HateSpeech กำลังกัดกร่อนสังคม ในขณะที่ เจ้าของแพลตฟอร์มได้กำไร /โดย ลงทุนแมน
เรื่องร้อนแรง ในวงการโฆษณาทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมากคือ
แบรนด์ใหญ่ต่างพากัน “หยุดซื้อโฆษณา” จากโซเชียลมีเดีย
ซึ่งรวมถึง Unilever และ Coca-Cola
หมายความว่าต่อจากนี้ ถ้าเราเล่นเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, ยูทูบ, ทวิตเตอร์
เราจะไม่เห็นโฆษณาโค้ก แฟนต้า เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน
ส่วนแบรนด์ของ Unilever จะนานหน่อย เพราะหยุดโฆษณาไปถึงสิ้นปีนี้
แบรนด์ของ Unilever จะมีหลายสินค้าเช่น
ไอศกรีมวอลล์ ผงซักฟอกบรีส โอโม
แชมพูซันซิล สบู่ลักซ์ ซุปก้อนคนอร์ น้ำยาล้างจานซันไลต์
ถ้าใครยังเห็นโฆษณาของแบรนด์เหล่านี้ ก็อาจต้องไปทักแอดมินเพจของแบรนด์นั้น แล้วบอกว่า บริษัทของคุณประกาศว่าจะหยุดซื้อโฆษณาในโซเชียลมีเดียแล้ว ทำไมยังมีโฆษณาอยู่..
╔═══════════╗
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
แต่คำถามที่สำคัญก็คือ
แล้วทำไมแบรนด์เหล่านี้ ถึงตัดสินใจหยุดโฆษณาในโซเชียลมีเดีย?
คำตอบก็คือแบรนด์เหล่านี้ไม่พอใจ “เจ้าของแพลตฟอร์ม” ในเรื่อง “การจัดการเนื้อหา” ที่มีเนื้อหาเกลียดชัง ข้อมูลปลอม ถ้อยคำรุนแรง และนำไปสู่ความแตกแยกของสังคม จนเกิดเป็นแคมเปญชื่อ #StopHateforProfit
แคมเปญ #StopHateforProfit จะส่งสารสำคัญไปถึงเจ้าของแพลตฟอร์มเหล่านี้ว่า กำไรของคุณจะ “ไม่มีค่า” ถ้ามันไปส่งเสริมความเกลียดชัง การใส่ร้าย ความรุนแรง การเหยียดชนชาติ
ถ้าจะมองย้อนกลับไป จริงๆแล้ว เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเกิดขึ้น
แต่นับวันปัญหามันก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
แล้วทำไมเรื่องนี้ ถึงเพิ่งเกิดขึ้นในยุคโซเชียลมีเดีย?
ต้องยอมรับว่า การขัดแย้งทางความคิด และการใช้ HateSpeech มันฝังอยู่ในสังคมมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น
ย่อมมีคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ย่อมมีคนที่เสียประโยชน์
ย่อมมีคนที่อยากกดคู่ขัดแย้งให้จมดิน
แต่สมัยก่อนถ้าจะขัดแย้งกัน ก็จะทะเลาะกันในวงเล็ก
จะต่อยกัน ด่ากัน ก็รู้กันแค่ในตลาด
กว่าข่าวจะดังและไปถึงทุกคน ก็คงต้องเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักพอ ที่จะรอลงหนังสือพิมพ์ในวันรุ่นขึ้น
แต่ในวันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
เชื่อมต่อให้ทุกคนรู้เรื่องเดียวกัน ภายในเสี้ยววินาที
และถ้าเรื่องมีคนสนใจมากพอ มันก็พร้อมที่จะกลายเป็นกระแสสังคมในทันที
แล้วอะไรที่มักเป็นกระแสสังคม?
คำตอบก็คือ “เรื่องดราม่า”
จากหนังสือ 500 ล้านปีของความรัก เขียนโดย นายแพทย์ชัชพล เกียรติขจรธาดา ได้ให้เหตุผลว่าทำไมมนุษย์ชอบเสพเรื่องดราม่า เพราะว่าเป็น “วิวัฒนาการสมองของมนุษย์”
สรุปง่ายๆก็คือ สมองของเราสั่งให้ เราชอบเสพเรื่องดราม่า เรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนอื่น ก็เพราะว่าเราจะได้เรียนรู้เรื่องแย่ๆเหล่านั้น และเราจะหาวิธีที่จะปกป้องไม่ให้เรื่องแย่นั้นเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคต เพื่อเราจะได้อยู่รอดต่อไปได้
และนั่นก็เป็นที่มาว่า
ทำไมหลายคนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง
เราก็จะหลงไปกับดราม่าต่างๆที่เกิดขึ้นประจำวัน
จนในบางครั้งเราก็ไปร่วมวง กลั่นแกล้ง คนที่กำลังถูกสังคมบูลลี่ด้วย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีโซเชียลมีเดีย
เราอาจจะไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น
และเราก็จะไม่มีเครื่องมือ หรือ ช่องทางที่จะไปใช้ถ้อยคำรุนแรง ล้อเลียน ประจาน ให้กับคนรอบข้างเราได้เหมือนทุกวันนี้
พูดง่ายๆคือ โซเชียลมีเดีย เป็นตัวสนับสนุนให้เราเสพเรื่องแย่ๆได้ง่ายขึ้น และโซเชียลมีเดียยังมีเครื่องมือพร้อมที่จะ สนับสนุนให้เรามีปฏิกริยา หรือใช้ถ้อยคำ HateSpeech ในทางลบต่อเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น
และสิ่งสำคัญ คนรอบข้างและคนในสาธารณะจะเห็นสิ่งนั้นต่อ ซึ่งมันจะวนลูปไปกระตุ้นคนอื่นอีกหลายคนให้ทำตามๆกัน
สรุปแล้วสังคมจะมี “ความแตกแยก” จากเรื่องนี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ตามจำนวนคนในแพลตฟอร์มที่มากขึ้น..
ในฐานะเจ้าของแพลตฟอร์ม เรื่องนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจลำบาก
เพราะแต่ละแพลตฟอร์มก็มีคาแรกเตอร์ของตนต่างกัน
มีบางแพลตฟอร์มที่หนึ่งคนจะเปิดกี่บัญชีก็ได้ ใช้รูปปลอม ใช้ถ้อยคำว่าใคร ก็สามารถทำได้เลย
และนี่อาจเป็นจุดเด่นของแพลตฟอร์มที่เน้นในเรื่อง FreeSpeech หรือความอิสระที่เราจะบอกให้โลกรู้ว่าเราคิดอะไร
การที่เจ้าของแพลตฟอร์มจะไปลบข้อความ หรือควบคุม ก็จะมีความเสี่ยงที่แพลตฟอร์มจะโดนผู้ใช้งานไม่พอใจ และหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่น
แต่การเปิดอิสระให้ทำอะไรก็ได้ ก็จะนำไปสู่การบูลลี่ ใช้ถ้อยคำ HateSpeech พร้อมที่จะกดคนเห็นต่างให้จมดิน ดูถูกคนที่ไม่ชอบ พร้อมลากคนอื่นมารุมประจาน และตัดสินว่าคนนั้นไม่ดีอย่างไร
ในขณะเดียวกัน ยิ่งมีเรื่องแบบนี้มากขึ้น แพลตฟอร์มนั้นก็จะยิ่งได้กำไร เพราะเมื่อผู้ใช้งานเล่นมากขึ้น เสพมากขึ้น พวกเขาจะสามารถแสดงโฆษณาได้มากขึ้นตามเช่นกัน
และถึงแม้แพลตฟอร์มบอกว่าพวกเขาไม่สนกำไร และรู้ตัวว่าควรแก้ไขเรื่องนี้
เขาก็จะเลือกแก้ในประเทศของเขาก่อน ส่วนประเทศเล็กๆอย่างเราเดี๋ยวค่อยว่ากัน
สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในแต่ละประเทศก็อาจต้องใช้วิธีรับมือที่แตกต่างกัน
ทั้งในแง่ภาษา สังคม ศาสนา วัฒนธรรม
สำหรับประเทศไทยที่กำลังพึ่งพาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลัก จากต่างประเทศทั้งหมด
ต้องตั้งคำถามตัวใหญ่ๆว่า เราพร้อมที่จะรับมือกับเรื่อง HateSpeech ที่นับวันจะรุนแรงขึ้น ได้ดีแค่ไหน?
ถ้าให้ภาครัฐมาสร้างแพลตฟอร์มของประเทศ ก็คงไม่มีใครใช้ เพราะจะไม่มีใครไว้ใจในความอิสระ
แต่ถ้าเราเลือกที่จะรอ และต้องขอร้องให้เจ้าของแพลตฟอร์มต่างประเทศมาช่วยแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น
ในเวลานั้นสังคมของเรา ก็อาจถูกกัดกร่อนไปเรียบร้อยแล้ว..
╔═══════════╗
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
同時也有87部Youtube影片,追蹤數超過247萬的網紅Buron Kanzaki,也在其Youtube影片中提到,Coca và Mentos tuy lạ mà quen tại sao chúng ta không thử kết hợp nó nhỉ!? Anh em hãy khám phá cùng Buron nhé! ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ KHÔNG NG...
coca-cola website 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
Warren Buffett เตรียมพร้อมที่จะลาจาก /โดย ลงทุนแมน
บริษัทของคุณได้รับการเตรียมพร้อม 100% สำหรับการลาจากของเรา
“Your company is 100% prepared for our departure”
นี่คือหนึ่งในข้อความที่อยู่ในจดหมายของ Berkshire Hathaway ที่เขียนให้แก่ผู้ถือหุ้นในงานประชุมผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด
โดยผู้เขียนข้อความดังกล่าว ก็คือ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานของโลก
ปัจจุบัน Warren Buffett คือ บุคคลที่รวยที่สุดอันดับที่ 3 ของโลก โดยมีสินทรัพย์รวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท
วันนี้เขาคือ CEO ของ Berkshire Hathaway เป็นบริษัทเดียวที่ติดอันดับท็อปเท็นของสหรัฐฯ โดยที่ไม่ได้ทำธุรกิจเทคโนโลยี บริษัทนี้ทำเพียงแค่ลงทุนบริษัทอื่น ลงทุนบริษัทอื่น และลงทุนบริษัทอื่นไปเรื่อยๆ
แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นทุกวันของ Warren Buffett ทำให้ที่ผ่านมา เขาต้องมองหาผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนตัวเขาเมื่อวันที่เขาจากไปในอนาคต
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Warren Buffett เกิดเมื่อปี 1930 ที่รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เขามีความสนใจในธุรกิจและการลงทุนตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้เขาเริ่มหาเงินตั้งแต่เด็กโดยเริ่มตั้งแต่การขายหมากฝรั่ง น้ำอัดลม นิตยสาร แม้แต่หนังสือพิมพ์ที่เขาเดินไปขายตามบ้านคน
เมื่อตอนที่เขาอายุ 15 ปี เขาและเพื่อนรวมเงินกันได้ 25 ดอลลาร์สหรัฐ แล้วไปซื้อเครื่องเล่นพินบอลเพื่อเอาไปตั้งไว้ในร้านตัดผม
ไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็มีเครื่องเล่นพินบอลตั้งในร้านตัดผม 3 แห่ง ซึ่งภายในปีเดียวกันนี้ มีทหารคนหนึ่งมาขอซื้อกิจการนี้ต่อจากเขาและเพื่อน ทำให้เขาขายมันออกไปได้เงินจำนวนถึง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ..
Warren Buffett เริ่มเข้ามาซื้อ Berkshire Hathaway ในปี 1962 ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงแค่บริษัทสิ่งทอและกำลังอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเสื่อมคลายลง
โดยในเวลาต่อมาเขาค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของ Berkshire Hathaway โดยเข้าสู่ธุรกิจประกัน และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Berkshire Hathaway ซึ่งอดีตนั้นเป็นเพียงบริษัทสิ่งทอธรรมดา กลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งด้านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
รู้ไหมว่า ในปี 2019 ถ้านับเฉพาะแค่หุ้นขนาดใหญ่ 10 ตัวที่ Berkshire Hathaway ลงทุนนั้น เช่น American Express, Apple, Bank of America, Coca-Cola หุ้นเหล่านั้นจ่ายเงินปันผลให้ Berkshire Hathaway ประมาณ 120,000 ล้านบาท หรือวันละ 329 ล้านบาท
ปัจจุบัน หุ้นของบริษัท Berkshire Hathaway หรือ BRK มีมูลค่าหุ้นละ 9,800,000 บาท เพราะบริษัทนี้ไม่เคยจ่ายปันผล ไม่เคยแตกหุ้น นำเงินที่ได้มาไปลงทุนต่อในบริษัทอื่นๆ เรื่อยๆ ทำให้หุ้น BRK กลายเป็นหุ้นที่ราคาต่อหุ้นแพงสุดในโลก และมี Market cap. เท่ากับ 15.8 ล้านล้านบาท ซึ่งพอๆ กับ GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศ
รู้ไหมว่า ตั้งแต่ปี 1965 มาจนถึงปี 2019 ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปีของหุ้น BRK นั้นชนะผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 อย่างขาดลอย
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปีของหุ้น BRK เท่ากับ 20.3% เงินลงทุน 100,000 บาท จะเพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาท
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปีของดัชนี S&P 500 เท่ากับ 10.0% เงินลงทุน 100,000 บาท จะเพิ่มเป็น 19 ล้านบาท
ซึ่งจำนวนเงินที่เพิ่มต่างกัน 137 เท่า ทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้น BRK มานาน หลายคนเปลี่ยนสถานะจากนักลงทุนธรรมดากลายเป็นมหาเศรษฐีในวันนี้
ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผลตอบแทนของหุ้น BRK นั้นชนะดัชนี S&P 500 ถึง 37 ครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ Warren Buffett ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความท้าทายของ Berkshire Hathaway หลังจากนี้คือ อายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของ Warren Buffett ซึ่งที่ผ่านมา หนึ่งในคำถามที่ตัวเขามักถูกผู้ถือหุ้นถามเป็นประจำในช่วงการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ก็คือ อนาคตของ Berkshire Hathaway ในวันที่ไม่มีตัวเขาบริหารงาน
ก่อนหน้านั้น ในปี 2012 Warren Buffett ซึ่งตอนนั้นอายุ 82 ปี เคยตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรก ก่อนที่ต่อมาเขาจะเข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวจนหายดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยอายุที่เข้าสู่วัย 90 ปี ตัวเขาและคู่หูที่ชื่อว่า Charlie Munger อายุ 96 ปี ผู้ที่เปรียบเสมือนคู่หูที่รู้ใจของ Warren Buffett จำเป็นต้องมองหาคนที่จะเข้ามาสืบทอดตำแหน่งและดูแลบริษัท Berkshire Hathaway ต่อไป
โดยเขาทั้งคู่หวังว่า คนที่เข้ามาแทนพวกเขาต้องทำงานที่ Berkshire Hathaway ไปอีกอย่างน้อย 10 ปี หลังจากที่ไม่มีพวกเขาดูแลแล้ว
เรื่องนี้ อาจบอกกับเราได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเสมือนสัจธรรมของชีวิตที่ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คนเก่ง คนไม่เก่ง ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเจอสิ่งเหล่านี้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือ
การเตรียมตัวให้พร้อม รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนที่อยู่ข้างหลัง
เหมือนกับที่ Warren Buffett ทำอยู่ก็คือ การวางแผนส่งต่อให้กับผู้บริหารรุ่นถัดไป..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://thecollegeinvestor.com/972/the-top-10-investors-of-all-time/
-https://www.fool.com/investing/2019/12/22/5-reasons-warren-buffett-didnt-beat-the-market-ove.aspx
-https://www.berkshirehathaway.com/2019ar/2019ar.pdf?mod=article_inline
-https://www.investopedia.com/financial-edge/1211/introducing-warren-buffetts-successor.aspx
-https://markets.businessinsider.com/news/stocks/warren-buffett-annual-letter-berkshire-hathaway-prepared-for-deaths-2020-2-1028928838
coca-cola website 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
ความเป็นที่สุดของ สหรัฐอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
ทุกคนรู้ดีว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและวัฒนธรรมต่างๆ ที่หลายประเทศล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสหรัฐอเมริกา
แต่เราเคยสงสัยไหมว่า
รายละเอียดในแต่ละแง่มุม
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในด้านไหนบ้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มกันที่เรื่องเศรษฐกิจก่อน
ในปี 1820 เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนเพียง 1.8% ของเศรษฐกิจโลก
แต่ในปี 2019 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มถึง 25% ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
ตลาดผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกานั้นมีมูลค่ากว่า 464 ล้านล้านบาท เป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นสกุลเงินที่ถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก
ปัจจุบัน สินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางต่างๆ มีมูลค่ารวมกันกว่า 201 ล้านล้านบาท
โดย 62% ของทุนสำรองระหว่างประเทศในโลกนี้อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น กว่า 90% จะถูกซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2019 มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 2,550 ล้านล้านบาท โดยตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนกว่า 53% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก..
ขณะที่ Walmart บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลก โดยมีรายได้กว่า 15.4 ล้านล้านบาท ซึ่งพอๆ กับ GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศ
นอกจากนี้ รายชื่อบริษัทชั้นนำของโลก 500 บริษัท ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune นั้น เป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาถึง 121 บริษัท มากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทจากประเทศอื่น
บริษัทของสหรัฐอเมริกาหลายบริษัท พอพูดชื่อมาคนจำนวนมากในโลกแทบจะรู้จักทันที เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีฐานลูกค้าอยู่ทั่วโลก เช่น
Apple, Google, Microsoft, Coca-Cola, Amazon, Facebook, Starbucks, McDonald’s
ไม่เพียงแต่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ด้านการศึกษา สหรัฐอเมริกาก็เป็นผู้นำ จากการจัดอันดับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งมักตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
อย่างกรณีของ MIT ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน เป็นมหาวิทยาลัยที่ศิษย์เก่าไปก่อตั้งบริษัทหลายแห่ง จนสร้างรายได้รวมกันกว่า 60 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมากกว่า GDP ของประเทศอิตาลีเสียอีก
กรณีอุตสาหรรมภาพยนตร์ เราจะเห็นได้ชัดว่า สหรัฐอเมริกามี Hollywood ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์การถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ภาพยนตร์หลายเรื่องได้ส่งผลให้ประเทศอื่นๆ รับอิทธิพลหลายอย่างจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนอเมริกันไปไม่น้อย
แม้แต่ในด้านกีฬา ซึ่งสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตั้งแต่ปี 1896 ถึง 2018 ที่จัดมาทั้งหมด 50 ครั้งนั้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่คว้าเหรียญทองมากที่สุดคือ 1,127 เหรียญ
อีกเรื่องทื่ลืมไม่ได้คือ ความสามารถทางการทหาร สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีงบประมาณในการป้องกันประเทศมากที่สุดในโลกโดยมีมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านบาท มากกว่าอันดับที่ 2 อย่างจีนถึง 4 เท่า
สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศแรกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ 6,185 ลูก มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ขณะที่ยังมีจำนวนเครื่องบินรบจำนวนกว่า 2,362 ลำ ซึ่งแน่นอนว่ามากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน
ซึ่งจะเห็นว่า ในหลายเรื่องที่กล่าวถึงนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ที่นี่จะถูกมองว่าเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก ณ ปัจจุบัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า รัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกานั้น อดีตเป็นของรัสเซียมาก่อน
จนในปี 1867 สหรัฐอเมริกาได้ตกลงซื้อขายดินแดนแห่งนี้กับรัสเซียในราคา 223 ล้านบาท
ซึ่งการที่รัสเซียต้องการขายให้เนื่องจากตอนนั้นเศรษฐกิจของรัสเซียกำลังตกต่ำ และรัสเซียเกรงว่าดินแดนนี้อาจถูกอังกฤษยึดถ้าเกิดสงคราม รัสเซียจึงขายอะแลสกาให้กับสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในตอนนั้นประชาชนในสหรัฐอเมริกาก็มีจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการซื้ออะแลสกา ซึ่งผู้คัดค้านบอกว่าเป็นการซื้อที่โง่เขลา
ในปี 2018 รัฐอะแลสกามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 2,421 ล้านบาร์เรล ซึ่งถ้าให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หมายความว่า แค่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่รัฐอะแลสกามีก็มีมูลค่าสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.thebalance.com/world-currency-3305931
-https://howmuch.net/arti…/worlds-top-reserve-currencies-2019
-http://news.mit.edu/2015/report-entrepreneurial-impact-1209
-https://www.army-technology.com › features › biggest-military-budgets-world
-https://www.careerindia.com/…/qs-world-university-rankings-…
-https://www.statista.com/…/distribution-of-stock-market-si…/
-https://www.worldatlas.com/…/29-largest-armies-in-the-world…
-https://www.businessinsider.com/most-powerful-militaries-in…
-https://www.eia.gov/dnav/pet/PET_CRD_PRES_DCU_SAK_A.htm
coca-cola website 在 Buron Kanzaki Youtube 的評價
Coca và Mentos tuy lạ mà quen tại sao chúng ta không thử kết hợp nó nhỉ!? Anh em hãy khám phá cùng Buron nhé!
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
KHÔNG NGỜ COCA COLA VÀ MENTOS CÓ THỂ TẠO RA NÚI LỬA BẰNG CÁCH NÀY - BURON REACTION
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
#buronkanzaki #oopsburon #buron
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
Liên hệ hợp tác / For Business: partners@creatory.vn
HÃY nhấn SUBSCRIBE/ĐĂNG KÝ tại http://bit.ly/BuronKanzaki ngay để theo dõi những video mới nhất nhé!
► FACEBOOK : https://www.facebook.com/buu.majin.77
► FANPAGE : https://www.facebook.com/mcOopsBuronVN/
► INSTAGRAM : https://www.instagram.com/oops.bu
► TIKTOK: https://www.tiktok.com/@oops.buron
► Website Creatory: http://creatory.vn
► Facebook Fanpage Creatory: http://facebook.com/CreatoryVN
==================================================
© Bản quyền thuộc về OOPS BURON
© Copyright by OOPS BURON Channel ☞ Do not Reup

coca-cola website 在 Bie The Ska Youtube 的評價
พบกับรายการทดลองสุดสนุก ปลุกความอยากรู้กับเรื่องวิทย์ แสนง่าย สไตล์บี้เดอะสกา ที่จะพาคุณไปพบกับวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน ด้วยอุปกรณ์รอบๆตัว ไม่ต้องกลัวตกเทรนด์
แล้วคุณจะได้เห็น ว่าเรื่องวิทย์ไม่น่าเบื่อ และ อย่าเชื่อ ถ้าคุณไม่ได้ลองทำเอง
โดยคลิปนี้ บี้ เดอะสกา นำเสนอวิธีทำ "โค้ก + แก๊ส = จรวด" จะเป็นอย่างไร โค้กจะกลายเป็นจรวดได้ยังไง? มาดูกันได้ที่นี่เล้ยยยยยย!!!
กดติดตามคลิปใหม่ของพวกเรา มาใหม่ทุกวันอังคาร ศุกร์ เสาร์ และวันอาทิตย์ นะครับ^^ http://goo.gl/GQoaaP
Facebook ► https://www.facebook.com/BieTheSkar
Twitter ► https://twitter.com/bietheska
Instagram ► http://instagram.com/bietheska
Website ► http://www.theskafilm.com
Instagram บี้ http://instagram.com/bietheska
Instagram ต้อม http://instagram.com/Tomtommyz
Instagram ปอนด์ http://instagram.com/Pond_nitis
Instagram แอร์ http://instagram.com/Air_mes
Instagram วา http://instagram.com/Wasabi_neverdie
Instagram กอล์ฟ http://instagram.com/Skygolfy
Instagram ยีนส์ https://www.instagram.com/gnpm
Instagram เบ็น http://instagram.com/Fatlipzgipz
Instagram วี http://instagram.com/Vman_tsf
Instagram ออม http://instagram.com/Rungladda_aom
Instagram นนท์ https://www.instagram.com/non1life
Instagram เท่ห์ https://www.instagram.com/teh_chaiwat
Instagram ทับทิม https://www.instagram.com/tubtimaekky
Instagram แม็กซ์ https://www.instagram.com/issarath

coca-cola website 在 Tina Yong Youtube 的評價
In today’s episode of Tina Tries It, I’ll be testing out the Coca-cola Makeup collection with The Face Shop. Is it worth it? Watch to find out.
Subscribe to my channel for more videos https://bit.ly/2JFCtDr
#KOREANMAKEUP #BEAUTY #TINATRIESIT
__________________
? My Makeup Bag & Jewellery Case Brand?
Each bag comes with complimentary monogramming
https://markandscribe.com
https://www.instagram.com/markandscribe/
? My Eyelash Brand ?
https://petitecosmetics.com
https://www.instagram.com/petitecosmetics
__________________________
? Follow Me ?
TINA YONG
Instagram ► http://instagram.com/tina_yong
SnapChat ► tina_yong
Facebook ► http://www.facebook.com/Tinayongfanpage
Twitter ► https://twitter.com/tina_yong
Website ► http://www.tinayong.com
__________________________
? EQUIPMENT I USE ?
Microphone: Rodelink Wireless http://amzn.to/2b9lglt
Lighting: Aputure Lightstorm 120D https://amzn.to/2GTiTyX
Soft Box: Aputure Light Dome https://amzn.to/2ED9gT2
Camera: Canon 80D https://amzn.to/2GQuHWK
Canon G97X Mark II http://amzn.to/2fV1drX
Canon 24-70mm Lens 2.8 http://amzn.to/2b9lqcD
Editing Program: Adobe Premier Pro CC
**Disclaimer: This video is not sponsored. All thoughts and opinions are my own. Some of the links provided above are affiliate links meaning I do make a small commission when you purchase using the link. This does not cost you extra. You can also purchase from the brand’s websites so don’t feel obliged to use my link if you don’t want to. Thanks for all your support! xx
