สรุปมหากาพย์ การกำเนิด Netflix / โดย ลงทุนแมน
คุณ Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Netflix เล่าว่า
เขาเคยถูกปรับจากการคืนวิดีโอภาพยนตร์ล่าช้าเป็นเงิน 40 ดอลลาร์สหรัฐ (1,200 บาท) โดยเขาเช่าภาพยนตร์เรื่อง Apollo 13 จากร้าน Blockbuster ซึ่งเป็นร้านให้เช่าวิดีโอที่ใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา
คุณ Reed เห็นว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่มีปัญหาคล้ายกับเขา คือต้องเสียเวลาเดินทางไปคืนวิดีโอที่ร้านเช่า และถูกปรับเป็นประจำ
ในปี 1997 คุณ Reed จึงเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่ คือให้เช่า DVD ทางไปรษณีย์ นี่คือที่มาของ Netflix
แต่ในหลายๆ ครั้ง ลูกค้าก็ยังเจอปัญหาการคืน DVD ล่าช้า จากกระบวนการขนส่งพัสดุ
คุณ Reed จึงเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่แบบที่ 2
ปี 1999 Netflix เปิดบริการให้เช่า DVD แบบเสียค่าสมาชิกรายเดือน
แต่แล้วฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ
ในปีต่อมา Netflix ก็ต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงินครั้งใหญ่จากวิกฤติฟองสบู่ดอตคอม
ปี 2000 คุณ Reed จำใจเสนอขายบริษัทให้กับ Blockbuster ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ในราคา 1,500 ล้านบาท
ตอนนั้น Blockbuster เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า Netflix โดยมีรายได้ปีละ 150,000 ล้านบาท
คุณ Reed น่าจะเห็นว่าการขายบริษัท น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแข่งขันกับบริษัทที่ใหญ่กว่าตัวเอง
แต่ผู้บริหาร Blockbuster กลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยมองว่ามีมูลค่าแพงเกินไป..
นั่นทำให้คุณ Reed โกรธมาก และประกาศว่าจะโค่น Blockbuster ให้ได้
กลยุทธ์ที่คุณ Reed ใช้ต่อสู้กับ Blockbuster คือเน้นให้เช่า DVD ผ่านทางเว็บไซต์ และหันมาพัฒนาระบบ Movie Recommendation ช่วยแนะนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ ทำให้ Netflix มีจำนวนสมาชิกครบ 1 ล้านคน หลังจากใช้ระบบนี้เพียงแค่ 3 ปี
Blockbuster กังวลกับการเติบโตของ Netflix ผู้บริหารจึงจัดตั้งทีมงานพิเศษกลุ่มหนึ่งให้สร้างเว็บไซต์สำหรับแข่งกับ Netflix โดยเฉพาะ
ทีมพิเศษใช้เวลาเพียง 6 เดือน Blockbuster ก็สร้างเว็บไซต์ที่มีหน้าตาเหมือนกับ Netflix ไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เว็บไซต์ Blockbuster กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะไม่มีระบบ Movie Recommendation เหมือนของ Netflix
ผู้บริหารของ Blockbuster ตัดสินใจถูกที่จัดตั้งทีมพิเศษสำหรับสร้างเว็บไซต์โดยเฉพาะ แต่ข้อผิดพลาดคือ ทีมงานนี้กลับคัดลอกเพียงแต่หน้าเว็บไซต์ภายนอก ไม่ได้เข้าใจส่วนที่สำคัญจริงๆ นั่นคือระบบการทำงานเบื้องหลังของเว็บไซต์
ในปี 2010 Blockbuster ประกาศล้มละลาย เป็นอันจบศึกใหญ่ด้วยชัยชนะอันสวยงามของ Netflix
คุณ Reed ยังไม่หยุดแค่นี้ เขามองว่าในอนาคตพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป
ธุรกิจเช่า DVD จะเปลี่ยนโมเดลไปเป็นชมภาพยนตร์ผ่านอินเทอร์เน็ต
นั่นทำให้เขาตัดสินใจเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่เป็นครั้งที่ 3
ปี 2007 Netflix เปิดให้บริการ Online Streaming
การให้บริการ Online Streaming ทำให้ Netflix ต้องสู้ศึกกับคู่แข่งใหญ่รายใหม่
คู่แข่งรายนั้นคือ HBO บริษัทลูกของ AT&T ผู้เป็นเจ้าของสตูดิโอ Warner Bros.
ในปี 2007 Netflix มีจำนวนสมาชิกอยู่ 7 ล้านราย ในขณะที่ HBO มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 100 ล้านราย
เริ่มแรกนั้น Netflix พยายามขอซื้อ Content ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ HBO มาฉายบน Platform ของตัวเอง แต่ถูก HBO ปฏิเสธ
สาเหตุเพราะ HBO ได้ค่าสมาชิกจาก Cable TV ประมาณ 60-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ในขณะที่ Netflix คิดค่าบริการเพียงเดือนละ 7.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกกว่า 10 เท่า
นั่นทำให้ผู้บริหาร HBO เลือกที่จะไม่ขายลิขสิทธิ์ของ Content ให้ Netflix เพราะกลัวจะกระทบกับธุรกิจ Cable TV ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก
ไม่เพียงเท่านั้น HBO ยังเปิดให้บริการ Online Streaming ของตัวเองในชื่อ HBO GO โดยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Netflix อย่างสิ้นเชิง
ผู้ชมทั่วไปไม่สามารถสมัครสมาชิก HBO GO ได้ เพราะบริการของ HBO GO มีไว้สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก Cable TV ของ HBO อยู่แล้วเท่านั้น
HBO GO ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหาลูกค้าใหม่ แต่สร้างมาเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม..
กรณีของ HBO ทำให้ Netflix เห็นปัญหาของการซื้อลิขสิทธิ์ Content จากบริษัทอื่น
เมื่อเจอปัญหานี้ คุณ Reed ก็เริ่มมองหาโมเดลการทำธุรกิจใหม่เป็นครั้งที่ 4
ในปี 2011 Netflix ได้ฉาย Original Content เรื่องแรก นั่นคือซีรีส์ House of Cards
ซีรีส์ House of Cards ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับการพูดถึงปากต่อปากในวงกว้าง และทำให้จำนวนสมาชิกของ Netflix เติบโตเร็วขึ้น
แม้ว่า HBO จะมีซีรีส์ที่ดังสุดในโลกอย่าง Game of Thrones อยู่ในมือ แต่เพราะดำเนินกลยุทธ์ผิด เน้นเฉพาะกลุ่มคนที่ดู Cable TV การเติบโตของจำนวนสมาชิกจึงไม่สูงเท่าที่ควร
ปี 2007 HBO มีจำนวนสมาชิก 100 ล้านราย
ปี 2019 HBO มีจำนวนสมาชิก 140 ล้านราย
คิดเป็นการเติบโต 40% ในเวลา 12 ปี
ปี 2007 Netflix มีจำนวนสมาชิก 7 ล้านราย
ปี 2019 Netflix มีจำนวนสมาชิก 158 ล้านราย
คิดเป็นการเติบโต 2,157% ในเวลา 12 ปี
ย้อนกลับไปในปี 2000 คุณ Reed อาจรู้สึกโกรธที่ Blockbuster ปฏิเสธที่จะซื้อบริษัทที่มูลค่า 1,500 ล้านบาท
ย้อนกลับไปในปี 2007 คุณ Reed อาจรู้สึกโกรธที่ HBO ปฏิเสธที่จะให้ลิขสิทธิ์ Content กับ Netflix
แต่มาวันนี้ คุณ Reed น่าจะหายโกรธแล้ว..
ปัจจุบันบริษัท Netflix มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท
ตัวเลขนี้สูงกว่าราคาที่คุณ Read เคยเสนอขาย 2,400 เท่า
และ HBO เป็นตัวจุดประกายให้ Netflix ลงทุนใน Original Content ซึ่งตอนนี้ใช้งบประมาณปีละ 400,000 ล้านบาท มากกว่ารายได้ของ Blockbuster ในปี 2000 ถึง 3 เท่า
แต่ถึงแม้ว่า Netflix จะสามารถเอาชนะ Blockbuster ได้อย่างงดงาม
Netflix ก็ต้องสู้ศึกครั้งใหม่ กับบริษัทยักษ์ใหญ่อีก 5 ราย
คู่แข่ง 2 รายแรกคือ Apple และ Amazon บริษัทที่มีมูลค่าอันดับ 1 และอันดับ 3 ของโลก
นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่สำคัญอีก 3 ราย คือ
1. บริษัท Disney เจ้าของแฟรนไชส์ดังมากมาย รวมทั้ง 20th Century Fox และ Hulu
2. บริษัท Comcast เจ้าของ Universal และ NBC ช่องฟรีทีวีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา
3. บริษัท AT&T เจ้าของ Warner Bros. และ HBO ซึ่งเป็นคู่แค้นเก่าของ Netflix
ทั้ง 5 รายจะเข้าสู่ธุรกิจ Online Streaming เหมือน Netflix..
ประเด็นน่าสนใจมีอยู่ว่า
Netflix ลงทุนกับ Original Content มากกว่าปีละ 400,000 ล้านบาท
แต่จำนวนชั่วโมงที่ลูกค้ารับชม Original Content กลับอยู่ที่ 37%
ในขณะที่จำนวนชั่วโมงที่ลูกค้ารับชม Content ของบริษัทอื่นในแพลตฟอร์ม Netflix สูงถึง 63%
โดย Content ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด 3 อันดับแรกของ Netflix มีดังนี้
1. ซีรีส์ The Office เจ้าของคือ NBCUniversal
2. ซีรีส์ Friends เจ้าของคือ Warner Bros.
3. ซีรีส์ Grey’s Anatomy เจ้าของคือ ABC ซึ่งเป็นฟรีทีวีอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Disney
เท่ากับว่าซีรีส์ 3 อันดับแรก ไม่มีเรื่องไหนเป็นของ Netflix เองเลย
และในอนาคตเมื่อซีรีส์ทั้ง 3 เรื่องหมดสัญญา ก็น่าจะถูกดึงกลับไปอยู่กับบริการ Streaming ของบริษัทคู่แข่งรายต่างๆ
พูดง่ายๆ ว่า Supplier รายสำคัญทั้ง 3 บริษัท กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งของ Netflix
คุณ Reed ได้รับการยอมรับว่าเป็น CEO ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
แต่ศึกครั้งใหม่นี้ อาจไม่ง่ายเหมือนกับครั้ง Blockbuster..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.forbes.com/…/netflixs-original-content-strate…/…
-https://brandriddle.com/netflix-history/
-https://www.insidehook.com/…/netflix-once-tried-to-buy-bloc…
同時也有42部Youtube影片,追蹤數超過885萬的網紅Michelle Phan,也在其Youtube影片中提到,When you are chasing love, who knows if it is chasing you too. Behind the Scenes Photos http://bit.ly/MPRougeInLoveBTS2 ♥ Please Subscribe! http://...
disney history 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
สรุปมหากาพย์ การกำเนิด Netflix / โดย ลงทุนแมน
คุณ Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Netflix เล่าว่า
เขาเคยถูกปรับจากการคืนวิดีโอภาพยนตร์ล่าช้าเป็นเงิน 40 ดอลลาร์สหรัฐ (1,200 บาท) โดยเขาเช่าภาพยนตร์เรื่อง Apollo 13 จากร้าน Blockbuster ซึ่งเป็นร้านให้เช่าวิดีโอที่ใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกา
คุณ Reed เห็นว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่มีปัญหาคล้ายกับเขา คือต้องเสียเวลาเดินทางไปคืนวิดีโอที่ร้านเช่า และถูกปรับเป็นประจำ
ในปี 1997 คุณ Reed จึงเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่ คือให้เช่า DVD ทางไปรษณีย์ นี่คือที่มาของ Netflix
แต่ในหลายๆ ครั้ง ลูกค้าก็ยังเจอปัญหาการคืน DVD ล่าช้า จากกระบวนการขนส่งพัสดุ
คุณ Reed จึงเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่แบบที่ 2
ปี 1999 Netflix เปิดบริการให้เช่า DVD แบบเสียค่าสมาชิกรายเดือน
แต่แล้วฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ
ในปีต่อมา Netflix ก็ต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงินครั้งใหญ่จากวิกฤติฟองสบู่ดอตคอม
ปี 2000 คุณ Reed จำใจเสนอขายบริษัทให้กับ Blockbuster ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ในราคา 1,500 ล้านบาท
ตอนนั้น Blockbuster เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า Netflix โดยมีรายได้ปีละ 150,000 ล้านบาท
คุณ Reed น่าจะเห็นว่าการขายบริษัท น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแข่งขันกับบริษัทที่ใหญ่กว่าตัวเอง
แต่ผู้บริหาร Blockbuster กลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยมองว่ามีมูลค่าแพงเกินไป..
นั่นทำให้คุณ Reed โกรธมาก และประกาศว่าจะโค่น Blockbuster ให้ได้
กลยุทธ์ที่คุณ Reed ใช้ต่อสู้กับ Blockbuster คือเน้นให้เช่า DVD ผ่านทางเว็บไซต์ และหันมาพัฒนาระบบ Movie Recommendation ช่วยแนะนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ ทำให้ Netflix มีจำนวนสมาชิกครบ 1 ล้านคน หลังจากใช้ระบบนี้เพียงแค่ 3 ปี
Blockbuster กังวลกับการเติบโตของ Netflix ผู้บริหารจึงจัดตั้งทีมงานพิเศษกลุ่มหนึ่งให้สร้างเว็บไซต์สำหรับแข่งกับ Netflix โดยเฉพาะ
ทีมพิเศษใช้เวลาเพียง 6 เดือน Blockbuster ก็สร้างเว็บไซต์ที่มีหน้าตาเหมือนกับ Netflix ไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เว็บไซต์ Blockbuster กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะไม่มีระบบ Movie Recommendation เหมือนของ Netflix
ผู้บริหารของ Blockbuster ตัดสินใจถูกที่จัดตั้งทีมพิเศษสำหรับสร้างเว็บไซต์โดยเฉพาะ แต่ข้อผิดพลาดคือ ทีมงานนี้กลับคัดลอกเพียงแต่หน้าเว็บไซต์ภายนอก ไม่ได้เข้าใจส่วนที่สำคัญจริงๆ นั่นคือระบบการทำงานเบื้องหลังของเว็บไซต์
ในปี 2010 Blockbuster ประกาศล้มละลาย เป็นอันจบศึกใหญ่ด้วยชัยชนะอันสวยงามของ Netflix
คุณ Reed ยังไม่หยุดแค่นี้ เขามองว่าในอนาคตพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป
ธุรกิจเช่า DVD จะเปลี่ยนโมเดลไปเป็นชมภาพยนตร์ผ่านอินเทอร์เน็ต
นั่นทำให้เขาตัดสินใจเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่เป็นครั้งที่ 3
ปี 2007 Netflix เปิดให้บริการ Online Streaming
การให้บริการ Online Streaming ทำให้ Netflix ต้องสู้ศึกกับคู่แข่งใหญ่รายใหม่
คู่แข่งรายนั้นคือ HBO บริษัทลูกของ AT&T ผู้เป็นเจ้าของสตูดิโอ Warner Bros.
ในปี 2007 Netflix มีจำนวนสมาชิกอยู่ 7 ล้านราย ในขณะที่ HBO มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 100 ล้านราย
เริ่มแรกนั้น Netflix พยายามขอซื้อ Content ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ HBO มาฉายบน Platform ของตัวเอง แต่ถูก HBO ปฏิเสธ
สาเหตุเพราะ HBO ได้ค่าสมาชิกจาก Cable TV ประมาณ 60-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ในขณะที่ Netflix คิดค่าบริการเพียงเดือนละ 7.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกกว่า 10 เท่า
นั่นทำให้ผู้บริหาร HBO เลือกที่จะไม่ขายลิขสิทธิ์ของ Content ให้ Netflix เพราะกลัวจะกระทบกับธุรกิจ Cable TV ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก
ไม่เพียงเท่านั้น HBO ยังเปิดให้บริการ Online Streaming ของตัวเองในชื่อ HBO GO โดยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Netflix อย่างสิ้นเชิง
ผู้ชมทั่วไปไม่สามารถสมัครสมาชิก HBO GO ได้ เพราะบริการของ HBO GO มีไว้สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก Cable TV ของ HBO อยู่แล้วเท่านั้น
HBO GO ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหาลูกค้าใหม่ แต่สร้างมาเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม..
กรณีของ HBO ทำให้ Netflix เห็นปัญหาของการซื้อลิขสิทธิ์ Content จากบริษัทอื่น
เมื่อเจอปัญหานี้ คุณ Reed ก็เริ่มมองหาโมเดลการทำธุรกิจใหม่เป็นครั้งที่ 4
ในปี 2011 Netflix ได้ฉาย Original Content เรื่องแรก นั่นคือซีรีส์ House of Cards
ซีรีส์ House of Cards ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับการพูดถึงปากต่อปากในวงกว้าง และทำให้จำนวนสมาชิกของ Netflix เติบโตเร็วขึ้น
แม้ว่า HBO จะมีซีรีส์ที่ดังสุดในโลกอย่าง Game of Thrones อยู่ในมือ แต่เพราะดำเนินกลยุทธ์ผิด เน้นเฉพาะกลุ่มคนที่ดู Cable TV การเติบโตของจำนวนสมาชิกจึงไม่สูงเท่าที่ควร
ปี 2007 HBO มีจำนวนสมาชิก 100 ล้านราย
ปี 2019 HBO มีจำนวนสมาชิก 140 ล้านราย
คิดเป็นการเติบโต 40% ในเวลา 12 ปี
ปี 2007 Netflix มีจำนวนสมาชิก 7 ล้านราย
ปี 2019 Netflix มีจำนวนสมาชิก 158 ล้านราย
คิดเป็นการเติบโต 2,157% ในเวลา 12 ปี
ย้อนกลับไปในปี 2000 คุณ Reed อาจรู้สึกโกรธที่ Blockbuster ปฏิเสธที่จะซื้อบริษัทที่มูลค่า 1,500 ล้านบาท
ย้อนกลับไปในปี 2007 คุณ Reed อาจรู้สึกโกรธที่ HBO ปฏิเสธที่จะให้ลิขสิทธิ์ Content กับ Netflix
แต่มาวันนี้ คุณ Reed น่าจะหายโกรธแล้ว..
ปัจจุบันบริษัท Netflix มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท
ตัวเลขนี้สูงกว่าราคาที่คุณ Read เคยเสนอขาย 2,400 เท่า
และ HBO เป็นตัวจุดประกายให้ Netflix ลงทุนใน Original Content ซึ่งตอนนี้ใช้งบประมาณปีละ 400,000 ล้านบาท มากกว่ารายได้ของ Blockbuster ในปี 2000 ถึง 3 เท่า
แต่ถึงแม้ว่า Netflix จะสามารถเอาชนะ Blockbuster ได้อย่างงดงาม
Netflix ก็ต้องสู้ศึกครั้งใหม่ กับบริษัทยักษ์ใหญ่อีก 5 ราย
คู่แข่ง 2 รายแรกคือ Apple และ Amazon บริษัทที่มีมูลค่าอันดับ 1 และอันดับ 3 ของโลก
นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่สำคัญอีก 3 ราย คือ
1. บริษัท Disney เจ้าของแฟรนไชส์ดังมากมาย รวมทั้ง 20th Century Fox และ Hulu
2. บริษัท Comcast เจ้าของ Universal และ NBC ช่องฟรีทีวีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา
3. บริษัท AT&T เจ้าของ Warner Bros. และ HBO ซึ่งเป็นคู่แค้นเก่าของ Netflix
ทั้ง 5 รายจะเข้าสู่ธุรกิจ Online Streaming เหมือน Netflix..
ประเด็นน่าสนใจมีอยู่ว่า
Netflix ลงทุนกับ Original Content มากกว่าปีละ 400,000 ล้านบาท
แต่จำนวนชั่วโมงที่ลูกค้ารับชม Original Content กลับอยู่ที่ 37%
ในขณะที่จำนวนชั่วโมงที่ลูกค้ารับชม Content ของบริษัทอื่นในแพลตฟอร์ม Netflix สูงถึง 63%
โดย Content ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด 3 อันดับแรกของ Netflix มีดังนี้
1. ซีรีส์ The Office เจ้าของคือ NBCUniversal
2. ซีรีส์ Friends เจ้าของคือ Warner Bros.
3. ซีรีส์ Grey’s Anatomy เจ้าของคือ ABC ซึ่งเป็นฟรีทีวีอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Disney
เท่ากับว่าซีรีส์ 3 อันดับแรก ไม่มีเรื่องไหนเป็นของ Netflix เองเลย
และในอนาคตเมื่อซีรีส์ทั้ง 3 เรื่องหมดสัญญา ก็น่าจะถูกดึงกลับไปอยู่กับบริการ Streaming ของบริษัทคู่แข่งรายต่างๆ
พูดง่ายๆ ว่า Supplier รายสำคัญทั้ง 3 บริษัท กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งของ Netflix
คุณ Reed ได้รับการยอมรับว่าเป็น CEO ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
แต่ศึกครั้งใหม่นี้ อาจไม่ง่ายเหมือนกับครั้ง Blockbuster..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2019/07/19/netflixs-original-content-strategy-is-failing/#2e67eeff3607
-https://brandriddle.com/netflix-history/
-https://www.insidehook.com/daily_brief/tv-home-theater/netflix-once-tried-to-buy-blockbuster-for-50-million
disney history 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
Disney รายได้ลดลงมากสุด ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท / โดย ลงทุนแมน
สดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนนี้กับการประกาศผลประกอบการของ Disney ไตรมาสที่ 3 ปี 2020
ซึ่งเป็นรอบบัญชีของบริษัทเดือนเมษายน ถึงมิถุนายน
ครอบคลุมผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 เต็มไตรมาส
ผลสรุปว่าบริษัท Disney รายได้ 365,000 ล้านบาท
ลดลง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยถือเป็นการลดลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าเรามาดูผลกระทบตามธุรกิจหลักของ Disney
ธุรกิจสวนสนุก ลดลง 85%
ธุรกิจสตูดิโอภาพยนตร์ ลดลง 55%
ธุรกิจเครือข่ายมีเดีย ลดลง 2%
ธุรกิจสตรีมมิง และเครือข่ายโทรทัศน์ในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 2%
จากการที่คนทั่วโลกหยุดการเดินทาง
และแต่ละประเทศมีมาตรการล็อกดาวน์
ทำให้ธุรกิจสวนสนุก Disney ซึ่งเดิมทีเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มากที่สุดของบริษัท
ได้รับผลกระทบจนรายได้หายไปเกือบทั้งหมด
และกลายมาเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้น้อยที่สุดไปในไตรมาสนี้
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
ส่งผลให้รายได้ของ Disney เท่ากับค่าใช้จ่ายของทั้งบริษัท
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ ไตรมาสนี้ Disney ทำธุรกิจเท่าทุนพอดิบพอดี
แต่บริษัทยังมีภาระค่าใช้จ่ายทางบัญชีซึ่งก็คือ
การตัดจำหน่ายทางบัญชีใน Twenty-First Century Fox
จึงทำให้ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสนี้ของ Disney
รายงานผลการขาดทุนกว่า 146,000 ล้านบาท..
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเติบโตของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงจากการรายงานล่าสุดของ CEO บริษัท คุณ Bob Chapek
คุณ Chapek ระบุว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Disney+ มียอดสมาชิกในระบบกว่า 60.5 ล้านคน
ซึ่งยอดสมาชิกดังกล่าว เป็นตัวเลขที่ทางบริษัทคาดการณ์ว่าจะไปให้ถึงภายในปี 2024
นั่นเท่ากับว่าบริษัทสามารถทำยอดสมาชิกทะลุเป้าได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ถึง 4 ปี
นอกจากนี้ หากรวมยอดสมาชิกแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง ทั้งหมดของ Disney ทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+
ทางบริษัทจะมียอดสมาชิกรวมกันกว่า 100 ล้านคน
ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดสมาชิกของ Netflix ที่ตอนนี้มี 193 ล้านคน
ทั้งๆ ที่ Disney เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจนี้มาเพียงไม่กี่ปี
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้หลังตลาดปิดเมื่อคืน
แม้ Disney จะรายงานผลการขาดทุนระดับแสนล้าน
แต่นักลงทุนกลับมองเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งชั่วคราว
และให้ความสนใจในธุรกิจใหม่อย่างวิดีโอสตรีมมิงที่กำลังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
ซึ่งทำให้หลังประกาศผลประกอบการขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์ของ Disney
หุ้นของบริษัท Disney กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที 4.28%
คิดเป็นมูลค่าราว 280,000 ล้านบาท เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Reference
-DIS Investor Relations, Press Release Q3 2020
-CNBC
Disney has dropped the highest income since the company's founding / Investman
Fresh last night with Disney tịrmās̄ 3 announcement of 2020
Which is the accounting cycle of April to June.
Full quarter of COVID-19 plague coverage.
The conclusion that Disney company revenue is 365,000 million baht.
Decreased by 42 % compared to the same period of last year.
It's considered the most down in history since the company's founding.
╔═══════════╗
Situation and economic update with Blockdit
There's a podcast to listen to on the go.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
If we come to see the impact of Disney's core business.
Amusement park business 85 % down
Movie studio business is down 55 %
Media network business is down 2 %
Overseas streaming and television network businesses increased by 2 %
From the world's stop traveling.
And each country has lockdown measures.
Make Disney amusement park business which is originally the company's most income generating business.
Impacted that most of the lost income.
And became the business that made the least amount of money this quarter.
The impact of all of these
Resulting in Disney income equal to the whole company's expenses.
Or the simple summary is this quarter. Disney is doing business as much as investment.
But the company also has an accounting charge burden which is.
Account cutting in twenty-first century fox
So Disney's quarterly results overview
Report of the loss result of over 146,000 million baht..
However, what's interesting is the growth of the streaming video platform from the CEO's latest reporting, Mr Bob Chapek company.
Mr Chapek said last Monday Disney+ had over 60.5 million members in the system.
The total of such members is the number that the company expects to reach by 2024
That's how companies can hit their target 4 years faster than they planned.
Also, if included all Disney's streaming video platform members +, Hulu and ESPN+
The company will have more than 100 million members.
Which is half of Netflix's total of 193 million members now.
In spite of Disney just started this business for a few years.
From the whole story this was done after market closed last night.
Even Disney reported a billionaire loss result.
But investors look at such events as temporary things.
And interest in new business like a streaming video that is trending great growth.
Which brings back the announcement of Disney's historic losses.
Disney company's shares have increased 4.28 % instantly.
It's worth around 280,000 million baht..
╔═══════════╗
Situation and economic update with Blockdit
There's a podcast to listen to on the go.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow to invest man at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Reference
-DIS Investor Relations, Press Release Q3 2020
-CNBCTranslated
disney history 在 Michelle Phan Youtube 的評價
When you are chasing love, who knows if it is chasing you too.
Behind the Scenes Photos
http://bit.ly/MPRougeInLoveBTS2
♥ Please Subscribe! http://bit.ly/MPsubscribe
♥ My Twitter: http://twitter.com/MichellePhan
♥ My Facebook: http://facebook.com/MichellePhanOfficial
♥ My Instagram: http://instagram.com/MichellePhan
♥ My Blog: http://michellephan.com
♥ ICON Network: http://youtube.com/ICONnetwork
Lipstick used Lancome Rouge in Love in "Roses in Love"
http://bit.ly/RougeinLoveLipstick
Makeup Tutorial for the Day Look: http://youtu.be/Z7fXoqc44Gk
Makeup Tutorial for the Night Look: http://youtu.be/AZYpg1_Sd54
Let me know if you love short videos like this, you'll be seeing more on FAWN instead of this channel :) Who knows, you could inspire the next short and even star in it!
FAWN FILMS PRESENTS http://youtube.com/fawn
In Association with One More Production http://onemoreproduction.com/
A Michelle Phan Film
Starring -
Michelle Phan
Dominique Capraro
Directed by
Evan Jackson Leong & Michelle Phan
Cinematography by Nate Fu
Executive Producers
Michelle Phan
Richard Frias
Benjamin Darras
Edited by Marc Schrobilgen
Producer - Pauline Le Vaguerèse
Line Producer - Delphine Bellonnet
1st Assistant Director - Marjorie Marramaque
2nd Assistant Director - Florian Thomas
Wardrobe Stylist - Chriselle Lim
Assistant Wardrobe Stylist - Linette Kim
Hair by Daven Mayeda & Sandra Iamzabi
Makeup by Michelle Phan & Daven Mayeda
Location Manager - Alexandre Judas
Second Location Manager - Jean-Patrick Nourricier
Production Coordinator - Wendy Wong
Production Assistant - Julie Bellemare
D.I.T. - George Tsai
Best Boy Grip & Gaffer - Rowan Byers
Assistant Editor - Jimmy Ngo
Color by Nate Fu
"It Girl"
Performed by Jason Derülo
Written by Jason Desrouleaux, Emanuel Kiriakou, E. Kidd Bogart, Lindy Robbins
Buy "It Girl" by Jason Derülo http://smarturl.it/jasonitgirlMP
Get the Jason Derülo album "Future History" http://smarturl.it/JasonFutureHistoryMP
"Arrival Of The Birds"
Written by Jason Swinscoe
Published by Walt Disney Music Company (ASCAP)
"Rouge In Love"
Written by George Shaw
Performed by IYCA
http://georgeshaw.bandcamp.com/album/rouge-in-love
disney history 在 Rinozawa Youtube 的評價
2014年3月11日/Y:2歳4ヶ月/R:4歳9ヶ月 He finishes bathing, and he is going to wear clothes.
However, he wants favorite clothes(Yellow clothes of the Mickey Mouse), and he begins to cry.
We ask him which clothes it is.
However, he does not have such clothes.
The mom has begun to look for clothes case of the second floor.
However, he finally assent the blue clothes of the Disney character :)
However, he begins to become displeased again.
We did not understand a cause of his displeased after all.
頑なにミッキー( ̄∇ ̄;
☆アンパンマン大好きな人!Yuuma
http://youtu.be/MHUDqP8-JW4
【Facebook】
http://www.facebook.com/pages/Rinozawa/232183876872295?sk=wall
【Rino&Yuuma 2nd Channel】
http://www.youtube.com/user/nozaoto?feature=mhee
【Mama's Cooking Channel】
http://www.youtube.com/user/nozamama/featured
【Rinozawa's Blog】
http://ameblo.jp/rinoism/
disney history 在 Happy Channel Youtube 的評價
รอบนี้ น้องฟิวส์เลี้ยง หมู เลี้ยงแกะ เลี้ยงแพะ สนุกมากเลยค่ะ และไปดูนกค่ะ น่ารักทุกตัวเลย น้องฟิวส์ชอบมากค่ะ มีนกยูง กับนกแก้วด้วยนะค่ะ
disney history 在 The Walt Disney Company - Wikipedia 的相關結果
Disney was originally founded on October 16, 1923, by brothers Walt and Roy O. Disney as the "Disney Brothers Cartoon Studio"; it also operated under the names ... ... <看更多>
disney history 在 Walt Disney Company is founded - HISTORY 的相關結果
On October 16, 1923, Walt Disney and his brother Roy found the Disney Brothers Cartoon Studio in Hollywood, California. The studio, now known as the Walt ... ... <看更多>
disney history 在 Disney History - D23 的相關結果
Walt Disney arrived in California in the summer of 1923 with a lot of hopes but little else. He had made a cartoon in Kansas City about a little girl in a ... ... <看更多>