ต้นกำเนิด Coca-Cola มาจากการรักษา อาการเจ็บปวด /โดย ลงทุนแมน
ในปี ค.ศ. 1861 เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการและแรงงานในภาคการเกษตรของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมือง ที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับล้านชีวิต
ช่วงเวลานั้น ได้มีนายพันของกองทหารม้านายหนึ่งชื่อว่า “John Stith Pemberton”
ได้รับบาดเจ็บจากการถูกดาบแทงขณะออกรบ และแม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้
อาการเจ็บปวดจากบาดแผลยังคงติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
แต่รู้หรือไม่ว่าด้วยความเจ็บปวดนี้เอง ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มที่มีชื่อว่า Coca-Cola..
แล้วบาดแผลที่ถูกดาบแทงกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมระดับโลกได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาดแผลในสงคราม ทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนจำเป็นต้องใช้ “มอร์ฟีน”
ซึ่งนอกจากจะเป็นสารเสพติดแล้ว มันยังช่วยในการระงับความเจ็บปวด
แต่เมื่อมันขึ้นชื่อว่าสารเสพติดแล้ว การที่ใช้มอร์ฟีนในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบในระยะยาว
นายพัน Pemberton จึงต้องหันไปหาทางเลือกอื่นและด้วยตัวเขาเองที่ก่อนเข้าร่วมสงครามมีอาชีพเป็นเภสัชกรและนักเคมี เขาจึงเริ่มค้นหาตัวยาที่ช่วยระงับความเจ็บปวดและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ามอร์ฟีน
ในปี ค.ศ. 1886 Pemberton ก็ได้ผลิตไวน์ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบดั้งเดิมของ Coca-Cola
ในชื่อ “French Wine Coca” ที่มีคุณสมบัติช่วยในการระงับความเจ็บปวด และรักษาอาการอื่น ๆ เช่น ท้องเสียและอาการปวดหัว
ด้วยวัตถุดิบหลักคือสารสกัดจากใบโคคาหรือก็คือพืชชนิดเดียวกันกับที่ใช้ผลิตโคเคน
ซึ่งในสมัยนั้นโคเคนยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
แต่เนื่องจากไวน์ดังกล่าวมีกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มเกินไป ทำให้ Pemberton เกิดไอเดียที่จะต่อยอดไปยัง
เครื่องดื่มที่คนทั่วไปก็สามารถดื่มได้และทำเงินได้มากกว่า เขาจึงเลือกที่จะมองไปยังเครื่องดื่มยอดฮิตในขณะนั้นซึ่งก็คือน้ำหวานผสมโซดา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อน้ำอัดลมในปัจจุบัน
เขาจึงเริ่มปรับปรุงสูตรด้วยการเพิ่มน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานและนำแอลกอฮอล์ออกจากตัวเครื่องดื่มเพื่อที่จะสามารถขายให้กับผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จนได้รสชาติอย่างที่ต้องการโดยที่ยังมีส่วนผสมของใบโคคาเป็นส่วนประกอบอยู่
ส่วนชื่อนั้นถูกตั้งโดย Frank Robinson นักบัญชีที่คอยช่วยเหลือ Pemberton มาตลอด
โดยคำว่า Coca มาจากใบโคคา (Coca Leaf) และ Cola มาจากถั่วโคลา (Kola Nut)
ที่เป็นแหล่งที่มาของสารกาเฟอีนใน Coca-Cola
นอกจากนี้ Robinson ยังเป็นผู้ออกแบบโลโกของ Coca-Cola ที่ได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน อีกด้วย
แต่เมื่อออกจำหน่ายในปีแรก Coca-Cola กลับขายได้เพียง 1,000 แก้วเท่านั้น
และหลังจากนั้นไม่นาน Pemberton ก็ได้เสียชีวิตลง
ก่อนที่ Pemberton จะเสียชีวิต เขาก็ได้ขายสูตรน้ำหวาน Coca-Cola ต่อให้กับ Asa Candler เจ้าของธุรกิจร้านขายยา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์เครื่องดื่มที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ
ในปี ค.ศ.1891 Candler ได้ก่อตั้งบริษัท Coca-Cola ขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยสิ่งแรกที่เขาทำ คือการโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยการใส่โลโก Coca-Cola ลงบนทุกสิ่งที่สามารถใส่เข้าไปได้..
ไม่ว่าจะเป็นปฏิทิน กระเป๋าสตางค์ ผนังกำแพง รถของพนักงานขาย และอีกหลากหลายสิ่ง
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนต้องได้เห็นโลโกของ Coca-Cola
โดยโปรโมชันแรก ๆ ที่ Coca-Cola เลือกที่จะทำคือ “คูปองดื่มฟรี”
ต้องเข้าใจก่อนว่าในช่วงเวลานั้น เครื่องดื่มผสมโซดาจะถูกวางขายในร้านขายยา
โดยมีลักษณะคล้ายกับน้ำอัดลมโบราณในบ้านเรา ซึ่งอาจมีน้ำหวานมากกว่า 100 รสชาติให้เราได้เลือก
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีตัวเลือกมาก การที่ลูกค้าจะเลือก Coca-Cola จึงเป็นไปได้ยาก
สิ่งที่ Candler ทำก็คือการเขียนจดหมายถึงเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มเพื่อขอรายชื่อลูกค้าขาประจำ 50 คน
โดยภายในจดหมายแต่ละฉบับจะมีคูปองที่มีโลโก Coca-Cola ให้กับลูกค้าประจำมาแลกเครื่องดื่มฟรีที่ร้าน
ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลองรสชาติและเกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว Coca-Cola ก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่
เมื่อโคเคนถูกระบุว่าเป็นสารเสพติดและเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้คนในเวลานั้น
และภาครัฐก็ยื่นคำขาดว่าห้ามมีโคเคนอยู่ในเครื่องดื่มเด็ดขาด
อีกประเด็นหนึ่งก็คือพวกเขาจำเป็นต้องรักษาสารสกัดจากโคคาไว้
เพื่อที่จะยังได้รับการปกป้องเครื่องหมายการค้าของบริษัท
นั่นทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาสูตร Coca-Cola ที่ยังมีส่วนผสมจากใบโคคา
แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกับโคเคนเหลืออยู่ในเครื่องดื่มและเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นในปี ค.ศ. 1899 Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas
ก็ได้เข้ามาติดต่อขอซื้อสิทธิ์ในการขายเครื่องดื่ม Coca-Cola แบบบรรจุขวดจาก Candler
โดยที่ Candler ก็ได้ขายสิทธิ์ดังกล่าวในราคาเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจบรรจุขวดในสมัยนั้น ยังถือว่ามีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพต่ำและมีความยากในการบริหารจัดการ
เพราะฝาปิดขวดในอดีตยังใช้วัสดุประเภทลวดและจุกยาง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของเครื่องดื่มและยากต่อการทำความสะอาด นี่จึงเป็นที่มาของฝาจีบที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ในเวลาต่อมา และในปี 1910 โรงงานบรรจุขวดของ Coca-Cola ก็ได้เกิดขึ้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา
แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ เพราะด้วยการเติบโตแบบรวดเร็วของ Coca-Cola จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ลอกเลียนแบบแบรนด์ขึ้นมา
ทั้งชื่อที่ออกเสียงคล้ายกัน โลโก และขวดที่มีลักษณะเหมือนกัน
จนทำให้ผู้บริโภคแยกไม่ออกว่าแบบไหนคือ Coca-Cola ของแท้
เมื่อเป็นเช่นนี้ในปี ค.ศ. 1915 Coca-Cola จึงได้ออกแบบขวดรูปทรงใหม่ ที่มีส่วนโค้งเว้า
มีลายแนวตั้งข้างขวดเป็นเอกลักษณ์ โดยลักษณะขวดดังกล่าว
ก็ได้ตกทอดและยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นสงครามโลกก็เกิดขึ้น และน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนผสมหลักถูกจำกัดการซื้อขาย เพื่อนำไปเป็นเสบียงให้กับกองทัพ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ทำให้ปริมาณการผลิตของ Coca-Cola หายไปถึงครึ่งหนึ่ง
บริษัทจึงเจรจากับรัฐบาลให้สนับสนุน Coca-Cola แก่ทหารทุกนายในกองทัพในราคาขายปกติ ไม่ว่าจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มใด ๆ ก็ตาม นั่นทำให้บริษัทได้รับข้อยกเว้นจากการจำกัดการใช้น้ำตาลและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
และช่วงเวลานี้เองที่ Coca-Cola ได้กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่รู้จักไปทั่วโลก
ซึ่งเรื่องราวเกิดจากการที่ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
ได้สอบถามถึงความต้องการของทหารในกองทัพว่ามีอะไรที่จะช่วยให้พวกเขามีขวัญกำลังใจและคลายเครียดได้บ้าง คำตอบที่ Eisenhower ได้รับคือ
1. บุหรี่
2. ลูกอม
3. Coca-Cola
นั่นจึงทำให้ Coca-Cola ถูกร้องขอให้ไปตั้งโรงงานบรรจุขวดในต่างประเทศ
ทั้งในยุโรป อาเซียน และอีกหลาย ๆ พื้นที่ ที่กองทัพสหรัฐอเมริกาไปถึง และเมื่อสงครามจบลงโรงงานเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินธุรกิจและกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Coca-Cola ในต่างแดนต่อไป..
ถึงแม้จะเป็นที่น่าเสียดาย ที่ Pemberton ผู้คิดค้นสูตรต้นตำรับของ Coca-Cola จะไม่มีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมากับมือ
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างทางตั้งแต่ Pemberton ไปจนถึง Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas ผู้นำสิทธิ์ Coca-Cola ไปบรรจุขวด รวมไปถึงการเกิดขึ้นของสงครามโลกที่ทหารสหรัฐอเมริกานำเครื่องดื่มนี้ไปหลายประเทศทั่วโลก หากมีตรงไหนเพี้ยนไปจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้น Coca-Cola ก็อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้และเป็นเพียงยาแก้ปวดชนิดน้ำยี่ห้อหนึ่งก็เป็นได้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ว่า Warren Buffett ยังคงกินขนมขบเคี้ยวและดื่ม Coca-Cola วันละประมาณ 5 กระป๋อง
เนื่องจากเขาเชื่อในสถิติที่ว่าเด็กอายุ 6 ขวบมีอัตราการเสียชีวิตน้อยที่สุด
เขาจึงกินในแบบที่เด็ก 6 ขวบ ชอบกิน และเขายังติดการกินอาหารรสเค็มอีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน Warren Buffett มีอายุ 90 ปีแล้ว
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.youtube.com/watch?v=DwCGY5SfLA4
-https://web.archive.org/web/20140325193447/http://ldsp01.columbusstate.edu:8080/xmlui/bitstream/handle/11075/598/TheCivilWarOrigi00GardCSU.pdf?sequence=3
-https://www.interexchange.org/articles/career-training-usa/2016/03/08/history-coca-cola/
-https://www.thestreet.com/lifestyle/food-drink/history-of-cola-cola
-https://www.blockdit.com/posts/5ec20e0e00dda1075b8665ab
-https://www.foxbusiness.com/features/inside-warren-buffett-junk-food-diet-which-includes-5-cans-of-coke-mcdonalds-and-dairy-queen
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過72萬的網紅腦補給,也在其Youtube影片中提到,【蝦皮拍賣】 我現在自己在製作天然寵物肉乾 適合貓狗人吃 ,沒有防腐劑調味料 蝦皮網址: https://shopee.tw/twjerky 訂購LINE: 0900109282 FB/IG: 中崙天然寵物肉乾 【今日內容】 在保險套 避孕藥以及其他現代避孕方法出現前 我們的祖先自己創造出避孕方法...
coca-cola history 在 Dan Lok Facebook 八卦
What type of writer are you?
That’s a question I asked myself more than 20 years ago when I first got started and there’s basically 3 choices...
Choice 1: The Academic Writer
This is the type of writer we learn to become at school.
“Never start a sentence with ‘because’.”
“Don’t forget the comma!”
“Always write a complete thought.”
Some of these writers have gone on to become very well-known authors.
Some of them have made contributions to science, history, literature.
Some have made it really big.
But that’s not something I could do…
And here’s why.
The barrier of entry is pretty high. And you also usually have to get into a lot of student debt and write several papers that could take years before you become recognized.
And that’s just something I wasn’t willing to do.
Besides, I’m not even a native speaker of English.
And my grammar sucks.
But if you’re an A student, and you want to pursue a career as an academic writer - this may be the path for you.
Choice 2: The Creative Writer
When you say “I’m a writer”, this is what most people think of...
Who wouldn’t want to be a stay-at-home writer that can get up whenever you want?
The creative writer is the writer that writes fiction, that writes stories, and that entertains readers all over the world.
These are the writers that become world-famous authors, like J.K. Rowlings or Stephen King.
But for most writers, it’s not as dreamy as it sounds...
No one tells you about all the months you have to fight off writer's block…
Or about the bills that start taking over your desk space if you don’t go get a regular job...
Or that your first manuscript is actually “supposed” to get rejected...
You see what usually happens is this.
1. You write the book.
2. You wait a long time for it to get published (18 months).
3. And then you wait another long period of who knows how long before you earn royalties.
And unless you have a huge load of savings during that time, it’s game over...
So either you have a lot of savings to keep you in the game, or you’re forced back into a 9 - 5 to pay off all the bills.
Now I’m not saying you can’t do it. Many writers push through the hard times and become successful writers.
I just hate the idea of working a 9 to 5 or waiting years to get a return on my time…
So I didn’t opt in to being this kind writer either. And if you’re anything like me, neither would you...
Choice 3: The Revenue-Based Writer
Now these writers aren’t the best at English in the world. And they’re probably not the most creative either...
But that’s okay. There’s a different advantage to being a Revenue-Based Writer.
And that is they’re responsible for trillions of dollars of revenue every single year.
Let me prove it to you.
Think of any big names you can:
Coca-Cola, Microsoft, Apple, Google, Nike, Ikea...
How do you think these companies effectively communicate their message to millions and millions of people every single day?
They need writers that can influence, persuade, and inspire people to buy their products and services - on a daily basis.
And when they have those writers, they make more money. And when they make more money, guess what…
They pay those writers more money.
Now maybe you’re wondering.
“Well what do these types of writers actually do?”
Well here’s what they do, and here’s how to become one if that’s what you’re interested in...
Imagine someone has a local electronics store and they get some people visiting their website...
And their sales are okay, they’re making around $500-bucks a month online.
Now, what if you rewrote it or tweaked a couple things to increase their monthly revenue from online orders to $1,000?
Now they’re making 2X as much from the same website.
You’ve just doubled their sales.
Wouldn’t they be happy to pay you $100 for helping them make an extra $500 every month?
And if you could make them $500 dollars more a month, do you think they’d really care about how good your grammar is?
Or would they care more about how much money you’d make them?
And if you could make them money, don't you think they'd want to pay you more to keep writing for them?
Simple right? It is.
So it’s not like traditional writing where you have to slave away for 2 to 3 years before getting anything back for your work…
As a Revenue-Based Writer, you can bring in the cash after just a few weeks of work - sometimes after just a few days.
It’s great.
But like all great things, there is a catch.
And it’s why the average writer never gets into this kind of stuff.
You do have to know which gigs to offer...
Ever notice how some writers (who aren't very good writers) are making great money — while other better writers are barely scraping by or not making the income they deserve?
What's the difference?
Well, not all writing opportunities are created equal.
If you want to know the 4 easy gigs to become a revenue-based writer…
... Without going to another freelance site where you’re treated as a commodity and are forced to earn less than you deserve...
I’ve put together a special, free on-demand training that goes much more in-depth
If you want to check it out, put the keyword “writer” below and I’ll send it to you personally.
coca-cola history 在 Dan Lok Facebook 八卦
What type of writer are you?
That’s a question I asked myself more than 20 years ago when I first got started and there’s basically 3 choices...
Choice 1: The Academic Writer
This is the type of writer we learn to become at school.
“Never start a sentence with ‘because’.”
“Don’t forget the comma!”
“Always write a complete thought.”
Some of these writers have gone on to become very well-known authors.
Some of them have made contributions to science, history, literature.
Some have made it really big.
But that’s not something I could do…
And here’s why.
The barrier of entry is pretty high. And you also usually have to get into a lot of student debt and write several papers that could take years before you become recognized.
And that’s just something I wasn’t willing to do.
Besides, I’m not even a native speaker of English.
And my grammar sucks.
But if you’re an A student, and you want to pursue a career as an academic writer - this may be the path for you.
Choice 2: The Creative Writer
When you say “I’m a writer”, this is what most people think of...
Who wouldn’t want to be a stay-at-home writer that can get up whenever you want?
The creative writer is the writer that writes fiction, that writes stories, and that entertains readers all over the world.
These are the writers that become world-famous authors, like J.K. Rowlings or Stephen King.
But for most writers, it’s not as dreamy as it sounds...
No one tells you about all the months you have to fight off writer's block…
Or about the bills that start taking over your desk space if you don’t go get a regular job...
Or that your first manuscript is actually “supposed” to get rejected...
You see what usually happens is this.
1. You write the book.
2. You wait a long time for it to get published (18 months).
3. And then you wait another long period of who knows how long before you earn royalties.
And unless you have a huge load of savings during that time, it’s game over...
So either you have a lot of savings to keep you in the game, or you’re forced back into a 9 - 5 to pay off all the bills.
Now I’m not saying you can’t do it. Many writers push through the hard times and become successful writers.
I just hate the idea of working a 9 to 5 or waiting years to get a return on my time…
So I didn’t opt in to being this kind writer either. And if you’re anything like me, neither would you...
Choice 3: The Revenue-Based Writer
Now these writers aren’t the best at English in the world. And they’re probably not the most creative either...
But that’s okay. There’s a different advantage to being a Revenue-Based Writer.
And that is they’re responsible for trillions of dollars of revenue every single year.
Let me prove it to you.
Think of any big names you can:
Coca-Cola, Microsoft, Apple, Google, Nike, Ikea...
How do you think these companies effectively communicate their message to millions and millions of people every single day?
They need writers that can influence, persuade, and inspire people to buy their products and services - on a daily basis.
And when they have those writers, they make more money. And when they make more money, guess what…
They pay those writers more money.
Now maybe you’re wondering.
“Well what do these types of writers actually do?”
Well here’s what they do, and here’s how to become one if that’s what you’re interested in...
Imagine someone has a local electronics store and they get some people visiting their website...
And their sales are okay, they’re making around $500-bucks a month online.
Now, what if you rewrote it or tweaked a couple things to increase their monthly revenue from online orders to $1,000?
Now they’re making 2X as much from the same website.
You’ve just doubled their sales.
Wouldn’t they be happy to pay you $100 for helping them make an extra $500 every month?
And if you could make them $500 dollars more a month, do you think they’d really care about how good your grammar is?
Or would they care more about how much money you’d make them?
And if you could make them money, don't you think they'd want to pay you more to keep writing for them?
Simple right? It is.
So it’s not like traditional writing where you have to slave away for 2 to 3 years before getting anything back for your work…
As a Revenue-Based Writer, you can bring in the cash after just a few weeks of work - sometimes after just a few days.
It’s great.
But like all great things, there is a catch.
And it’s why the average writer never gets into this kind of stuff.
You do have to know which gigs to offer...
Ever notice how some writers (who aren't very good writers) are making great money — while other better writers are barely scraping by or not making the income they deserve?
What's the difference?
Well, not all writing opportunities are created equal.
If you want to know the 4 easy gigs to become a revenue-based writer…
... Without going to another freelance site where you’re treated as a commodity and are forced to earn less than you deserve...
I’ve put together a special, free on-demand training that goes much more in-depth
If you want to check it out, put the keyword “writer” below and I’ll send it to you personally.
coca-cola history 在 腦補給 Youtube 的評價
【蝦皮拍賣】
我現在自己在製作天然寵物肉乾 適合貓狗人吃 ,沒有防腐劑調味料
蝦皮網址: https://shopee.tw/twjerky
訂購LINE: 0900109282
FB/IG: 中崙天然寵物肉乾
【今日內容】
在保險套 避孕藥以及其他現代避孕方法出現前 我們的祖先自己創造出避孕方法 而古老的避孕方法一個比一個還特別 有些甚至還流傳到現代 歡迎來到腦補給 今天要來看5個祖先使用的避孕方法
5 檸檬 https://news.nationalgeographic.com/2016/02/160219-pictures-zika-pope-francis-birth-control-contraception/
4蜂蜜http://www.randomhistory.com/birth-control-history.html
3 汞http://time.com/3692001/birth-control-history-djerassi/
2 可樂https://www.newscientist.com/article/dn14864-coca-cola-douches-scoop-ig-nobel-prize/
1 動物腸子https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3649591/
【貼心提醒】
訂閱後記得開小鈴鐺才能夠準時接收到新影片哦!
【關於腦補給】
這是一個創新吸收新知識的頻道,在這裡你可以看到世界上新奇的東西、知識。 如果喜歡可以按訂閱,也可以在下面留言你想要知道的主題。
【社交網址】
臉書: https://goo.gl/hcXp1l
coca-cola history 在 Rinozawa Youtube 的評價
2013年12月31日/Y:2歳2ヶ月/R:4歳7ヶ月 This day is the last day of the year.
The last meal of our 2013 is oden, the prawn tempura, soba, nitamago omusubi.
Dad opened Coca-Cola of the souvenir which Rino bought from Tokyo on October 17.
We who ate a lot spent it slowly.
They stayed awake till 0:00 last night, and we exchanged greetings of the New Year.
Akemashite omedetou gozaimasu :)
うんうん♪イイ年だったかな(^―^)
☆年越しそばを食べる2012 Rino&Yuuma
http://youtu.be/nxbXGNqo7HQ
【Facebook】
http://www.facebook.com/pages/Rinozawa/232183876872295?sk=wall
【Rino&Yuuma 2nd Channel】
http://www.youtube.com/user/nozaoto?feature=mhee
【Mama's Cooking Channel】
http://www.youtube.com/user/nozamama/featured
【Rinozawa's Blog】
http://rinozama.blogspot.jp/
coca-cola history 在 Rinozawa Youtube 的評價
2015年3月12日/Y:3歳4ヶ月/R:5歳9ヶ月/ We drank 'Coca-Cola Life' of the new sale :)
う~ん・・・
☆コアップガラナを飲んでみようRino&Yuuma
https://youtu.be/xehsDOewhCY
【Rino&Yuuma 2nd Album】
http://www.youtube.com/user/nozaoto?feature=mhee
【Mama's Cooking Channel】
http://www.youtube.com/user/nozamama/featured
【Rinozawa's Blog】
http://ameblo.jp/rinoism/
coca-cola history 在 The Coca-Cola Company | History, Products, & Facts | Britannica 的相關結果
The drink Coca-Cola was originated in 1886 by an Atlanta pharmacist, John S. Pemberton (1831–88), at his Pemberton Chemical Company. His bookkeeper, Frank ... ... <看更多>
coca-cola history 在 Coca-Cola - Wikipedia 的相關結果
Originally marketed as a temperance drink and intended as a patent medicine, it was invented in the late 19th century by ... ... <看更多>
coca-cola history 在 History - The Coca-Cola Company 的相關結果
The Origin of Coca-Cola ... On May 8, 1886, Dr. John Pemberton sold the first glass of Coca-Cola at Jacobs' Pharmacy in downtown Atlanta. Serving nine drinks per ... ... <看更多>