ผู้ก่อตั้ง Ethereum ขึ้นแท่น เศรษฐีหมื่นล้าน ในวัย 27 ปี /โดย ลงทุนแมน
เมื่อไม่นานมานี้ ETH หรือ Ether คริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก
ได้มีมูลค่าทะลุ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเหรียญ ทำมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
จนดันให้มูลค่าทั้งหมดของ ETH ใหญ่กว่าทั้ง Walmart, LVMH และ Mastercard
แล้วรู้หรือไม่ว่า การเติบโตของ DeFi ระบบการเงินไร้ตัวกลางที่หลายคนคิดว่าจะมาแทนธนาคาร
รวมถึง NFT เทคโนโลยีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากคนเดียวกัน
นั่นก็คือ เด็กหนุ่มชาวรัสเซียที่ตอนนี้มีอายุเพียง 27 ปี
แต่ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐี Billionaire หรือบุคคลที่มีทรัพย์สิน
เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3 หมื่นล้านบาท
แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นคือใคร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อว่า “Vitalik Buterin”
ย้อนกลับไปในตอนที่ Vitalik Buterin เป็นเพียงเด็กวัย 17 ปี หรือเมื่อราว 10 ปีก่อน
พ่อของเขา หรือ Dmitriy Buterin ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
ได้แนะนำให้ลูกชายรู้จักกับบิตคอยน์
แต่ครั้งแรกที่ Vitalik Buterin รู้จักกับบิตคอยน์
ตัวเขาก็ยังไม่ได้สนใจมันในทันที
เพราะคิดว่าสุดท้ายแล้วบิตคอยน์ก็จะล้มเหลว
เนื่องจากมันไม่ได้มีมูลค่าของตัวมันเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเริ่มได้ยินเรื่องราวจากคนรอบตัวบ่อยขึ้น
สุดท้ายเขาจึงเปิดใจและลองศึกษาเทคโนโลยีในตัวบิตคอยน์อย่างจริงจัง
จนกระทั่ง Vitalik Buterin ก็ได้พบว่าตัวเองหลงใหลเทคโนโลยีของบิตคอย์เป็นอย่างมาก
จึงทำให้ในเวลาต่อมา Vitalik Buterin ก่อตั้งนิตยสาร Bitcoin Magazine
เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ถึงเทคโนโลยีของคริปโทเคอร์เรนซีในเชิงลึกมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนบิตคอยน์อีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น
ระหว่างที่ศึกษานั่นเอง Vitalik Buterin ก็ได้เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซีนั้นสามารถไปได้ไกลกว่าการทำธุรกรรมโอนเงินอย่างที่บิตคอยน์ทำอยู่ในปัจจุบัน
เขาจึงได้ไอเดียที่จะสร้างบล็อกเชนขึ้นใหม่ ให้ครอบคลุมการทำธุรกรรมมากขึ้น
โดยอนุญาตให้นักพัฒนาเข้ามาสร้าง Smart Contracts เพื่อให้เรานำคริปโทเคอร์เรนซีไปค้ำประกัน, การปล่อยกู้ หรือนำไปซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและอีกหลายธุรกรรมได้ นั่นเอง
โดยระบบที่ว่านี้ได้มีชื่อเรียกกันว่า “Ethereum Blockchain”
หลังจากที่ได้ไอเดียแล้ว Vitalik Buterin ก็ได้เสนอไอเดียเหล่านี้กับเหล่าทีมงานพัฒนาในชุมชนผู้ที่สนใจในบิตคอยน์แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครสนใจเนื่องจากพวกเขาให้เหตุผลว่า ไอเดียน่าสนใจก็จริง แต่มันยังเร็วไป และไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม Vitalik Buterin ก็ได้เริ่มออก White Paper หรือเอกสารที่อธิบายเกี่ยวกับหลักการทั้งหมดของ Ethereum
ซึ่งเอกสารดังกล่าว ก็ได้ดึงดูดเหล่าผู้คนในชุมชนคริปโทเคอร์เรนซีให้เข้ามาร่วมทีมพัฒนาบล็อกเชนร่วมกับเขาได้
หลังจากนั้น Vitalik Buterin และทีมงานก็ได้เดินสายโปรโมตไอเดีย
และนั่นทำให้เขาได้รับเงินทุนจากกองทุน “Thiel Fellowship” ซึ่งเป็นกองทุน
ที่ให้เงินสนับสนุนแก่นักศึกษาที่ออกจากมหาวิทยาลัยในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีต่อโลก
โดยกองทุนดังกล่าว มีผู้ก่อตั้งคือคุณ Peter Thiel นักลงทุนที่มีชื่อเสียง
จากการเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และเป็นนักลงทุนรายแรกของ Facebook นั่นเอง
หลังจากได้รับเงินทุนแล้ว Vitalik Buterin และทีมงานก็ได้ทำให้ไอเดียเป็นรูปร่างขึ้นมา
จนในที่สุด Ethereum และเหรียญ ETH ได้เปิดตัวครั้งแรก
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 2015 หรือราว 6 ปีก่อน
หลังจากนั้นก็พัฒนาเรื่อยมา
จนกลายเป็นรากฐานของ Ecosystem ของการนำคริปโทเคอร์เรนซีไปใช้ในปัจจุบัน
เช่น DeFi หรือ Decentralized Finance ระบบการเงินรูปแบบใหม่ ที่สามารถทำธุรกรรมการเงินได้ตั้งแต่ การฝากเงิน, การกู้ยืมเงิน, การค้ำประกัน, การทำประกัน ไปจนถึงการลงทุน ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี
และเมื่อการทำธุรกรรมไม่ต้องผ่านตัวกลางหรือสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์
หรือสถาบันปล่อยสินเชื่อต่าง ๆ ส่งผลให้เราสามารถทำธุรกรรมการเงินได้รวดเร็วขึ้น
นอกจาก DeFi แล้ว ก็ยังมี NFT หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งก็เป็นอีกเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง ที่ทำให้เราสามารถสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ต้องกลัวคนอื่นมาขโมยลิขสิทธิ์
เพราะทุก ๆ ขั้นตอน คอมพิวเตอร์บนโลกที่อยู่บนระบบบล็อกเชนของ Ethereum จะทำหน้าที่คอยตรวจสอบให้
จากเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา สะท้อนให้เห็นว่า Ethereum
กำลังมีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งด้านการเงินและโลกดิจิทัล
เมื่อไม่นานมานี้มูลค่าเหรียญ ETH หรือ Ether ได้มีมูลค่าทะลุ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเหรียญ
ขึ้นไปทำมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Vitalik Buterin ถูกประเมินมูลค่าสินทรัพย์เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3 หมื่นล้านบาท ขึ้นแท่นเศรษฐีของโลก ในวัยเพียง 27 ปี นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-หนังสือ Cryptoassets โดยคริส เบอร์นิสก์ และแจ็ก ทาทาร์
-https://cointelegraph.com/ethereum-for-beginners/who-is-vitalik-buterin
-https://cointelegraph.com/news/ethereum-co-founder-vitalik-buterin-becomes-billionaire-as-ether-hits-3k
-https://www.thewrap.com/nft-market-surges-2100-to-2-billion-in-q1-sales/
同時也有32部Youtube影片,追蹤數超過75萬的網紅志祺七七 X 圖文不符,也在其Youtube影片中提到,✔︎ 成為七七會員(幫助我們繼續日更,並享有會員專屬福利):http://bit.ly/shasha77_member ✔︎ 購買黃臭泥周邊商品: https://reurl.cc/Ezkbma 💛 ✔︎ 訂閱志祺七七頻道: http://bit.ly/shasha77_subscribe ✔︎ 追...
「decentralized」的推薦目錄:
- 關於decentralized 在 ลงทุนแมน Facebook
- 關於decentralized 在 Oak Panthongtae Shinawatra Facebook
- 關於decentralized 在 Facebook
- 關於decentralized 在 志祺七七 X 圖文不符 Youtube
- 關於decentralized 在 iT24Hrs Youtube
- 關於decentralized 在 かげたチャンネル Youtube
- 關於decentralized 在 Crypto's Next Big Thing: Decentralized Finance Takes On Wall ... 的評價
decentralized 在 Oak Panthongtae Shinawatra Facebook 八卦
ลองเข้าไปติดตามภาคภาษาอังกฤษได้ที่นี่นะครับ
Thaksin Shinawatra in Private Discussion
World Policy Institute Global Leader Briefing Series Thinking Points
World Policy Institute, 9th March 2016, New York
———————————————————
Excellencies, Distinguished Guests, Ladies and Gentlemen,
I must thank you World Policy Institute for providing me an opportunity to share my thought on the challenges that revolve around the economic, regional and global implications of how Thailand will make its way through a period of transition and change.
We all know that no society in the twenty-first century can sustain any form of “progress” in the well-being of its people without at least two basic foundations:
The first one is political stability. The second one is the ability to create economic activities that allow growth and readiness to shift its creativities to sustain wealth.
Ladies and Gentlemen,
Let me tell you the tale of the two cities, which is not written by Charles Dickens. It is the tale of parallel progress of Washington D.C. and Beijing. Each has its own history, pain and loathing. As the years go by, the two cities have been seen as rivals which offers competing models for growth and prosperity.
One is Free Market-Capitalism with the so-called “Open Democracy” as the foundation of its economic model. The other one is State-Led Capitalism with the central control system by one party.
Both of the models have proven to be successful in a very dramatic way from the past to the present. Admitting that the Chinese model was fitting to the change of attitude among the leadership of the country at that time, in parallel with the change of economic model in the West, in which the definition of “free trade” benefits China’s shifting position from a close market to a semi-open market.
But we must admit also that both models are now having to adjust itself to the new reality; the reality of dramatic change in speed and character of technology for industrial production; the change from “a country-based product” to “network of global design, global sourcing,and global production for just one product”. This extraordinary change upends the “normal” internal economic adjustment of the country and made it very difficult to find a simple economic adjustment.
We must recognize that advancement in the wealth management technique and technology also upend the normal linkage between capital and changes in production. However, we probably agree, that one common threat for survival in this present so-called “New Normal” is either you have the ability and willingness to change or you don’t. Thailand, like the other countries, cannot get away from this New Normal in the international context.
Ladies and Gentleman,
There is a tale of a poor English teacher in China who soared to the list of the world’s wealthiest people. He neither built a big factory nor invested in any production facility. But, people paid for his service simply to reach the network of supply and demand on a grand scale. I believe, he must feel thank you to the internet.
Ladies and Gentleman,
Amid the global economic slowdown, the pattern of trade has significantly changed. Due to the development of information technology infrastructure and increasing number of population who is able to access to the internet, e-commerce has become a new engine that sustains growth for both developed and developing economies. According to UNCTAD’s report last year, the value of global business-to-business (B2B) e-commerce in 2013 exceeded $15 trillion USD. While global business-to-consumer (B2C) e-commerce still accounted for an estimated $1.2 trillion USD, this segment has grown at a rapid pace; especially in the Asia and Oceania region where B2C segment is expected to surge from 20 to 37 percent between 2013 to 2018. Due to the incremental growth of cross-border e-commerce trade, international postal deliveries of small packets and parcels have risen by 48 percent between 2011 to 2014 globally.
For both Asia and the West, I believe these numbers provide us with clues for the new growth opportunities where “access to networks” is the key: meaning, the networks of consumers and factors of production across geographical boundaries. Unlike the economy of twentieth century when “access to centers” is the rules of the game, today, businessmen who do not have big factories and are not the owners of multinational corporations, can manage to reach and satisfy the needs of their customers worldwide through networks of production and distribution with an assist of the new communication technology. Today’s economy is increasingly decentralized. Consumption and production are more and more dispersed. We could imagine that an American producers can sell their products online directly to consumers in the western part of China without having to spend business hours in Beijing or Shanghai. Vice versa, a Chinese producer can bypass New York to offer their products to customers in New England and Mid-Atlantic states. The network economy has provided the people, both in small and large businesses, with the ability to produce and access to consumers at lower costs. We, as a global community, must put special emphasis on how each country can invest and share risk with the people to create growth collectively.
Ladies and Gentleman,
Another tale is about the rebirth of a road that nobody cares since the Portuguese discovered a possible sea route from Europe to Asia. The Portuguese did offer an alternative trade route with substantial margins for the goods carried. Although you might lose half of the cargoes on the way, you still did not lose your shirt. Since the demand for spices were overwhelming, the merchant marines heavily charge everybody.
Ladies and Gentleman,
The heavy-load transport through the sea has been with us till now, and the land routes from Asia to Europe have been neglected. If the world’s economy is thriving like the good old days, probably, not so many people would be interested in finding an alternative in life. But, since the situation goes awry, I believe, any country should consider all possibilities.
Ladies and Gentlemen,
Today, there are two major initiatives that, I think, have great potential to accelerate growth and leverage “quality of growth” that brought into being by the emergence of network economy. One is the China-led “One Belt, One Road” (OBOR) plan to develop transport and logistics connectivity encompassed some 60 countries, which include about 50 percent of the world’s GDP. And, the other is the US-led Trans-Pacific Partnership Agreement (TPP) between 12 Pacific Rim countries, which account for more than 40 percent of the world’s GDP. I have not seen these two initiatives as antagonistic, but rather a kind of two parallel processes that, at a certain point, will create mutual economic benefits for Asia and the West.
We must overcome the stereotype that perceive China and the US as merely the two opposing political superpowers. In reality, the economic development during the past decade has shown us how far these two major economies are interdependent. China is the largest foreign holder of US government securities with $1.24 trillion USD worth. With the total trade volume of $521 billion USD in 2014, the US is China’s biggest trade partner. Total US foreign direct investment (FDI) in China stood at $65.77 billion USD at the end of 2014, while the Chinese FDI in the US is estimated to have reach $11.9 billion USD.
Given this interdependence in mind, I believe Southeast Asia- the region that sits in between the two great initiatives of the two major economies- must put special emphasis on how to enhance the mutual economic benefits with its counterparts. For Southeast Asia in the twenty-first century, the geopolitics should be about how to reinforce the networks of wealth creation for the people that stretch across national and regional borders.
Ladies and Gentlemen,
Let me tell you the last tale about a Thai restaurant. No matter how many times the master chef tries to teach his protege, the young man keeps making mistakes in mixing the ingredients. Customers are kept waiting, hungry and mad. Once the customers are served, half of them get diarrhea afterward. The moral of this tale is one must make the written recipe right.
Ladies and gentlemen,
While some people may underline the unique characteristics of Thailand in terms of its history and developmental path, the country itself cannot avoid to come to terms with the global challenges of the twenty-first century. For half a century, the Thai economy has incrementally integrated into global economy. Values of Thailand’s exports per GDP and FDI in the country have shown us clearly how far the growth of Thai economy has been interwoven with the fate of global economy.
Against this context, we shall consider Thailand’s draft constitution with a very simple question: will the latest draft constitution “enable” the country to grow and become stronger in the present world? Or, will the latest draft constitution provide Thailand with a sufficient institutional infrastructure for investment, production, cooperation, and businesses?
Ladies and Gentlemen,
Due to the framework set out by the latest draft constitution, it is difficult to foresee a government that is responsive to the people and the challenges of the twenty-first century. According to the new draft, the 200-seat upper house, or Senate, will be appointed by the so-called “experts”. The Senate will also have greater powers to block legislation. Regarding the Constitutional Court, its scope of jurisdiction will be expanded. The Court will have the power to examine cases based on petitions filed directly by individuals, without the requirement that an actual dispute being brought by political organs or other courts.
If we consider the doctrine of separation of powers as the foundation for growth and stability, the critical issue that we shall examine is whether the judicial power will trespass the provinces of legislature/ and executive or not? For a government to be able to manage the economy against the global slowdown, I do hope that there will be no over-enforcement of the judicial power. Experiences of several countries show us that, if unchecked, judicial review can be inappropriately used as “delaying tactic”; thus, in turn, become an impediment to economic policy implementation.
Ladies and Gentlemen,
I believe that the foundation for the country to create growth and prosperity is to build trust in the global community. The constitution shall protect the rule of law and provide at least a minimum level of freedom of speech that facilitates economic cooperation between the people and the global community. Trade and investment cannot flourish if there is no certain degree of confidence provided by the rule of law. Against the transition and change, Thailand must reevaluate its strength and weakness. The country shall find a sensible way to regain its political stability and economic dynamism. I have only proposed the way of how should we think of the phenomena that is the world today.
decentralized 在 Facebook 八卦
สร้าง Passive Income จาก DeFi
🔥 สมัครวันนี้ Early Bird ลด 62%
✅ 6,900 บาท
(จากราคาปกติ 18,000 บาท)
ราคานี้ถึง 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น!
สนใจติดต่อราคาพิเศษได้ที่
Line: @paulonlinestore
=======
DeFi หรือ Decentralized Finance
คือ”การเงินที่ไร้ตัวกลาง” โดยใช้ “สัญญาอัจฉริยะ” (smart contract) ซึ่งอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน
ประโยชน์ของ DeFi
1) passive income ตั้งแต่ 2.5-20% ต่อปี (ในขณะที่ธนาคารให้ดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี)
2) เพิ่มโอกาส ของนักลงทุนในการเจอเหรียญที่ยังมี ขนาดเล็กและราคาถูก ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเหรียญที่มีขนาดใหญ่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น Compound ผลตอบแทนย้อนหลังหนึ่งปีอยู่ที่ประมาณ 600%
Uniswap ผลตอบแทนย้อนหลัง 8 เดือนอยู่ที่ประมาณ 4700%
ซึ่งสูงกว่า Bitcoin ที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ประมาณ 300% เป็นต้น
=======
DeFi & Cryptocurrency Masterclass คือ คอร์สออนไลน์ใหม่ล่าสุด ที่ตั้งใจจะสอน DeFi ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงลงทุนเป็น
✍🏼 สอนสร้าง passive income ด้วยวิธีต่างๆเช่น saving, lending, staking, yield farming และอื่นๆ รวมถึง ส่วนต่างกำไร (capital gain)
(แถม สอนการสร้าง passive income จาก platform ที่เป็น CeFi centralized finance ที่น่าเชื่อถือ ด้วย)
✍🏼 การtrade สไตล์ต่างๆ เช่น day trade, swing trade, position trade โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์กราฟระดับสากล เพื่อ คัดเหรียญที่เหมาะแก่การลงทุน
✍🏼 EMA, ดู volume , Fibonacci Retracement, Basic Elliote Wave และ อื่นๆ
✍🏼 การเลือกplatform ที่ดีและเชื่อถือได้
สนใจติดต่อราคาพิเศษได้ที่
Line: @paulonlinestore
decentralized 在 志祺七七 X 圖文不符 Youtube 的評價
✔︎ 成為七七會員(幫助我們繼續日更,並享有會員專屬福利):http://bit.ly/shasha77_member
✔︎ 購買黃臭泥周邊商品: https://reurl.cc/Ezkbma 💛
✔︎ 訂閱志祺七七頻道: http://bit.ly/shasha77_subscribe
✔︎ 追蹤志祺IG :https://www.instagram.com/shasha77.daily
✔︎ 來看志祺七七粉專 :http://bit.ly/shasha77_fb
✔︎ 如果不便加入會員,也可從這裡贊助我們:https://bit.ly/support-shasha77
(請記得在贊助頁面留下您的email,以便我們寄送發票。若遇到金流問題,麻煩請聯繫:service@simpleinfo.cc)
#LBRY #Odysee #YouTube
各節重點:
00:00 開頭
01:38 YouTube壞在哪?
03:04 「後台」的LBRY
04:56 「前台」的Odysee與LBRY app
06:27 LBRY怎麼做到比YouTube更好?
08:11 LBRY本質上的矛盾
10:50 只是變成另一個YouTube?
12:30 能靠LBC幣撐起LBRY嗎?
14:05 我們的觀點
16:01 問答
16:16 結尾
【 製作團隊 】
|企劃:冰鱸
|腳本:冰鱸
|編輯:土龍
|剪輯後製:Pookie
|剪輯助理:歆雅/珊珊
|演出:志祺
——
【 本集參考資料 】
→我要「慢慢」離開 YouTube 了,你也應該跟我一起走~(移民自由國度 LBRY/Odysee!):https://bit.ly/3iWSJPC
→我要「慢慢」離開 YouTube 了,你也應該跟我一起走~:https://bit.ly/3iXDlT2
→LBRY: A Decentralized Digital Content Marketplace:https://bit.ly/39p9f7U
→LBRY-Frequently Asked Questions:https://bit.ly/3ouhbsS
→LBRY-Terms of Service:https://bit.ly/36EmpMH
→YouTube LBC Agreement:https://bit.ly/3t8MM6M
→Odysee.com:https://bit.ly/39tfZS5
→YouTube 服務條款:https://bit.ly/3r1riqz
→Reddit/r/lbry:https://bit.ly/36mFe6B
→Coinmarketcap-LBRY Credits:https://bit.ly/3ckbJGm
→懶人包|好和弦說的 LBRY 是什麼?3分鐘帶你學會使用區塊鏈版 YouTube:https://bit.ly/2NB0XkL
→懶人包 2|LBRY商業模式全解析! 創作者如何賺錢?持代幣 LBC 有什麼風險?:https://bit.ly/2MAGj3X
→LBRY風潮反思|影音串流平台真的適合「去中心化」嗎?LBC代幣分配另有隱憂?:https://bit.ly/3pGYUKp
\每週7天,每天7點,每次7分鐘,和我們一起了解更多有趣的生活議題吧!/
🥁七七仔們如果想寄東西關懷七七團隊與志祺,傳送門如下:
106台北市大安區羅斯福路二段111號8樓
🟢如有業務需求,請洽:hi77@simpleinfo.cc
🔴如果影片內容有誤,歡迎來信勘誤:hey77@simpleinfo.cc
decentralized 在 iT24Hrs Youtube 的評價
มาดูกันว่า Blockchain คืออะไร Blockchain ทํางานอย่างไร บล็อกเชนทำอะไรได้บ้าง นอกจากแค่ cryptocurrency เงินคริปโต หรือ เงินดิจิตอล หรือ bitcoin
= Blockchain คืออะไร? =
เทคโนโลยี Blockchain ไม่ใช่มีแค่ cryptocurrency (เงินคริปโต) หรือเงินดิจิตอลนะคะ แต่ blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก นี้ยังทำประโยชน์ได้ตั้งหลายอย่าง และนี่คือสิ่งที่มาแล้ว จะใกล้ตัวเราขึ้นทุกวัน รู้ก่อน เข้าใจก่อน ได้เปรียบ
Block chain คือเทคโนโลยีจัดเก็บบันทึกข้อมูล เป็นเทคโนโลยีซอฟแวร์แบบเพียร์ทูเพียร์ ( เชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรง ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีคนกลาง ) ที่ปกป้องข้อมูลโดยที่ไม่อนุญาตให้ใครปลอมหรือเปลี่ยนได้ หลายท่านคงเคยได้ยินว่า BlockChain (บล๊อกเชน) ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้สร้างสกุลเงินคริปโต หรือ เงินดิจิทัลต่างๆ รวมถึง บิทคอยน์ ( BITCOIN) และไม่ใช่แค่สกุลเงินคริปโต หรือ เงินดิจิทัลเท่านั้น ยังมีบริการลายเซ็นออนไลน์ หุ้น เพลง หรือศิลปะต่างๆ การซื้อขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ระบบลงคะแนนเลือกตั้ง และแอปพลิเคชันอื่นๆอีกมาก เรียกได้ว่า BlockChain ทำอะไรได้หลายอย่าง BlockChain มีประโยชน์มากๆ
= บล็อกเชนทํางานอย่างไร? =
โดยพื้นฐานแล้ว Blockchain คือระบบฐานข้อมูลข้อมูลแบบง่ายๆ ในลักษณะรายการเดินบัญชี แบบที่เราจดบันทึกกันในสมุดบัญชี
แต่บล๊อกเชนมีคุณสมบัติพิเศษ 2 อย่าง ที่ทำให้รายการในสมุดบัญชีนี้ มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือสูงมาก เหมาะสมกับการใช้บันทึกรายการธุรกรรมระหว่างกัน ก็คือ
= Blockchain ข้อดี ประโยชน์ =
1. เก็บแบบถาวร - Blockchain มีการเขียนข้อมูลเพิ่มอย่างเดียว ไม่มีการลบ และข้อมูลที่ได้รับการบันทึกไว้ภายใน blockchain แล้ว จะถูกแก้ไขได้ยากมากๆ จนแทบเป็นไปไม่ได้
2. Decentralized - Blockchain คือระบบันทึกข้อมูลข้อมูลที่ไม่มีศูนย์กลางในการเก็บข้อมูล ไม่มีใครเป็นเจ้าของข้อมูล แต่ข้อมูลจะถูกสำเนากระจายเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากใน network เพื่อยืนยันกันเอง
= Blockchain ข้อเสีย ข้อจำกัด =
แน่นอนว่ามี บล็อกเชน ข้อดี ก็ต้องมี บล็อกเชน ข้อเสีย blockchain มีประโยชน์ก็ต้องมีข้อจำกัด แล้วข้อเสียหรือข้อจำกัดของ blockchain คืออะไร? มาฟังกันค่ะ
= Blockchain ทำอะไรได้บ้าง =
แล้ว blockchain หรือบล๊อกเชนทำอะไรได้บ้าง blockchain มีวิธีการทำงานอย่างไรในการเก็บข้อมูลของ bitcoin ทำความเข้าใจการทำงานระหว่าง block กับ hash ว่าทำงานสัมพันธ์กันอย่างไร
พร้อมตัวอย่างการนำเทคโนโลยี Blockchain (บล๊อกเชน) ไปใช้งานจริงในธุรกิจธนาคาร เช่น ธนาคารกสิกรไทย [KBank] และ ธนาคารไทยพาณิชย์ [SCB] ว่านำ blockchain ไปใช้งานในเรื่องของการเชื่อมโยงเอกสาร หรือ การโอนเงินระหว่างประเทศกันได้อย่างไร
= Blockchain smart contracts คืออะไร? =
นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์คุณหนูเนย Developer ชื่อดังเกี่ยวกับ Blockchain Smart Contract และ Blockchain Developer ในประเทศไทย วงการบล็อกเชน ไทย ไปถึงไหนกันแล้ว
= ICO คืออะไร? initial Coin Offering น่าลงทุนมั้ย =
มาทำความรู้จักกับ ICO หรือ initial Coin Offering ว่า ICO คืออะไร การระดมทุนแบบ ICO คืออะไร การออกเหรียญเงิน ICO มีวิธีการอย่างไรกันบ้าง ICO คือ เงินคริปโต หรือ เงินดิจิตอล ใช่มั้ย? เหมือนกันมั้ย? การลงทุน ICO มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร จะดูยังไง หลอกลวงหรือเปล่า?
แล้วมาดูก้นอีกว่าการแก้ไขข้อมูลใน Blockchain (บล๊อกเชน) สามารถทำได้หรือไม่ แล้วเวลาในการคำนวณของ Bitcoin ใช้มากน้อยอย่างไร รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน ไปประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลจะเป็นอย่างไร จะช่วยให้การบริการคนไข้รวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้น มากน้อยแค่ไหน เรื่องราวน่าสนใจทั้งหมดเกี่ยวกับ Blockchain หรือ บล็อกเชน คืออะไร สามารถติดตามได้ในคลิบเลยค่ะ
อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง blockchain ได้ที่:
https://www.it24hrs.com/tag/blockchain/
และหากใครสงสัยว่า Tokenization คืออะไร? ICO มีกี่แบบ? จะแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนดิจิทัลได้อย่างไร ICO Portal คือใคร? ICO Portal ทำอะไรบ้าง? ติดตามเพิ่มเติมได้ที่คลิปนี้
https://youtu.be/h3L5HGcKIWI
รายการ Digital Thailand โดย ดร.เอิ้น ปานระพี ออกอากาศทุกวันอังคาร 23.30-24 น. ทางช่อง 3SD ช่อง 28
www.it24hrs.com
decentralized 在 かげたチャンネル Youtube 的評價
曲 歌 ソング
00:00:00 Once, There Was an Explosion
00:03:07 Alone We Have No Future
00:06:52 Bridges
00:10:21 Soulless Meat Puppet
00:11:58 Beached Things
00:15:24 Chiral Carcass Culling
00:17:48 The Face of Our New Hope
00:21:13 John
00:24:03 An Endless Beach
00:29:18 Heartman
00:31:26 The Severed Bond
00:35:31 Claws of the Dead
00:40:45 Fragile
00:44:19 Stick vs Rope
00:48:21 A Final Waltz
00:53:47 Strands
01:02:28 Lou
01:05:37 BB's Theme
01:10:53 Flower of Fingers
01:16:50 Cargo High
01:19:42 Demens
01:23:05 Decentralized by Nature
01:25:12 Mules
01:27:17 Porter Syndrome
01:28:39 Chiralium
01:32:49 Spatial Awareness
01:36:19 Stepping Stones
01:39:35 Frozen Space
01:43:22 The Timefall
decentralized 在 Crypto's Next Big Thing: Decentralized Finance Takes On Wall ... 的八卦
... <看更多>