Ballinger 500万美元
9位 Rhett and Link 500万美元
想要学习如何在youtube赚钱请按这:http://goo.gl/fTJRcY
各位大家好,欢迎收看HenHenTV,我是Tommy。
福布斯杂誌公佈了最新的2016年10大最赚钱Youtuber,在公佈十大之前,先与大家说一下Forbes杂誌是如何得到这个结果。
1. 福布斯杂誌是经尼尔森,Nielsen Survey全球领先的资讯与测量调查公司所提供的资料,和经过访问Youtuber的经理人,中介人,和youtuber本身所得出来的结果,Youtuber的年收入包括google adsense的广告费,其他商家的广告,代言和其他收入,还没扣除了营运费用的年收入。但有些Youtuber选择不公开的Forbes,因此没有被列在10大裡面。Vanoss Gaming,Nigahiga,等等非常出名的youtuber并没有十大裡面,并不代表他们不赚钱,ok?
2. 其他国家的Youtuber也没有被邀请。因此不要再问我为什麽Hajime社长没有在裡面
3. Forbes 福布斯杂誌是世界权威财经杂誌,他们公佈的收入是有根据的,当然他们不可能知道全部的youtuber收入。
那好了,我们来看看2016年10大最赚钱的youtuber有那几位!
并列第九位 Rhett & Link,年收入 = 500万美金。比上一年收入多了50万,但排名下跌了四位,可以相信其他十大的Youtuber的收入应该更厉害!Rhett & link在2016年上传了大概八个影片而已,其中最新的是叫Tough Decisions & The Nose-Looker,订阅人数 420万。
并列第九位,新入榜Colleen Ballinger,频道叫Psycho Soprano,年收入 =500万美金,她是搞笑艺人,演员和歌手,最出名的是她创造的网络角色Miranda Sings,订阅人数更是超过他自己的Youtube频道。自己的频道 450万订阅,Miranda Sings 700万订阅。
你们不敢想像是同一个人吧?差很大啦~她的三个频道观看次数加起来是21亿。
第七位,新入榜Markiplier,年收入 550万美金,他是一位游戏实况主,分享实况电玩加上自己独特的旁白,吸引了1600万的订阅,频道总观看此数达65亿!好夸张哦!除了做Youtuber,他也多次以游戏实况形式为慈善机构筹款,到今天为止一共筹得110万美金。
并列第七名,新入榜 German Garmendia,年收入 550万美金,他是十大裡面唯一以西班牙话来主持的,当然有英文字幕,经常自嘲和上传一些搞笑影片,加上他说话的速度实在是太快了(我看字幕也来不及,吸引了大量的订阅,两个频道HolySoyGerman 3千万订阅和Juega German 1700万的订阅,两个频道加起来总观看此数达60亿
并列第五名, Rosanna Pansino,年收入 600万美金,比上一年多了350万美金,上升了三位,订阅人数770万,她是一名美食料理人,除了在youtube分享烹饪心得,她也透过Youtube频道去销售自己的食谱和烹饪书籍,所以Youtuber并不只是单单靠广告费而已。
并列第五名,新入榜Tyler Oakley,年收入 600万美金,这位youtuber凭着他三八搞笑加上超自信和独有的搞笑技巧,加上他超快的语速和维护同性婚姻,更被同志视为精神领袖,吸引了800万的订阅。除此以外,他也还出版书籍和办讲座会等等。
第四名,Smosh,年收入,700万美金,比上一年少了150万美金,排名下跌了两位。订阅人数上升到2200万,总观看此数61亿,还是像往年一样,以搞笑影片为主,最新的影片是说如果人是车的话。。。。上传两天,就有69万的观看次数,他们真的太有才了~
第三位,Lilly Singh,年收入 750万美金,比上一年多了整整500万,哇!厉害,上升了五位。频道Superwoman订阅人数达一千万,她也和化妆品牌公司合作推出Bawse的唇膏和推出自己的书籍,how to be a bawse,bawse是她创造的语言,和Boss同音,意思是超屌的意思。
第二名,Roman Atwood, 年收入800万美金,比上一年多了整整600万,从第八位跳到第二位,超厉害的,大家也非常认识他了,就是恶搞专家,两个频道的订阅人数加起来一共是2200万,除了恶搞之外,他也有分享他的生活Vlog。
来到第一名,大家也猜得到是谁了,没错,还是他!
第一名,Pewdiepie,年收入1500万,比第二名多整700万,比起上一年多了300万收入,订阅人数刚刚突破了5200万,总观看次数,大家猜猜看是多少??321
145亿,这是天文数字啊!
forbes richest 在 Dan Lok Youtube 的評價
Who Were The Top 10 Richest People In The World From 2010-2020? How Did Their Wealth Change Over The Years? Watch This Video As We Ranked Them For You. Check Out The Dan Lok Show For More Insights On The Most Successful Business Legends: https://richestpeople2010s.danlok.link
You can learn a lot from looking at the top 10 richest people in the world. Warren Buffett, Jeff Bezos, Bill Gates, Amancio Ortega... How do they generate their wealth? Are they able to keep it? Watch this video to see how to fortunes of the richest people developed from 2010 to 2020.
? SUBSCRIBE TO DAN'S YOUTUBE CHANNEL NOW ?
https://www.youtube.com/danlok?sub_confirmation=1
Check out these Top Trending Playlists -
1.) Boss In The Bentley - https://www.youtube.com/playlist?list=PLEmTTOfet46OWsrbWGPnPW8mvDtjge_6-
2.) Sales Tips That Get People To Buy - https://www.youtube.com/watch?v=E6Csz_hvXzw&list=PLEmTTOfet46PvAsPpWByNgUWZ5dLJd_I4
3.) Dan Lok’s Best Secrets - https://www.youtube.com/watch?v=FZNmFJUuTRs&list=PLEmTTOfet46N3NIYsBQ9wku8UBNhtT9QQ
Dan Lok has been viewed more than 1.7+ billion times across social media for his expertise on how to achieve financial confidence. And is the author of over a dozen international bestselling books.
Dan has also been featured on FOX Business News, MSNBC, CBC, FORBES, Inc, Entrepreneur, and Business Insider.
In addition to his social media presence, Dan Lok is the founder of the Dan Lok Organization, which includes more than two dozen companies - and is a venture capitalist currently evaluating acquisitions in markets such as education, new media, and software.
Some of his companies include Closers.com, Copywriters.com, High Ticket Closers, High Income Copywriters and a dozen of other brands.
And as chairman of DRAGON 100, the world’s most exclusive advisory board, Dan Lok also seeks to provide capital to minority founders and budding entrepreneurs.
Dan Lok trains as hard in the Dojo as he negotiates in the boardroom. And thus has earned himself the name; The Asian Dragon.
If you want the no b.s. way to master your financial destiny, then learn from Dan. Subscribe to his channel now.
★☆★ CONNECT WITH DAN ON SOCIAL MEDIA ★☆★
YouTube: http://youtube.danlok.link
Dan Lok Blog: http://blog.danlok.link
Dan Lok Shop: https://shop.danlok.link
Facebook: http://facebook.danlok.link
Instagram: http://instagram.danlok.link
Linkedin: http://mylinkedin.danlok.link
Podcast: http://thedanlokshow.danlok.link
#DanLok #WorldsRichest #Wealth
Please understand that by watching Dan’s videos or enrolling in his programs does not mean you’ll get results close to what he’s been able to do (or do anything for that matter).
He’s been in business for over 20 years and his results are not typical.
Most people who watch his videos or enroll in his programs get the “how to” but never take action with the information. Dan is only sharing what has worked for him and his students.
Your results are dependent on many factors… including but not limited to your ability to work hard, commit yourself, and do whatever it takes.
Entering any business is going to involve a level of risk as well as massive commitment and action. If you're not willing to accept that, please DO NOT WATCH DAN’S VIDEOS OR SIGN UP FOR ONE OF HIS PROGRAMS.
This video is about Top 10 Richest People In The World (2010-2020).
https://youtu.be/T_aXXn1y_RQ
https://youtu.be/T_aXXn1y_RQ
forbes richest 在 Dan Lok Youtube 的評價
How Much Do You Know About The Top 10 Richest People In The World In The Decade Of 2000 to 2010? Watch This To Get An Idea Of Their Wealth. Need Help On Your Path To Wealth? Check Out The Dan Lok Show Today: https://top10richest.danlok.link
Bill Gates, Warren Buffet... Maybe you can name a few of the top 10 richest people in the world. But how did their fortunes develop in the years between 2000 and 2010? Where they all able to stay on top? Watch this to find out.
? SUBSCRIBE TO DAN'S YOUTUBE CHANNEL NOW ?
https://www.youtube.com/danlok?sub_confirmation=1
Check out these Top Trending Playlists -
1.) Boss In The Bentley - https://www.youtube.com/playlist?list=PLEmTTOfet46OWsrbWGPnPW8mvDtjge_6-
2.) Sales Tips That Get People To Buy - https://www.youtube.com/watch?v=E6Csz_hvXzw&list=PLEmTTOfet46PvAsPpWByNgUWZ5dLJd_I4
3.) Dan Lok’s Best Secrets - https://www.youtube.com/watch?v=FZNmFJUuTRs&list=PLEmTTOfet46N3NIYsBQ9wku8UBNhtT9QQ
Dan Lok has been viewed more than 1.7+ billion times across social media for his expertise on how to achieve financial confidence. And is the author of over a dozen international bestselling books.
Dan has also been featured on FOX Business News, MSNBC, CBC, FORBES, Inc, Entrepreneur, and Business Insider.
In addition to his social media presence, Dan Lok is the founder of the Dan Lok Organization, which includes more than two dozen companies - and is a venture capitalist currently evaluating acquisitions in markets such as education, new media, and software.
Some of his companies include Closers.com, Copywriters.com, High Ticket Closers, High Income Copywriters and a dozen of other brands.
And as chairman of DRAGON 100, the world’s most exclusive advisory board, Dan Lok also seeks to provide capital to minority founders and budding entrepreneurs.
Dan Lok trains as hard in the Dojo as he negotiates in the boardroom. And thus has earned himself the name; The Asian Dragon.
If you want the no b.s. way to master your financial destiny, then learn from Dan. Subscribe to his channel now.
★☆★ CONNECT WITH DAN ON SOCIAL MEDIA ★☆★
YouTube: http://youtube.danlok.link
Dan Lok Blog: http://blog.danlok.link
Dan Lok Shop: https://shop.danlok.link
Facebook: http://facebook.danlok.link
Instagram: http://instagram.danlok.link
Linkedin: http://mylinkedin.danlok.link
Podcast: http://thedanlokshow.danlok.link
#DanLok #WarrenBuffett #BillGates
Please understand that by watching Dan’s videos or enrolling in his programs does not mean you’ll get results close to what he’s been able to do (or do anything for that matter).
He’s been in business for over 20 years and his results are not typical.
Most people who watch his videos or enroll in his programs get the “how to” but never take action with the information. Dan is only sharing what has worked for him and his students.
Your results are dependent on many factors… including but not limited to your ability to work hard, commit yourself, and do whatever it takes.
Entering any business is going to involve a level of risk as well as massive commitment and action. If you're not willing to accept that, please DO NOT WATCH DAN’S VIDEOS OR SIGN UP FOR ONE OF HIS PROGRAMS.
This video is about Top 10 Richest People In The World (2000-2010).
https://youtu.be/euP3a9xJxgY
https://youtu.be/euP3a9xJxgY