กรณีศึกษา ทำไมคนญี่ปุ่น ชอบถือเงินสด มากกว่าลงทุนในหุ้น /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1878 หรือเมื่อ 143 ปีที่แล้ว และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 2,000 บริษัท ในปัจจุบัน
และรู้หรือไม่ว่า ต้นปี 2021 มูลค่าของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นสูงกว่า 190 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
หลายคนอาจคิดว่า คนญี่ปุ่นคงชอบลงทุนในหุ้น มากกว่าสินทรัพย์อื่น
แต่ความจริงแล้ว กลับไม่เป็นเช่นนั้น..
แล้วคนญี่ปุ่นเมื่อมีเงินแล้ว พวกเขาเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เราลองมาเทียบกันดูก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วคนญี่ปุ่นชอบถือครองสินทรัพย์อะไร และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลจากธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ในปี 2018 ครัวเรือนญี่ปุ่น ถือครองสินทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 558 ล้านล้านบาท
โดยจำนวนนี้ ถ้าแบ่งตามสัดส่วนจะเป็น
- เงินสดและบัญชีเงินฝาก 52%
- ประกันและบำนาญ 28%
- หุ้นและกองทุนรวม 15%
- อื่น ๆ 5%
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับคนยุโรปและคนอเมริกัน ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ต่อมูลค่าสินทรัพย์ถือครอง เท่ากับ 28% และ 31% ตามลำดับ
จึงแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมมากนัก และยังชอบถือครองเงินสด ด้วยการฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนมากอีกด้วย
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในญี่ปุ่นนั้น อยู่ในระดับที่ต่ำมาต่อเนื่องหลายปี แม้กระทั่งในปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 0%
คำถามสำคัญก็คือ ทำไมคนญี่ปุ่น ยังเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคารจำนวนมาก แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ?
เหตุผลที่อธิบายเรื่องนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 3 ประเด็น คือ
1. ประสบการณ์ที่เลวร้ายจากเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น
หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าสู่ระยะของการฟื้นฟูประเทศ ช่วงหลังจากนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็เติบโตแบบก้าวกระโดด
ในช่วงปี 1961-1971 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยกว่า 9% ต่อปี และเติบโตมาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงในช่วงทศวรรษ 1980
ในตอนนั้น ผลกำไรของบริษัทในญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และธนาคารหลายแห่งมีการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทจำนวนมาก
การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ทั้งบริษัทและผู้คนในญี่ปุ่นต่างร่ำรวย จนเกิดการเข้าไปเก็งกำไรราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์
ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนี Nikkei ที่สะท้อนตลาดหุ้นญี่ปุ่น พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จนเกือบแตะ 40,000 จุด ในปี 1989 จากระดับประมาณ 8,000 จุดในปี 1982
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% ในปี 1989 มาอยู่ที่ 6% ในปี 1990 เพื่อเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม ไม่ให้เกิดการกู้ไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ
จนสุดท้าย เมื่อแรงเก็งกำไรเริ่มอ่อนลง ก็ถึงคราวฟองสบู่ลูกใหญ่ระเบิดออก
ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ และราคาอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มปรับตัวลดลง และลดลงเรื่อย ๆ จนหลายคนเจ็บตัวอย่างหนักจากการลงทุน
วิกฤติฟองสบู่ครั้งใหญ่ในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากนั้นมาหลายสิบปีแทบจะหยุดอยู่กับที่ และเป็นแบบนี้มาแล้วราว 3 ทศวรรษ
ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก รู้สึกขยาดกับการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น รวมทั้งยังปลูกฝังความคิดนี้มายังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อ ๆ มา จนถึงตอนนี้
2. ภาวะเงินเฟ้อฝืด
ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ส่งผลโดยตรงต่อภาคครัวเรือน
รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของคนญี่ปุ่นนั้นลดลง จากการที่หลายคนต้องตกงาน ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า ในช่วงปี 1990-2020
ญี่ปุ่นประสบกับภาวะเงินฝืด (เงินเฟ้อติดลบ) ทั้งหมด 14 ปี
ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเงินฝืด นั่นหมายความว่า ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มที่จะลดลง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงเกิดแรงจูงใจในการถือเงินสด มากกว่าที่จะนำเงินออกไปใช้จ่าย หรือชะลอการใช้จ่ายออกไปก่อน เพราะพวกเขาเชื่อว่า ในอนาคตเงินจำนวนเท่าเดิมนั้นจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้มากกว่าในปัจจุบัน และนำเอาเงินไปฝากกับธนาคารไว้ก่อนนั่นเอง
3. ความรู้ ความเข้าใจด้านการเงิน ของคนญี่ปุ่น
หลายคนคงแปลกใจถ้าบอกว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขาดความรู้ด้านการเงิน
ซึ่งเรื่องนี้ มีผลการสำรวจของธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ประชาชนชาวญี่ปุ่นนั้นมีความรู้ด้านการเงินน้อยกว่าประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี
การขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก กลัวการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และชอบในการเก็บเงินออมด้วยการฝากธนาคารที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้ โรงเรียนในญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนเท่าที่ควร โดยศาสตราจารย์ Nobuyoshi Yamori ที่สอนสาขาวิชาเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยโกเบ ระบุว่า
“โรงเรียนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น ใช้เวลาสอนเรื่องการเงินการลงทุนให้นักเรียนน้อยมาก ขณะที่ครูที่มาสอนวิชาดังกล่าวก็ไม่ได้รับการฝึกอบรม หรือมีความรู้ ความเข้าใจ ในด้านการเงินการลงทุนที่ดีมากนัก”
จึงทำให้เด็กญี่ปุ่นจำนวนมากขาดความรู้ด้านการเงิน ซึ่งส่งผลให้เมื่อทำงานมีรายได้แล้ว พวกเขาเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคาร มากกว่านำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะหุ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเข้าใจว่าทำไมที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นจำนวนมากตัดสินใจถือเงินสด หรือฝากเงินไว้กับธนาคารอย่างมากและไม่ค่อยชอบการลงทุนในหุ้นมากนัก ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่าปัจจุบัน เงินเยนของญี่ปุ่น เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้ซื้อขายบิตคอยน์มากที่สุดอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่เงินดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเราอาจบอกได้ว่า แม้คนญี่ปุ่นจำนวนมาก จะไม่ชอบสินทรัพย์เสี่ยงสูง และนิยมฝากเงินไว้ในธนาคาร
แต่ในทางกลับกันก็มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ที่หันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง อย่างบิตคอยน์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.stat.go.jp/english/data/handbook/pdf/2020all.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tokyo_Stock_Exchange
-https://www.statista.com/statistics/710680/global-stock-markets-by-country/
-https://tradingeconomics.com/japan/deposit-interest-rate
-https://en.wikipedia.org/wiki/Demographics_of_Japan
-https://data.worldbank.org/country/JP
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lost_Decades
-https://www.statista.com/statistics/270095/inflation-rate-in-japan/
-https://www.fsa.go.jp/frtc/kenkyu/event/20150305/s3_2.pdf
-https://www.investopedia.com/tech/top-fiat-currencies-used-trade-bitcoin/
-https://globalriskinsights.com/2021/06/japans-cryptocurrency-market-set-to-bloom-or-wither/
fiat wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
กรณีศึกษา “Silver Thursday” การไล่ซื้อแร่เงิน จนตัวเองขาดทุนกว่า 100,000 ล้านบาท /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง วันที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
หลายคนอาจนึกถึง Black Monday ที่เกิดขึ้นในปี 1987
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น
แต่ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ลักษณะนี้ ที่เกิดขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
มันก็จะมีเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “Silver Thursday”
ที่ราคาแร่เงิน ร่วงลงอย่างหนักภายในวันเดียว
เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร และใครได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Silver Thursday เกิดขึ้นใน วันพฤหัสบดี ที่ 27 มีนาคม 1980
โดยตัวละครที่สำคัญของเรื่องนี้คือ “3 พี่น้องตระกูล Hunt”
ซึ่งประกอบไปด้วย Nelson Bunker Hunt, Lamar Hunt และ William Herbert Hunt
ทั้ง 3 คนเป็นลูกของ H. L. Hunt มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่ร่ำรวยมาจากการเทรดน้ำมัน
จุดเริ่มต้นของหายนะก่อตัวขึ้นในปี 1979
เมื่อ 3 พี่น้องตระกูล Hunt เริ่มมีความคิดสุดโต่งว่า เงินดอลลาร์ที่พวกเขาถืออยู่นั้นจะมีค่าด้อยลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเงินเหล่านี้เป็นเพียงแค่ “เงินกระดาษ (Fiat Money)” ที่ไม่ได้มีค่าในตัวเอง แต่มันเป็นที่ต้องการเพียงแค่เพราะรัฐบาลประกาศให้เป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ดังนั้น เพื่อรักษาอำนาจซื้อของพวกเขา ทั้ง 3 คนจึงพยายามที่จะไล่ซื้อ “แร่เงิน” ที่เชื่อว่ามีมูลค่าในตัวเอง มาเก็บแทน
พวกเขาเริ่มทุ่มเงินจำนวนมากซื้อแร่เงิน ผ่านการซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นตราสารที่อ้างอิงราคาของแร่เงินในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จนผลักดันให้ราคาแร่เงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้ง 3 พี่น้องไม่เพียงแต่ใช้เงินตนเองเท่านั้น
พวกเขายังกู้ยืมเงินจากบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อด้วย
ซึ่งการกู้ยืมดังกล่าวเรียกว่า การใช้ “มาร์จิน”
กรณีที่มาร์จินถูกนำมาใช้ ถ้าเมื่อใดที่ราคาของสินทรัพย์นั้นเริ่มลดลงไปถึงระดับหนึ่ง บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จะขอให้ผู้กู้ฝากเงินเป็นหลักประกันเพิ่ม ซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า Margin Call
ถ้าผู้กู้ไม่สามารถหาเงินมาฝากเพิ่มได้ทันตามกำหนด
บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จะสามารถบังคับขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตของผู้กู้คนนั้นได้ทันที
ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นหายนะสำหรับคนที่ไปกู้มาร์จิน เหมือนกับ 3 พี่น้องตระกูล Hunt กำลังจะต้องเจอ..
ช่วงแรกที่ทั้ง 3 คนเข้าไปไล่ซื้อสัญญาล่วงหน้าของแร่เงินนั้น ราคาแร่เงินนั้นปรับเพิ่มขึ้นแบบติดจรวด
- มกราคม 1979 ราคาแร่เงิน เท่ากับ 0.195 ดอลลาร์สหรัฐต่อกรัม
- มกราคม 1980 ราคาแร่เงิน เท่ากับ 1.590 ดอลลาร์สหรัฐต่อกรัม
หรือราคาแร่เงินปรับเพิ่มขึ้น 715% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี
ในเวลานั้น มีการประเมินกันว่า ปริมาณแร่เงินที่ 3 พี่น้องตระกูล Hunt เข้ามาซื้อผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นมีปริมาณรวมกันถึง 1 ใน 3 ของปริมาณแร่เงินในโลก ณ ขณะนั้น
แร่เงินนั้น ถือเป็นแร่ที่มีความสำคัญกับหลายอุตสาหกรรม
เนื่องจากถูกนำไปใช้ในการทำเงินเหรียญ เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย ภาชนะบนโต๊ะอาหาร รวมไปถึงส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
ราคาของแร่เงินที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงสร้างผลกระทบให้แก่หลายอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แร่ชนิดนี้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้า
จนหลาย ๆ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้ออกมาประณามการกระทำของ 3 พี่น้องตระกูล Hunt ผู้เป็นตัวการหลักในการปั่นราคาแร่เงินให้พุ่งขึ้นมาในครั้งนี้ ว่าไร้ซึ่งสามัญสำนึก และเป็นการบิดเบือนตลาด
ไม่นาน คณะกรรมการของ New York Mercantile Exchange (NYMEX) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้เข้ามากำกับดูแลเรื่องนี้ ด้วยการออกกฎที่ชื่อว่า “Silver Rule 7” ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่องการใช้มาร์จินในการซื้อขาย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรเริ่มหวาดวิตก และเริ่มเทขายแร่เงินออกไป ทำให้ราคาแร่เงินปรับตัวลดลงกว่า 50% ในระยะเวลาเพียง 4 วันหลังจากที่กฎเกณฑ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้
ซึ่งคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดจากเรื่องนี้ก็จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 3 พี่น้องตระกูล Hunt..
บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หลายแห่งที่ทั้ง 3 คนไปกู้เงินมา ต้องขอเรียกเงินเป็นหลักประกันเพิ่ม เป็นมูลค่ารวมกันประมาณ 10,400 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบันที่ปรับด้วยเงินเฟ้อ)
และยังมีอีกหลายธนาคารที่ให้พวกเขากู้ยืมเงินไปด้วย
ซึ่งทั้ง 3 คนก็ไม่สามารถหาเงินมาเพิ่มได้ทัน และกำลังจะต้องโดนบังคับขายสินทรัพย์ในพอร์ตออกไป
เรื่องนี้ยังได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดซื้อขายล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ และรวมไปถึงตลาดการเงินอีกด้วย
ในตอนนั้น หลายคนเริ่มแสดงความกังวลว่า หาก 3 พี่น้องตระกูล Hunt ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้บริษัทนายหน้าและธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งที่ให้พวกเขากู้ยืม อาจถึงขนาดต้องล้มละลาย
ความโกลาหลในวันพฤหัสบดี ที่ 27 มีนาคม 1980 นั้น
ทำให้เกิดแรงเทขายแร่เงิน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์อื่นอย่างหนัก
จนเกิดเป็นเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “Silver Thursday”
ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายมากไปกว่านี้ สมาคมธนาคารของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องนี้
โดยการร่วมกันให้วงเงินกู้ยืมจำนวน 115,000 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบันหลังปรับด้วยเงินเฟ้อ) แก่ทั้ง 3 พี่น้อง เพื่อให้นำไปจ่ายคืนแก่เจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้ให้
โดยแลกกับการเอาสินทรัพย์ของครอบครัว Hunt มาใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้พวกเขาสามารถนำเงินไปคืนเจ้าหนี้ ที่พวกเขาไปกู้ยืมมาได้ทันเวลา
เรื่องราวนี้ก็ปิดฉากลง ด้วยการที่ 3 พี่น้องตระกูล Hunt ขาดทุนจากการไล่ซื้อแร่เงินในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ มากกว่า 100,000 ล้านบาท
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นพวกเขาก็ยังมีทรัพย์สินหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินในธุรกิจน้ำมัน น้ำตาล และอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามสินทรัพย์ที่เขาถือค่อย ๆ ลดลงในช่วงปี 1980-1988
และในเวลาต่อมาพวกเขาโดนค่าปรับจากทางการ ในข้อหาบิดเบือนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อีกหลายหมื่นล้านบาท ทำให้พวกเขาต้องประกาศล้มละลาย ในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.investopedia.com/terms/s/silver_thursday.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Silver_Thursday
-https://en.wikipedia.org/wiki/H._L._Hunt
-https://en.wikipedia.org/wiki/Silver
-https://en.wikipedia.org/wiki/New_York_Mercantile_Exchange
-https://www.in2013dollars.com/us/inflation/1980
fiat wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
การรู้ตัวเร็วของ Foxconn เปลี่ยนจากเคสมือถือ เป็นตัวถังรถยนต์ /โดย ลงทุนแมน
อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าถูกคาดการณ์ว่า
จะมีมูลค่ากว่า 187 ล้านล้านบาท ในปี 2035
ก้อนเค้กชิ้นโตนี้ จึงดึงดูดใจทั้งผู้ผลิตรถยนต์รายเดิม บริษัทเทคโนโลยี ไปจนถึงบริษัทผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไอที ให้กระโดดเข้ามาร่วมพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างคึกคัก
ซึ่งบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ไอทีแบรนด์ดังมาตลอดเกือบสามสิบปี อย่าง Foxconn Technology ก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้
Foxconn Technology หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Foxconn
จะเข้ามามีบทบาทอะไรในวงการรถยนต์ไฟฟ้า ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Foxconn Technology เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวัน ที่ถูกก่อตั้งในปี 1990
โดยในตอนแรกใช้ชื่อ Q-RUN Technology เพื่อดำเนินกิจการผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และกล้องวงจรปิด
จนในปี 1996 Q-RUN Technology ก็ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน
และ 3 ปีต่อมา Q-RUN ได้เข้าเป็นซัปพลายเออร์ของบริษัทชื่อว่า Foxconn Precision Components ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Hon Hai Precision Industry บริษัทรับผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่สัญชาติไต้หวัน
โดยบริษัทแห่งนี้มีหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ให้กับคอมพิวเตอร์แบรนด์ดังในยุคนั้นอย่าง Compaq และยังรับประกอบแผงวงจรให้เครื่อง iMac ของ Apple มาตั้งแต่ปี 2000
ในปี 2004 Q-RUN Technology ก็ควบรวมกิจการเข้ากับ Foxconn Precision Components และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Foxconn Technology ซึ่งเราจะเรียกสั้น ๆ ว่า Foxconn
Foxconn เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นผู้ประกอบ iPhone มาช้านาน
ซึ่งแท้จริงแล้ว บริษัทนี้รับผลิตและประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายนอกจาก iPhone เช่น ผลิตอุปกรณ์ระบายความร้อนให้คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Acer, Dell, Compaq
นอกจากนั้นบริษัทได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการหล่อฉีดชิ้นส่วนต่าง ๆ
จนสามารถผลิตเคสที่มีความทนทานสูงให้กับอุปกรณ์ไอที
โดยมีลูกค้าคนสำคัญ อย่างเช่น NOKIA มาจ้างผลิต
โดยเฉพาะเคสรุ่นที่มีความทนทานและมีส่วนผสมโลหะอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม ล้วนมาจากการผลิตโดย Foxconn Technology ทั้งสิ้น
ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ มือถือ NOKIA ในช่วงนั้น ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานของวัสดุนั่นเอง
หรือแม้แต่ฟีเจอร์โฟนที่ได้รับความนิยมอีกเจ้าหนึ่งอย่าง BlackBerry ก็มาจ้าง Foxconn ผลิตเคสและฝาปิดเครื่องเช่นกัน
สำหรับคนที่หลงใหลในการเล่นเกมผ่านเครื่องเล่นคอนโซลทั้ง PlayStation, Wii, Nintendo DS, Xbox ก็ถือว่าได้สัมผัสงานประกอบจาก Foxconn กันมาแล้วทั้งสิ้น
ส่วนลูกค้าคนสำคัญอย่าง Apple ก็ไว้วางใจ และมอบให้ Foxconn เป็นซัปพลายเออร์หลักในการผลิตเคสของผลิตภัณฑ์ของ Apple เช่น iPhone, iPad, MacBook Pro, Retina MacBook Pro มาจนถึง iPhone 12 ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน Foxconn มีโรงงานผลิตและประกอบชิ้นส่วนอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, บราซิล
แต่ฐานการผลิตใหญ่สุดของ Foxconn ตั้งอยู่ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 12 โรงงาน ใน 9 มณฑล
โดยโรงงานใหญ่สุดของ Foxconn ตั้งอยู่ในมณฑลเชินเจิ้น (Shenzhen)
ซึ่งมีจำนวนพนักงานทำงาน ณ โรงงานแห่งนี้ประมาณ 350,000-450,000 คน เลยทีเดียว
ทีนี้ ความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นกับ Foxconn ในระยะหลัง ๆ
คือการแข่งขันในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ไอทีที่ดุเดือดมากขึ้น
ยกตัวอย่างจากลูกค้าคนสำคัญอย่าง Apple ก็จำเป็นต้องต่อรองและกดราคาซัปพลายเออร์ เพื่อที่จะจ่ายค่าจ้างผลิตและประกอบที่ต่ำลง เพื่อให้สินค้าอย่างเช่น iPhone, iPad สามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น
เรื่องนี้ทำให้หลายบริษัทที่เป็นซัปพลายเออร์ให้ Apple เริ่มทยอยถอนตัว เช่น
- Pegatron Corporation บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนคล้ายกับ Foxconn ก็เริ่มลดรับคำสั่งชิ้นส่วนสำหรับผลิต iPhone แล้วไปเป็นซัปพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนให้ Tesla แทน โดยปลายปี 2020 มีข่าวว่าไปสร้างโรงงานที่รัฐเท็กซัส ในสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานแห่งใหม่ของ Tesla โดยเฉพาะ
- Catcher Technology บริษัทผลิตเคส iPhone เหมือนกับ Foxconn ได้ขายโรงงานในประเทศจีนให้กับ Lens Technology บริษัทสัญชาติจีนที่เป็นซัปพลายเออร์กระจกให้ iPhone ไปแล้ว
และถ้าย้อนดูผลประกอบการของ Foxconn Technology ในช่วงสามปีหลัง
ปี 2018 รายได้ 142,060 ล้านบาท กำไร 9,150 ล้าน อัตรากำไร 6.44%
ปี 2019 รายได้ 99,800 ล้านบาท กำไร 7,130 ล้าน อัตรากำไร 7.14%
ปี 2020 รายได้ 104,790 ล้านบาท กำไร 4,720 ล้าน อัตรากำไร 4.50%
จะเห็นว่า แม้ 3 ปีที่ผ่านมา Foxconn จะยังคงสามารถรักษารายได้เฉลี่ยอยู่ในระดับแสนล้าน แต่จะเห็นว่าอัตราการทำกำไรมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ดีต่อบริษัทแน่ ๆ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Foxconn ต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะมาช่วยสร้างรายได้ และเพิ่มอัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น
และอุตสาหกรรมที่ดูมีอนาคต อีกทั้ง Foxconn ยังสามารถนำเทคโนโลยีของตัวเองมาพัฒนาต่อยอดได้ ก็คือ การผลิตตัวถังหรือ Body ของรถยนต์ไฟฟ้า
หลายปีที่ผ่านมา Foxconn ได้มีการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการหล่อฉีดอะลูมิเนียมอัลลอย
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ จะทำให้ได้ตัวถังของรถยนต์ที่แข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบา
การมีเทคโนโลยีตัวนี้ ทำให้ต้นปีที่ผ่านมา Foxconn ได้รับคำสั่งซื้อจากค่ายรถยนต์ชั้นนำอย่าง BMW ในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังมีบริษัทแม่อย่าง Hon Hai Precision Industry ก็เริ่มทยอยเซ็นสัญญาร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ในการร่วมพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น
- Byton บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรกไปเมื่อปี 2018 (ซึ่ง Byton ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการตั้งกิจการร่วมค้าระหว่าง Foxconn, Tencent และนายหน้าค้ารถหรูในฮ่องกงชื่อว่า Harmony New Energy เมื่อปี 2016)
- Geely บริษัทรถยนต์ชั้นนำของจีน ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังอย่าง Volvo และ Proton
- Fiat Chrysler Automobiles บริษัทรถยนต์รายใหญ่ของโลก
- Fisker บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน
นอกจากดีลเหล่านี้ ยังมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ Apple เจ้าของ iPhone จะตัดสินใจเลือกพันธมิตรเก่าแก่อย่าง Foxconn ในการรับผลิต Apple Car ที่มีแผนจะออกตลาดในปี 2024 อีกด้วย
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การปรับตัวของ Foxconn ที่กำลังเริ่มเข้าสู่การผลิตตัวถังรถยนต์จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้อย่างหนึ่งคือ
การทำธุรกิจนั้น ต้องปรับตัวให้ล้อไปกับเทรนด์ของโลกเสมอ
เพราะสิ่งที่เคยสร้างความสำเร็จให้บริษัทในอดีต ไม่อาจการันตีความสำเร็จในอนาคตได้
ซึ่งก็ดูเหมือน Foxconn จะรู้ตัวเร็ว
และกำลังเตรียมพร้อมรอขี่คลื่นลูกใหม่ ที่กำลังจะมาถึง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-http://www.foxconntech.com.tw/en-about1-1.html
-https://www.moneydj.com/kmdj/wiki/wikiviewer.aspx?keyid=ec375f49-0371-4757-8320-ded3abc402f1
-https://zh.wikipedia.org/wiki/%E9%B4%BB%E6%B5%B7%E7%A7%91%E6%8A%80%E9%9B%86%E5%9C%98
-https://forum.uanalyze.com.tw/forum/%E3%80%90%E9%B4%BB%E6%BA%96%E3%80%91%E8%BB%8A%E7%94%A8%E9%9B%BB%E5%AD%90%E8%BC%AA%E7%95%AA%E5%A4%A7%E6%BC%B2%20%E9%80%99%E6%AC%A1%E8%BC%AA%E5%88%B0%E9%B4%BB%E6%B5%B7%E5%8F%A6%E4%B8%80%E5%AE%B6%E5%AD%90%E5%85%AC%E5%8F%B8%E9%B4%BB%E6%BA%96%20%E5%A4%A7%E6%BC%B2%E8%83%8C%E5%BE%8C%E7%9A%84%E7%9C%9F%E7%9B%B8.....%E5%8F%AA%E6%9C%89%E4%B8%80%E5%80%8B%EF%BC%81
-https://www.chinatimes.com/newspapers/20130411000748-260206?chdtv
-https://udn.com/news/story/7240/5344483
-https://www.cw.com.tw/article/5101577
-https://tw.stock.yahoo.com/news/%E9%B4%BB%E6%BA%96%E8%82%A1%E5%83%B9%E9%80%A32%E6%97%A5%E6%BC%B2%E5%81%9C-%E5%B0%88%E5%AE%B6%E6%9B%9D-%E9%97%9C%E9%8D%B5%E6%8A%80%E8%A1%93-apple-car%E5%B0%91%E4%B8%8D%E4%BA%86-031500546.html
fiat wiki 在 飛雅特Fiat 500開箱~義大利經典車款~2018 Fiat ... - YouTube 的八卦
今天開箱歐洲電影常見經典車 Fiat 500 2018 Fiat 500 Comics Edition 0.9T 充滿樂趣及品味適合市區的靈活小車雙缸引擎渦輪增壓Twinair Turbo 超省油 ... ... <看更多>