เรื่องราวของ คนรวยสุดในเอเชีย / โดย ลงทุนแมน
ถ้าถามถึงคนรวยสุดในเอเชีย
ทุกคนคงนึกถึงคนจีน
ไม่ว่าจะเป็น แจ็ก หม่า เจ้าของ Alibaba
หรือ โพนี่ หม่า เจ้าของ Tencent
คนรวยสุดในเอเชียตอนนี้ไม่ได้เป็นคนจีน
แต่เป็นคนอินเดีย
และไม่ได้ทำธุรกิจเทคโนโลยี
แต่เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมัน บริษัทโทรคมนาคม และบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอินเดีย
หากเทียบกับธุรกิจในไทย เขาคนนี้จะเป็นเจ้าของบริษัท ปตท. เอไอเอส และเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งหมดรวมกัน
คนคนนี้ชื่อว่า Mukesh Ambani อ่านว่า มูเกช อัมบานี
อภิมหาเศรษฐีชาวอินเดียที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านบาท
รวยกว่าเสี่ยธนินท์ บุคคลรวยสุดในประเทศไทย 3.4 เท่า
แถมเป็นชาวเอเชียคนเดียวที่รวยติด 1 ใน 10 ของโลก
แล้วเขาเป็นใคร มาจากไหน?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ความมั่งคั่งของมูเกช อัมบานี เริ่มต้นมาจากรุ่นคุณพ่อของเขา
ธีรุไภย อัมบานี พ่อของมูเกช อพยพจากอินเดียไปทำงานเป็นเสมียนตั้งแต่อายุ 17 ปี
ที่บริษัทค้าขาย A. Besse & Co. ในประเทศเยเมนตั้งแต่สมัยที่ยังถูกอังกฤษยึดครองเป็นอาณานิคม
แม้ว่าเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ยากลำบาก
แต่มันกลับเป็นโอกาสของธีรุไภย อัมบานี ที่ซึ่งเขาได้รู้จักกับเครือข่ายธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ
ทำให้ได้ดีลงานกับบริษัทมากมายที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้าตั้งแต่น้ำตาล, เครื่องเทศ, สิ่งทอ รวมไปถึงน้ำมัน ในประเทศทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชีย
หลังจากสะสมประสบการณ์อยู่ 9 ปี
ธีรุไภย อัมบานี ตัดสินใจกลับมายังประเทศอินเดียเพื่อก่อตั้งกิจการของตัวเอง
ซึ่งก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว เขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชาย มูเกช อัมบานี
63 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคิดว่ามูเกช อัมบานี
ลูกชายเสมียนที่กำลังจะอพยพกลับประเทศบ้านเกิด
กำลังจะสร้างอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ และจะกลายมาเป็นคนรวยสุดในเอเชีย
คำถามคือ เขาเริ่มสร้างธุรกิจอะไรขึ้นมา?
ธีรุไภย อัมบานี เริ่มต้นทำธุรกิจจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์ และ ส่งออกเครื่องเทศ
โดยออฟฟิศแรกมีขนาด 33 ตารางเมตร มีโต๊ะกับเก้าอี้ 3 ตัว พร้อมโทรศัพท์ 1 เครื่อง
จากประสบการณ์ที่เยเมน รวมกับคู่ค้าทางธุรกิจที่รู้จักกันดีจากต่างประเทศ
ทำให้ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกของธีรุไภย เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรวมกับรัฐบาลประเทศอินเดียสมัยนั้นประกาศแผนพัฒนาอุตสาหกรรมระยะยาว
ทำให้ ธีรุไภย อัมบานี ปรับโครงสร้างธุรกิจกลายมาเป็นผู้ผลิตสิ่งทอ
ระหว่างที่พ่อกำลังวางรากฐาน
ด้านมูเกช อัมบานี คนลูก หลังจากเรียนจบปริญญาตรี
สาขาวิศวกรรมเคมีที่ University of Mumbai
ก็ได้สมัครเรียนต่อ MBA ที่ Stanford University ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องลาออกเพื่อมาช่วยธุรกิจคุณพ่อพร้อมๆ กับน้องชาย
เพราะธุรกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วพ่อของมูเกช ก็ได้เสียชีวิตลงกะทันหันแบบไม่มีพินัยกรรม
เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่กลับทำให้พี่น้อง อัมบานี
ที่เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจพร้อมๆ กันกลับทะเลาะกันร้ายแรงถึงขนาดต้องขึ้นศาล
สุดท้ายจบลงด้วยการที่แม่ต้องมาระงับศึก และผลก็คือ มูเกช อัมบานี คนพี่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ของครอบครัว Reliance Industries
หลังจากนั้น มูเกช อัมบานี ก็ได้นำบริษัทแห่งนี้ ต่อยอดอุตสาหกรรมสิ่งทอไปยังอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นธุรกิจหลัก
นอกจากนี้ เขาก็ยังก่อตั้งธุรกิจเข้าไปแข่งขันในธุรกิจกลุ่มอื่น เช่น
Reliance Retail ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจค้าปลีกใหญ่สุดในอินเดีย
ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 10,901 สาขา และเปิดให้บริการกว่า 6,700 เมืองทั่วประเทศ
รวมถึง Reliance Jio Infocomm
ทำธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศอินเดีย
ซึ่งปัจจุบันรองรับสมาชิกรายเดือนกว่า 307 ล้านคน
คิดเป็น 23% ของประชากรประเทศอินเดีย
แล้วปัจจุบัน Reliance Industries Limited ใหญ่ขนาดไหน?
ปี 2017 รายได้ 1.3 ล้านล้านบาท กำไร 1.3 แสนล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 1.7 ล้านล้านบาท กำไร 1.5 แสนล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 2.4 ล้านล้านบาท กำไร 1.7 แสนล้านบาท
โดยรายได้ทุกๆ 100 บาทของบริษัทมาจาก
ธุรกิจปิโตรเคมี 43 บาท
ธุรกิจโรงกลั่น 26 บาท
ธุรกิจเทเลคอม 18 บาท
ธุรกิจค้าปลีก 7 บาท
และอื่นๆ อีก 6 บาท
ปัจจุบัน Reliance Industries Limited มีบริษัทย่อย 269 บริษัท
พร้อมพนักงาน 194,056 คน และมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 4 ล้านล้านบาท
มูลค่าระดับนี้ถือเป็นบริษัทใหญ่สุดในประเทศอินเดีย
แซงหน้าบริษัท Tata Consultancy Services บริษัทที่ปรึกษาในเครือ Tata Group
มูเกช อัมบานี ถือหุ้นอยู่ในบริษัทแห่งนี้กว่า 42%
และเมื่อรวมกับทรัพย์สินอื่นๆ ทำให้เขามีทรัพย์สินกว่า 1.8 ล้านล้านบาท
ซึ่งมากสุดในเอเชีย และมากเป็นอันดับ 10 ของโลก
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีขนาดใหญ่โตขนาดนี้
แต่ Reliance Industries กลับยังมีมุมมองต่อธุรกิจดิจิทัลที่น่าสนใจ
ล่าสุดก็เพิ่งประกาศว่ากำลังจะก่อตั้งบริษัทเข้าสู่สมรภูมิ E-Commerce ในประเทศอินเดีย
ที่มีคู่แข่งคนสำคัญเป็นบริษัทค้าปลีกและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Walmart และ Amazon จากประเทศสหรัฐอเมริกา..
ด้วยทุนเดิมที่ครอบครองร้านค้าปลีกมหาศาลรวมกับจำนวนผู้ใช้งานบนธุรกิจเครือข่ายที่คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรประเทศอินเดีย ก็น่าจะสร้างความกังวลให้กับบริษัทอเมริกันได้ไม่น้อย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า.. มูเกช อัมบานีและครอบครัวอาศัยอยู่ในที่พักชื่อว่า แอนทีเลีย ซึ่งเป็นตึกสูงระฟ้ากว่า 27 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 398,000 ตารางเมตร
ประกอบไปด้วยห้องบอลรูมสำหรับจัดเลี้ยง ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ โรงภาพยนตร์ 50 ที่นั่ง สวนแนวตั้ง สวนลอยฟ้า จุดจอดเฮลิคอปเตอร์ 3 จุด และที่จอดรถ 6 ชั้น
พร้อมกับพนักงานที่คอยดูแลบ้านอีก 600 คน
ตึกแห่งนี้ถูกออกแบบให้แต่ละชั้นมีความกว้างแตกต่างกันออกไป แถมยังสามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ 8 แมกนิจูด และรองรับแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี
รวมๆ แล้ว ที่พักแห่งนี้มีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่นับพระราชวังบักกิงแฮมของราชวงศ์อังกฤษ
ตึกแอนทีเลียของครอบครัวอัมบานี จะเป็นที่อยู่อาศัยที่แพงสุดในโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
References
-https://www.dhirubhai.net/off-to-aden
-https://www.nytimes.com/…/busi…/worldbusiness/15ambani.html…
-https://www.forbes.com/profile/mukesh-ambani/…
-https://www.ril.com/Financial-Statement-2018-19.aspx
-https://www.ril.com/…/Financial%20Presentation%20-%20Q4%20R…
-https://www.ril.com/ar2018-19/ril-annual-report-2019.pdf
-https://www.forbes.com/profile/mukesh-ambani/…
-https://sudsapda.com/top-lists/135391.html
-https://www.indiatoday.in/…/ambani-antilia-inside-pics-1317…
「alibaba annual report 2019」的推薦目錄:
alibaba annual report 2019 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
เรื่องราวของ คนรวยสุดในเอเชีย / โดย ลงทุนแมน
ถ้าถามถึงคนรวยสุดในเอเชีย
ทุกคนคงนึกถึงคนจีน
ไม่ว่าจะเป็น แจ็ก หม่า เจ้าของ Alibaba
หรือ โพนี่ หม่า เจ้าของ Tencent
คนรวยสุดในเอเชียตอนนี้ไม่ได้เป็นคนจีน
แต่เป็นคนอินเดีย
และไม่ได้ทำธุรกิจเทคโนโลยี
แต่เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมัน บริษัทโทรคมนาคม และบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอินเดีย
หากเทียบกับธุรกิจในไทย เขาคนนี้จะเป็นเจ้าของบริษัท ปตท. เอไอเอส และเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งหมดรวมกัน
คนคนนี้ชื่อว่า Mukesh Ambani อ่านว่า มูเกช อัมบานี
อภิมหาเศรษฐีชาวอินเดียที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านบาท
รวยกว่าเสี่ยธนินท์ บุคคลรวยสุดในประเทศไทย 3.4 เท่า
แถมเป็นชาวเอเชียคนเดียวที่รวยติด 1 ใน 10 ของโลก
แล้วเขาเป็นใคร มาจากไหน?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ความมั่งคั่งของมูเกช อัมบานี เริ่มต้นมาจากรุ่นคุณพ่อของเขา
ธีรุไภย อัมบานี พ่อของมูเกช อพยพจากอินเดียไปทำงานเป็นเสมียนตั้งแต่อายุ 17 ปี
ที่บริษัทค้าขาย A. Besse & Co. ในประเทศเยเมนตั้งแต่สมัยที่ยังถูกอังกฤษยึดครองเป็นอาณานิคม
แม้ว่าเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ยากลำบาก
แต่มันกลับเป็นโอกาสของธีรุไภย อัมบานี ที่ซึ่งเขาได้รู้จักกับเครือข่ายธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ
ทำให้ได้ดีลงานกับบริษัทมากมายที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้าตั้งแต่น้ำตาล, เครื่องเทศ, สิ่งทอ รวมไปถึงน้ำมัน ในประเทศทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชีย
หลังจากสะสมประสบการณ์อยู่ 9 ปี
ธีรุไภย อัมบานี ตัดสินใจกลับมายังประเทศอินเดียเพื่อก่อตั้งกิจการของตัวเอง
ซึ่งก่อนหน้านั้นเพียงปีเดียว เขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชาย มูเกช อัมบานี
63 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคิดว่ามูเกช อัมบานี
ลูกชายเสมียนที่กำลังจะอพยพกลับประเทศบ้านเกิด
กำลังจะสร้างอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ และจะกลายมาเป็นคนรวยสุดในเอเชีย
คำถามคือ เขาเริ่มสร้างธุรกิจอะไรขึ้นมา?
ธีรุไภย อัมบานี เริ่มต้นทำธุรกิจจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์ และ ส่งออกเครื่องเทศ
โดยออฟฟิศแรกมีขนาด 33 ตารางเมตร มีโต๊ะกับเก้าอี้ 3 ตัว พร้อมโทรศัพท์ 1 เครื่อง
จากประสบการณ์ที่เยเมน รวมกับคู่ค้าทางธุรกิจที่รู้จักกันดีจากต่างประเทศ
ทำให้ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกของธีรุไภย เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรวมกับรัฐบาลประเทศอินเดียสมัยนั้นประกาศแผนพัฒนาอุตสาหกรรมระยะยาว
ทำให้ ธีรุไภย อัมบานี ปรับโครงสร้างธุรกิจกลายมาเป็นผู้ผลิตสิ่งทอ
ระหว่างที่พ่อกำลังวางรากฐาน
ด้านมูเกช อัมบานี คนลูก หลังจากเรียนจบปริญญาตรี
สาขาวิศวกรรมเคมีที่ University of Mumbai
ก็ได้สมัครเรียนต่อ MBA ที่ Stanford University ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องลาออกเพื่อมาช่วยธุรกิจคุณพ่อพร้อมๆ กับน้องชาย
เพราะธุรกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วพ่อของมูเกช ก็ได้เสียชีวิตลงกะทันหันแบบไม่มีพินัยกรรม
เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่กลับทำให้พี่น้อง อัมบานี
ที่เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจพร้อมๆ กันกลับทะเลาะกันร้ายแรงถึงขนาดต้องขึ้นศาล
สุดท้ายจบลงด้วยการที่แม่ต้องมาระงับศึก และผลก็คือ มูเกช อัมบานี คนพี่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ของครอบครัว Reliance Industries
หลังจากนั้น มูเกช อัมบานี ก็ได้นำบริษัทแห่งนี้ ต่อยอดอุตสาหกรรมสิ่งทอไปยังอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นธุรกิจหลัก
นอกจากนี้ เขาก็ยังก่อตั้งธุรกิจเข้าไปแข่งขันในธุรกิจกลุ่มอื่น เช่น
Reliance Retail ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจค้าปลีกใหญ่สุดในอินเดีย
ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 10,901 สาขา และเปิดให้บริการกว่า 6,700 เมืองทั่วประเทศ
รวมถึง Reliance Jio Infocomm
ทำธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศอินเดีย
ซึ่งปัจจุบันรองรับสมาชิกรายเดือนกว่า 307 ล้านคน
คิดเป็น 23% ของประชากรประเทศอินเดีย
แล้วปัจจุบัน Reliance Industries Limited ใหญ่ขนาดไหน?
ปี 2017 รายได้ 1.3 ล้านล้านบาท กำไร 1.3 แสนล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 1.7 ล้านล้านบาท กำไร 1.5 แสนล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 2.4 ล้านล้านบาท กำไร 1.7 แสนล้านบาท
โดยรายได้ทุกๆ 100 บาทของบริษัทมาจาก
ธุรกิจปิโตรเคมี 43 บาท
ธุรกิจโรงกลั่น 26 บาท
ธุรกิจเทเลคอม 18 บาท
ธุรกิจค้าปลีก 7 บาท
และอื่นๆ อีก 6 บาท
ปัจจุบัน Reliance Industries Limited มีบริษัทย่อย 269 บริษัท
พร้อมพนักงาน 194,056 คน และมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 4 ล้านล้านบาท
มูลค่าระดับนี้ถือเป็นบริษัทใหญ่สุดในประเทศอินเดีย
แซงหน้าบริษัท Tata Consultancy Services บริษัทที่ปรึกษาในเครือ Tata Group
มูเกช อัมบานี ถือหุ้นอยู่ในบริษัทแห่งนี้กว่า 42%
และเมื่อรวมกับทรัพย์สินอื่นๆ ทำให้เขามีทรัพย์สินกว่า 1.8 ล้านล้านบาท
ซึ่งมากสุดในเอเชีย และมากเป็นอันดับ 10 ของโลก
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีขนาดใหญ่โตขนาดนี้
แต่ Reliance Industries กลับยังมีมุมมองต่อธุรกิจดิจิทัลที่น่าสนใจ
ล่าสุดก็เพิ่งประกาศว่ากำลังจะก่อตั้งบริษัทเข้าสู่สมรภูมิ E-Commerce ในประเทศอินเดีย
ที่มีคู่แข่งคนสำคัญเป็นบริษัทค้าปลีกและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Walmart และ Amazon จากประเทศสหรัฐอเมริกา..
ด้วยทุนเดิมที่ครอบครองร้านค้าปลีกมหาศาลรวมกับจำนวนผู้ใช้งานบนธุรกิจเครือข่ายที่คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรประเทศอินเดีย ก็น่าจะสร้างความกังวลให้กับบริษัทอเมริกันได้ไม่น้อย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า.. มูเกช อัมบานีและครอบครัวอาศัยอยู่ในที่พักชื่อว่า แอนทีเลีย ซึ่งเป็นตึกสูงระฟ้ากว่า 27 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 398,000 ตารางเมตร
ประกอบไปด้วยห้องบอลรูมสำหรับจัดเลี้ยง ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ โรงภาพยนตร์ 50 ที่นั่ง สวนแนวตั้ง สวนลอยฟ้า จุดจอดเฮลิคอปเตอร์ 3 จุด และที่จอดรถ 6 ชั้น
พร้อมกับพนักงานที่คอยดูแลบ้านอีก 600 คน
ตึกแห่งนี้ถูกออกแบบให้แต่ละชั้นมีความกว้างแตกต่างกันออกไป แถมยังสามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ 8 แมกนิจูด และรองรับแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี
รวมๆ แล้ว ที่พักแห่งนี้มีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่นับพระราชวังบักกิงแฮมของราชวงศ์อังกฤษ
ตึกแอนทีเลียของครอบครัวอัมบานี จะเป็นที่อยู่อาศัยที่แพงสุดในโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
References
-https://www.dhirubhai.net/off-to-aden
-https://www.nytimes.com/2008/06/15/business/worldbusiness/15ambani.html?pagewanted=all
-https://www.forbes.com/profile/mukesh-ambani/?list=rtb#4c1b8382214c
-https://www.ril.com/Financial-Statement-2018-19.aspx
-https://www.ril.com/getattachment/b9a51ff7-41b4-421c-bf35-c589cbc66eb6/Financial%20Presentation%20-%20Q4%20Results.aspx
-https://www.ril.com/ar2018-19/ril-annual-report-2019.pdf
-https://www.forbes.com/profile/mukesh-ambani/?list=rtb#28053369214c
-https://sudsapda.com/top-lists/135391.html
-https://www.indiatoday.in/lifestyle/photo/ambani-antilia-inside-pics-1317117-2018-08-17
alibaba annual report 2019 在 ลงทุนแมน Facebook 八卦
รู้จัก Ant Group เจ้าของ Alipay / โดย ลงทุนแมน
“Ant Group” หรือชื่อเดิมคือ “Ant Financial Services Group”
หลายคนอาจจะแค่เคยได้ยินผ่านๆ หรือไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ
แต่รู้หรือไม่ นี่คือเจ้าของ “Alipay”
แอปชำระเงินและศูนย์รวมบริการออนไลน์ของคนจีน
ความเป็นมาของบริษัทนี้เป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ คือการเกิดขึ้นของ Alibaba Group ในปี 1999
ธุรกิจแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Jack Ma มหาเศรษฐีชาวจีน
พอแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Alibaba เริ่มเติบโตขึ้น
Jack Ma จึงอยากให้มีระบบชำระเงิน และเทคโนโลยีด้านการเงิน
มาช่วยส่งเสริม และรองรับการซื้อขายบนโลกออนไลน์
ในปี 2004 “Alipay” จึงถือกำเนิดขึ้น
เป็นระบบชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์
เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มของ Alibaba
Alipay เริ่มจากการพัฒนาระบบชำระค่าสินค้าผ่านเว็บไซต์ในช่วงแรก
ต่อมาในปี 2008 สามารถขยายไปชำระค่าสาธารณูปโภค
เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ผ่านช่องทางออนไลน์
และได้เปิดให้บริการชำระค่าบริการต่างๆ
ในรูปแบบ “Mobile Payment” อย่างเป็นทางการ ในปี 2009
จุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้ คือในปี 2011
Alipay ได้แยกตัวออกมาจาก Alibaba
เพื่อตั้งเป็นหน่วยงานที่โฟกัสเรื่องของโครงสร้างและระบบการชำระเงินโดยเฉพาะ
จนในปี 2014 หน่วยงานที่แยกออกมานี้
ก็ก่อตั้งเป็นบริษัทอย่างเป็นทางการ ชื่อว่า “Ant Financial Services Group”
และปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น “Ant Group”
โดยที่ Ant Group ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของ Alipay เพียงอย่างเดียว
ยังมีบริการอื่นอีก เช่น ให้สินเชื่อรายบุคคล และ SMEs, บริการเกี่ยวกับการลงทุน (Wealth Management), ธนาคารออนไลน์, ประเมินเครดิต และบริการคลาวด์สำหรับจัดเก็บข้อมูลของธุรกิจ
แต่ในบรรดาบริการต่างๆ Alipay จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านบัญชี
ซึ่งคนจีนใช้จ่ายผ่านแอปฯ นี้ แทนการใช้เงินสดไปแล้ว
จะเห็นว่า หลายร้านค้าในไทย มีการรองรับการจ่ายด้วย Alipay
เพราะคนจีนเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไทยจำนวนมาก
และนอกจากการใช้ชำระค่าสินค้าแล้ว
คนจีนยังสามารถทำได้แทบทุกอย่างใน Alipay
เช่น เรียกแท็กซี่, ซื้อตั๋วหนัง, จองโรงแรม ไปจนถึงนัดพบหมอ
นอกจากบริการที่ว่ามาทั้งหมดนี้แล้ว
Ant Group ยังร่วมลงทุนและเป็นพาร์ตเนอร์
กับบริษัทสตาร์ตอัป และบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินทั่วโลก
เช่น Paytm ผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ของอินเดีย
KakaoPay ผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ในเกาหลีใต้
ZhongAn Online P&C Insurance บริษัทประกันออนไลน์เต็มรูปแบบในจีน
โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Ascend Money
บริษัท Fintech ของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศไทย
เจ้าของ TrueMoney Wallet ที่เรารู้จักกัน
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ธุรกิจทั้งหมดในเครือ Ant Group
มีไว้เพื่อคอยสนับสนุนธุรกิจของ Alibaba Group
ในแง่ของบริการ และโครงสร้างของระบบการเงินแทบทั้งสิ้น
ทีนี้มาดูผลประกอบการของ Ant Group ในปีงบประมาณ 2019
รายได้ 542,000 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 77,000 ล้านบาท
ซึ่งจากการระดมทุนรอบล่าสุดในปี 2018
Ant Group ถูกตีมูลค่าไว้สูงถึง 4.7 ล้านล้านบาท
แต่ล่าสุดปี 2020 Ant Group กำลังเตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์
โดยคาดกันว่ามูลค่าบริษัทอาจสูงถึง 6.3 ล้านล้านบาท
เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ Alibaba Group Holding
ถือหุ้นใน Ant Financial Services Group อยู่ 33%
หลังการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
คงได้เห็น Ant Group เดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจมากขึ้นอีก
และไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะได้เห็นบริการจาก Ant Group
ขยับขยายเข้ามาในไทยมากขึ้น ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.antfin.com
-Alibaba Group Holding Limited. FY 2020 Annual Report.
-https://www.alibabagroup.com/en/ir/pdf/160614/12.pdf
-https://www.cnbc.com/2020/07/20/chinas-ant-financial-to-go-public-in-dual-shanghai-hong-kong-listing.html
-https://techsauce.co/tech-and-biz/ant-financial-plans-to-ipo-in-hongkong-next-year
-https://www.reuters.com/article/us-ant-financial-ipo-exclusive/exclusive-alibabas-ant-plans-hong-kong-ipo-targets-valuation-over-200-billion-sources-say-idUSKBN2491JU#:~:text=It%20won%20regulatory%20approval%20in,financial%20documents%20seen%20by%20Reuters.