...เรามักสะสมความทรงจำและเรื่องราวเลวร้ายไว้กับตัว เพื่อให้ตนเองตกอยู่ในภาวะ 'ฉันมันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ' และ 'คนอื่นช่างเลวร้ายเสียจริงๆ'
ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ใช่การมานั่งยกอดีตมาอธิบายว่า "ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะอดีตเป็นแบบนั้น โน้น นี้" หรือ "ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ แม่ พี่ น้อง แฟนเก่า ครู เจ้านาย ฯลฯ ทำแบบนั้น นู้น นี้"
คำถามไม่ใช่ว่า เพราะอะไรเราจึงเป็นแบบที่เป็นอยู่ คำถามคือ แล้วเราอยากเป็นแบบไหน
คำถามสำคัญคือ "แล้วจะเอายังไงต่อ"...
---
ฝากกดติดตามหรือกดไลก์เพจ นิ้วกลมอ่าน กันไว้หน่อยนะครับ จะชวนคุยและเล่าเรื่องหนังสือที่อ่านให้ฟังเนืองๆ ครับผม :)
กล้าที่จะถูกเกลียด 2
คิชิมิ อิชิโร / โคะกะ ฟุมิทะเกะ: เขียน
อภิญญา เตชะบุญไพศาล: แปล
สนพ.วีเลิร์น
---
ออกหลังจากเล่มแรกนานจนลืมเนื้อหาไปแล้ว แต่ในเล่มสองก็ยังมีทบทวนให้เห็นเป็นระยะ เล่มนี้มีเจตนาจะอุดรูในสิ่งที่เล่มแรกอาจไม่ค่อยได้กล่าวถึง เพราะเล่มแรกอาจกระตุ้นให้ 'กล้าที่จะถูกเกลียด' หรือไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังจากคนอื่น อะไรทำนองนั้น เล่มนี้กลับเน้นเรื่องการรักษาความสัมพันธ์และมอบความรัก เสียจนน่าตั้งชื่อว่า 'กล้าที่จะรัก (แม้จะถูกเกลียด)' --ฮ่าฮ่า
แม้หนังสือดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาระหว่าง 'ชายหนุ่ม' กับ 'นักปรัชญา' ราวกับโสเครตีสสนทนากับเพลโต แต่เนื้อหาก็คือฮาวทูจิตวิทยาตามโรงเรียนอัลเฟรด แอดเลอร์นั่นแล เช่นนี้แล้วหนังสือจึงอ่านง่าย ได้ใจความโดยกระชับ คว้าหมับขึ้นมา ไม่ช้าก็จบ
ขณะที่ฟรอยด์เชื่อว่า ตัวตนของเราในวันนี้ได้รับอิทธิพลมาจากชีวิตในช่วงวัยต่างๆ ปมต่างๆ ในจิตใต้สำนึกส่งผลให้เราเป็นอย่างที่เป็นอยู่ แอดเลอร์กลับเชื่อว่า อดีตไม่มีผลต่อตัวตนในปัจจุบัน เราสามารถเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จะใช้เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาผลักดันให้ชีวิตเป็นไปในด้านดีก็ย่อมทำได้
ที่เจ็บเหมือนโดนด่าก็คือ แอดเลอร์บอกว่า แทนที่สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นจะทำให้ชีวิตพัง เราเองนั่นแหละที่เลือกใช้มันมาเพื่ออธิบายชีวิตที่พังของเรา เพื่อเราจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบตัวเอง
เช่น บางคนบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ร่าเริงเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่เลวร้าย แต่แอดเลอร์บอกว่า คนคนนั้นมีเป้าหมายว่า 'ไม่อยากเจ็บปวดจากความสัมพันธ์กับคนอื่น' จึงเลือกแล้วว่าจะเป็น 'คนหม่นหมอง ไม่ร่าเริง' แล้วใช้เรื่องครอบครัวมาเป็นข้ออ้างให้ตนเอง
เราเป็นแบบนี้กันบ่อยๆ คือหาข้ออ้างจากอดีตมาอธิบายสิ่งแย่ๆ ที่ตัวเองเป็น ลึกลงไปเราอาจแค่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม เพราะมันยากและเหนื่อย ยอมรับแล้วโทษอดีตง่ายกว่า
แอดเลอร์บอกว่า เราเองต่างหากที่จะให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างไร
แนวคิดของเขาคือ ดึงความรับผิดชอบต่อชีวิตกลับมาอยู่ในมือตัวเราเองอีกครั้ง ไม่โทษใครหรือเหตุการณ์ใดๆ
"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กำหนดชีวิตตัวเองได้ทุกเมื่อ"
...
ในชีวิตมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น แต่เราจะเลือกเอาเฉพาะเรื่องที่สอดคล้องกับ 'เป้าหมาย' ของเรามาผูกรวมเข้าด้วยกันแล้วทำให้มันกลายเป็น 'ความทรงจำ' จากนั้นก็ลบเอาเรื่องที่ไม่สอดคล้องออกไปให้หมด แล้วตัวตนเราก็ก่อร่างขึ้นจาก 'ความทรงจำ' ที่เราคัดสรรมา
ในหนังสือมีตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพ
ชายคนหนึ่งเคยถูกหมากัด ที่ญี่ปุ่นช่วงหนึ่งมีหมาจรจัดเยอะ แม่จึงสอนเขาแต่เด็กว่า "เจอหมาให้อยู่นิ่งๆ ถ้าวิ่งมันจะไล่งับ"
วันหนึ่งเขาไปเจอหมาจรจัด เพื่อนที่อยู่ด้วยกันรีบวิ่งหนีไป ตัวเขายืนนิ่ง แล้วเจ้าหมาตัวนั้นก็วิ่งมางับที่ขา
เขากลายเป็นคนขี้กังวล กลัวหมา ระแวงคน และไม่เชื่อใครง่ายๆ เพราะ 'จำ' ว่าเขาเชื่อแม่ แล้วผลลัพธ์คือโดนหมากัด
ความทรงจำนี้มีผลต่อตัวตนของเขาทั้งชีวิต เวลาเราเลือกความทรงจำ เรามักเลือกที่จะเป็นฝ่ายถูก แล้วโยนความผิดให้คนอื่น
เขาไม่ได้สร้างความทรงจำขึ้นเพื่อโกหกตัวเอง ปัญหาคือ เขาตัดเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นให้หายไปหมดเกลี้ยง แล้วเลือกจำแค่ที่อยากจำ
...
เมื่อสอบถามต่อ เขาจึงนึกออกว่า เรื่องไม่ได้จบลงแค่นั้น!
หลังจากถูกกัด ผู้ชายที่ขี่จักรยานผ่านมาก็ช่วยประคองเขาไปส่งที่โรงพยาบาล
ก่อนคุยกับนักจิตวิทยา เขามองว่า "โลกนี้เต็มไปด้วยอันตราย ทุกคนล้วนเป็นศัตรู" เพราะตัดสินจากความทรงจำที่ตัวเองเลือก แต่หลังจากคุยหลายรอบจนนึกเหตุการณ์อื่นๆ ออก เขาก็มองโลกเปลี่ยนไป กลายเป็น "โลกนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ทุกคนเป็นมิตรของเรา"
แล้วจึงเริ่มมี 'ภาคต่อ' ที่สอดคล้องกับความทรงจำใหม่ของตัวเองได้
ประเด็นสำคัญของแนวคิดแอดเลอร์คือ 'อดีต' มิได้กำหนด 'ปัจจุบัน' แต่ 'ปัจจุบัน' ต่างหากที่เป็นตัวกำหนด 'อดีต'
ว่าง่ายๆ คือ เราสามารถมองกลับไปยังอดีตด้วยสายตาที่กว้างและเป็นจริงในปัจจุบัน เพื่อนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อเป็นบวกกับชีวิตของเราได้เสมอ
เพราะเรื่องราวที่สมบูรณ์มักมีมากกว่าสิ่งที่เราเลือกจำ
...
เรามักสะสมความทรงจำและเรื่องราวเลวร้ายไว้กับตัว เพื่อให้ตนเองตกอยู่ในภาวะ 'ฉันมันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ' และ 'คนอื่นช่างเลวร้ายเสียจริงๆ'
ลองสังเกตดูว่า ตัวเราเป็นแบบนี้บ่อยแค่ไหน เข้าข้างตัวเอง โทษคนอื่น และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง เพราะเอาแต่คิดว่าปัจจัยที่มีผลต่อชีวิตเราอยู่ในอุ้งมือคนอื่น
วิธีนั้นง่ายที่สุด คือการผลักความรับผิดชอบ แล้วนั่งสงสารตัวเองไปวันๆ
ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ใช่การมานั่งยกอดีตมาอธิบายว่า "ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะอดีตเป็นแบบนั้น โน้น นี้" หรือ "ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ แม่ พี่ น้อง แฟนเก่า ครู เจ้านาย ฯลฯ ทำแบบนั้น นู้น นี้"
คำถามไม่ใช่ว่า เพราะอะไรเราจึงเป็นแบบที่เป็นอยู่ คำถามคือ แล้วเราอยากเป็นแบบไหน
คำถามสำคัญคือ "แล้วจะเอายังไงต่อ"
"จากนี้ไปจะทำอย่างไร"
คำถามนี้คือการรับเอาความรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองกลับมาอยู่ในมือตัวเองอีกครั้ง ยึดอำนาจของชีวิตตัวเองกลับมาที่ตนเอง แล้วเริ่มต้นคิดและลงมือบัญชาการชีวิตด้วยพลังแห่ง 'ปัจจุบัน' ไม่ใช่ 'อดีต'
ใช้ปัจจุบันนิยามอดีตเสียใหม่ เติมพลังให้ตัวเอง
สิ่งนี้อาศัยความกล้าหาญ เพราะมันต้องลงแรงในการเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความคิดและข้ออ้างที่มอบให้ตัวเองมาตลอด
มันคือการยอมรับว่า ถ้าชีวิตเราแย่ เราโทษใครไม่ได้
แต่--ถ้าชีวิตเราดี นั่นก็เพราะเราเอานั่นแหละที่ทุ่มเททำมันให้ดีภายใต้เงื่อนไขยากเย็นมากมายก่ายกอง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า 'การสร้างสรรค์ตัวตน' ซึ่งถ้าเราเข้าใจตัวเอง เข้าใจความต้องการของตัวเอง เราจะมีเรี่ยวแรงและพลังใจในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ นานาที่ขวางทางอยู่
เพราะเราจะใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตที่เป็นไปเพื่อเอาใจใคร หรือตกอยู่ใต้อิทธิพลของคนที่เป็นฝ่ายกระทำต่อชีวิตเรา
เริ่มจากเห็นปัญหาของการใช้เรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเอง นิยามอดีตเสียใหม่ด้วยการมองให้กว้างกว่าเดิม แล้วดึงความรับผิดชอบในชีวิตกลับมาที่มือตัวเองอีกครั้ง
เปิดหน้ากระดาษถัดไป
แล้วเริ่มเขียนชีวิต 'ภาคต่อ' โดยไร้อิทธิพลจากอดีต
#นิ้วกลมอ่าน
#ยังมีต่อ #เดี๋ยวมาเล่าต่อ
#ฝากกดติดตามเพจกันไว้ด้วยนะครับ 😊
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過1萬的網紅Miuda Style,也在其Youtube影片中提到,แม้เราจะโดนห้ามไม่ให้ออกจากบ้านเพราะ Covid แต่เราก็ต้องมีจริตความสวยงามดูผู้ดี หน้าผ่องอยู่บ้านนะคะ เพราะไม่รู้เลยว่า เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน แฟน แฟนเก...
เจ้านาย แฟนเก่า 在 SquidMan.ExE Facebook 八卦
แค่ชื่อหนัง "เอวา มาแล้วฆ่า" ที่ดันไปพ้องเสียงกับ "เอวามาแล้วค่า~!!! ❤" แล้วก็เอาชื่อหนังภาษาไทยอันหลังออกจากหัวไปไม่ได้เลย (ชื่ออังกฤษ AVA, kill or be killed ซึ่งมันอธิบายพล็อตหนังได้ดีมากอยู่แล้ว)...
หนังนักฆ่าที่ใส่ปมพล็อตมาแปลก ๆ เข้าใจว่าพยายามให้ต่างจากหนังนักฆ่าเรื่องอื่นที่ แบบโดนไล่ล่าโดยองค์กรตัวเอง...
โดยการใส่ปมอดีตพ่อ, แม่, น้อง, แฟนเก่า, เจ้านาย, ลูกศิษย์คนแรกของอาจารย์, องค์กร, นิสัยเสียของตัวเอก เลยทำให้เรื่องมันดูมะรุมมะตุ้มยังไงไม่รู้ชอบกล...
คือหนังสนุกช่วงสู้นะ แบบสู้ไปก็มีคุยกันไป อารมณ์มันการ์ตูนยังกับพวกดราก้อนบอลซึ่งนักฆ่าเขาเวลาจะสู้กันเขาคุยบ้างเล่นมุกไปบ้างเหรอ??? (แต่ก็ทำให้นึกถึง Kill Bill ที่เล่นมุกแบบนี้แล้วออกมาดี แต่เรื่องนี้ไม่ไง) ใส่ไปนิดหน่อยก็พอสนุกแล้วนี่ใส่ไปสองช่วงจนรู้สึกว่า เออ ก็คุยกันเก่งเนอะ ทั้ง ๆ ที่เกลียดกันแต่ดันคุยดูสนุกสนานเฮฮาดี...
คือมันมีบางอย่างที่เจ๋ง แต่มันก็พาลหงุดหงิดกับหลาย ๆ ตัวละครที่เอามาใส่ในหนังรู้สึกว่าเยอะเกินไป...
นับว่าเป็นพล็อตหนังนักฆ่าที่แปลกดีเรื่องนึงละกันครับ...
คำโปรยหนัง "ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องตายแล้วฆ่า" ดันอ่านแล้วพ้องเสียงกับ "ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องตายแล้วค่าาาาา!!! ❤" อีก 555
เจ้านาย แฟนเก่า 在 Miuda Style Youtube 的評價
แม้เราจะโดนห้ามไม่ให้ออกจากบ้านเพราะ Covid แต่เราก็ต้องมีจริตความสวยงามดูผู้ดี หน้าผ่องอยู่บ้านนะคะ
เพราะไม่รู้เลยว่า เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน แฟน แฟนเก่า แฟนใหม่ กิ๊ก หรือเพื่อนฝูงจะ VDO Call มาหาเราตอนไหน อย่าปล่อยให้เค้าตกใจค่ะ 5555
เรามาแต่งหน้า Work From Home ให้จิตใจมันชุ่มชื้น หายเครียดกันดีกว่า!!!
ฮายสาวๆทุกคน ช่วงนี้สบายดีกันมั้ยคะ
หมิวอะ ไม่ค่อยสบายเลย เพราะอดไปเที่ยว อดไปแต๊ดแต๋ข้างนอก
ทำงานก็ได้แต่ทำที่บ้าน ต้อง Work From Home หน้ามันเมือกอยู่บ้าน เฮ้ออออ ไม่สบายทางใจอย่างมากกกก
แต่เราห้ามค่ะ ห้าม!! จะปล่อยให้ตัวเองนั่งหน้ามัน หน้าสดอยู่บ้านไม่ได้
เรามาแต่งหน้า Work From Home กันดีกว่า ให้ใจมันหายเครียดซะหน่อยยย
เริ่ม!!
1. รองพื้น : [ Snowgirl Matte Cushion ]
วันนี้หมิวขอนำเหนอ รองพื้นแบบคุชชั่นที่กลายร่างเป็นแป้งได้ ของ Snowgirl Matte Cushion !!
ตกใจกันละสิ้!!??!!
ในวันขี้เกียจๆแบบนี้ ใครมันจะมีอารมณ์ไปค่อยๆเกลี่ยรองพื้นละคะคู้นนน ต้องนี่ๆ Snowgirl Matte Cushion
เนื้อของเค้าจะคล้ายๆครีม สีออกโทนขาวอมเหลือง เหมาะกับสาวๆบ้านเรา ทาด้วยนิ้วมือได้เลย ไม่ต้องพึ่งฟองน้ำ หรือแปรงใดๆ
หลังเกลี่ยให้เนียน ก็จะกลายเป็นเนื้อแป้ง
เมื่อทาลงไปบนผิวหน้า จากครีม ก็จะค่อยๆกลายเป็นแป้ง ให้เนื้อแบบแมทท์ ไม่มัน กันน้ำ รูขุมขนที่เคยบานๆ ก็ดูเล็กลงหลังทาทันที
ใครที่ไม่ค่อยมีปัญหาสิวมาก ก็ใช้ตัวนี้ ตัวเดียวจบ ไม่ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์เรยย
มี SPF 45 PA+++
มี Silica ช่วยดูดซับความมันบนใบหน้า
มี สารสกัดจากกาแฟ ใครผิวหมองๆ คือจะบอกว่าต้องมี!! แถมกาแฟยังมีคุณสมบัติช่วยในการขับสารพิษด้วย
2. คอนซีลเลอร์ : [ NYX ] HD Studio Photogenic สี CW04
3. คิ้ว : [ Heavy Rotation ] สี 03 Ash Brown
4. มาสคาร่าคิ้ว : [ Heavy Rotation ] Coloring Eyebrow สี 04 Natural Brown
5. ตา : [ Etude House] Play Color Eyes สี Peach Farm
6. มาสคาร่า : [ Kingdom ] Two-step Mascara สี Brown
7. อายไลเนอร์ : [ CANMAKE ] Creamy Touch Liner สี 04
8. คอนทัวร์ : [ CEZANNE ] Contour Powder
9. แก้ม : [ Innisfree ] Blush สี 11
10. ไฮไลท์ : [ BECCA ] Highlight สี Champagne Pop
11. ลิปสติก : [ Holika Holika ] สี 04
เป็นยังไงบ้างเอ่ย ทีนี้ก็จะได้ Work From Home แบบสวยๆแล้ว รู้สึกมันสบายใจ หายเครียดไปได้หน่อยนึงเนาะ ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะผู้หญิงอะ พอปล่อยปะละเลยนิดนึง ใจเราก็จะห่อเหี่ยวไม่รู้ตัว
ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงเหตุการณ์แบบนี้ และอย่าลืมดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ ทั้งภายนอก และก็ภายในเลยนะ
ใครที่สนใจ Snowgirl Matte Cushion ก็ไปตำกันได้ที่ 7Eleven (เซเว่น), โลตัส , Jiffy , Beautrium และ PT maxmart นะคะ
ราคา 49 บาทเท่านั้น ปริมาณ 9 กรัม
ทาวนไป ราคาสบายกระเป๋า หน้าหมองเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาเล้ยย
**Link เสื้อเชิร์ตลายหัวใจที่หมิวใส่**
http://shein.top/mhlzetg
xoxo
Miuda Style
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/KBRGkCvrER4/hqdefault.jpg)
เจ้านาย แฟนเก่า 在 "จูเน่" ยินดี "เจ้านาย" เปิดตัวแฟน | ประเด็นร้อน2022 - YouTube 的八卦
จูเน่เพลินพิชญา ยินดี #เจ้านายจินเจษฎ์ เปิดตัวแฟนสาว ขอโทษแฟนคลับวอนจิ้นแค่เรื่องงาน ย้ำสถานะ #บิวกิ้นพุฒิพงศ์ #พีชพชร #สกายวงศ์รวี ... ... <看更多>